3/10/2560

กอ.รมน.ถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชนความจริงใจที่รอการพิสูจน์

"Ibrahim"


เรื่องราวที่มีการกล่าวถึงมากที่สุดในห้วงนี้ และเป็นที่สนใจของผู้ที่ติดตามข่าวสารชายแดนใต้คงหนีไม่พ้น กรณี: กอ.รมน.ถอนฟ้อง 3 เอ็นจีโอ ในข้อหาหมิ่นประมาทและการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งผู้ต้องหาประกอบด้วย นายสมชาย หอมลออ, น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ

          เมื่อมีการเผยแพร่ข่าวสารออกไปของสื่อมวลชน กระแสของผู้ที่ติดตามข่าวสารชายแดนใต้มีผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อประเด็นการถอนฟ้องดังกล่าวของ กอ.รมน.ซึ่งได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถกแถลงถึงสาเหตุไปต่างๆ นาๆ

          ในส่วนของผู้ที่เห็นด้วยกับ การถอนฟ้องซึ่งมองโลกในแง่ดีกลับคิดบวกมองว่าการประนีประนอมดังกล่าว จะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่ายในการทำงานร่วมกันในอนาคต อีกทั้งจะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหา จชต. ร่วมกันตรวจสอบ คานอำนาจ มิให้มีการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องสงสัยที่มีการควบคุมตัวโดยรัฐ ลดความขัดแย้งระหว่างหน่วยคุมกำลังในพื้นที่กับกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม นักสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีผลต่อบรรยากาศการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนอยู่ 

          ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อกรณีการถอนฟ้อง แน่นอนกลับมีความคิดตรงกันข้ามเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับ 3 นักสิทธิมนุษยชนถึงที่สุด เพื่อพิสูจน์ความจริงว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ใคร? กันแน่ที่บิดเบือนข้อมูล กล่าวคำเท็จโกหกคำโตต่อสังคม กระชากหน้ากากเปิดเผยให้ปรากฏต่อสังคม อีกทั้งให้ดำเนินคดีความเอาผิดเพื่อสร้างบรรทัดฐาน และความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำ มิใช่? กระทำแบบครึ่งๆ กลางๆ ปล่อยให้ประชาชนคิดไปเองต่อการถอนฟ้อง อีกทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไม่สามารถเอาผิดต่อผู้ละเมิด!! ได้ 

มูลเหตุของการฟ้องร้อง

          การฟ้องร้องของ กอ.รมน. ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, องค์กรเครือข่ายส่งเสริมสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP) และกลุ่มด้วยใจ ได้ร่วมกันจัดงาน เปิดตัว รายงานสถานการณ์ การทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และหลังจากนั้นได้ทำการเผยแพร่รายงานดังกล่าวในสื่อหลายชนิด ทำการกล่าวหา การซ้อมทรมาน โดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหาร ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทำไม? กอ.รมน.จึงต้องฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน

          “รายงานสถานการณ์ การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และได้มีการเผยแพร่รายงานดังกล่าวในสื่อต่างๆ ในเวลาต่อมา กลับพบว่าในรายงานทั้งหมดเป็นข้อมูลเก่าที่เคยดำเนินการมาแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 โดยกลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบรายงานการที่ยังคงเป็น   รูปแบบเดิมๆ

          อย่างไรก็ตามหากเจาะลึกลงในเนื้อหาที่มีการรายงานอย่างละเอียด กลับพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มานำเสนอซ้ำ มีการกล่าวอ้างแบบลอยๆ อย่างเช่น (จากคำบอกเล่า...เขาเล่าว่า) โดยขาดหลักฐานในข้อเท็จจริง และไม่มีการตรวจสอบก่อนที่จะนำมาเสนอต่อสาธารณชน

          ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นในรายงานทั้ง 2 ครั้ง พบว่าสิ่งที่เหมือนกันมีการกล่าวถึง การถูกข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก การบังคับให้ทานสารเคมี และการเผาไหม้ตามอวัยวะร่างกาย

          และที่เพิ่มเติมล่าสุด คือการหมิ่นประมาท และกล่าวหาเจ้าหน้าที่ในลักษณะที่เป็นไปไม่ได้ เช่น ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ผู้ต้องสงสัยขาดลมหายใจตายหรือประเด็นการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงย่อม มีร่องรอย หรือหลักฐานให้ปรากฏต่อแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ทั้งก่อน และ ภายหลัง การควบคุมตัว รวมทั้งปรากฏต่อญาติ และครอบครัวที่เข้าเยี่ยมได้ทุกโอกาสที่เอื้ออำนวย ซึ่งกลุ่มองค์กรเหล่านี้ต่างก็ทราบดีแต่ยังนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนความจริง

       ดังนั้นจากพฤติกรรมของ 3 นักเอ็นจีโอ คือ นายสมชาย หอมลออ, น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ต่อการรายงานข้อมูลอันเป็นเท็จ อีกทั้งได้ทำการเผยแพร่ต่อสาธารณชน ถือได้ว่า เป็นการจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระดับสากล สร้างความเสื่อมเสียที่ไม่น่าให้อภัย จึงมีการฟ้องร้องในเวลาต่อมา ในข้อหา หมิ่นประมาทและการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

          การถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน ทำให้สังคมมองภาพรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ความจริงไม่ได้มีการพิสูจน์ การที่หยุดดำเนินคดีกลางคัน ส่งผลให้สังคมไม่สามารถรับรู้ข้อเท็จจริง อีกทั้งความเสียหายที่ 3 นักสิทธิมนุษยชนได้ก่อนั้นไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่รายงานดังกล่าวมีการส่งไปยังองค์กรระหว่างประเทศอีกด้วย

          ในความคิดของผู้เขียนเข้าใจต่อความรู้สึกของผู้ที่ไม่เห็นด้วยต่อการถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน เพราะ ตอนที่คุณทำไม่คิด แต่เมื่อมีการเอาผิดกลับโอดครวญเมื่อมีการฟ้องร้องเอาผิดกลับกล่าวหารัฐรังแกโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เคลื่อนไหวยืมมือองค์กรต่างชาติอย่างเช่น แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการแจ้งข้อหาต่อ 3 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน

          น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ เคยถูกหน่วยงานความมั่นคงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญามาแล้ว โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 จากกรณีที่นางสาวพรเพ็ญฯ บิดเบือนข้อเท็จจริง กรณีเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัวอันเป็นเท็จ แต่ภายหลังหน่วยงานความมั่นคงยอมถอนแจ้งความเนื่องจากโดนข้อหา รังแกผู้หญิง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัว แต่ น.ส.พรเพ็ญฯ ไม่เคยสำนึกตัว กลับทำผิดซ้ำซาก?

          การถอนฟ้อง 3 นักสิทธิมนุษยชน จะเป็นก้าวก้าวแรกในการตัดสินใจทำงานร่วมกัน เพื่อจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่แปลก หากการทำงานร่วมกันได้ผลดีจริง  ผลประโยชน์จะตกสู่ประชาชนในพื้นที่  แต่ถ้าผลของการตัดสินใจครั้งนี้ ไร้ซึ่งความจริงใจ.....ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนจริงๆ..........เพราะหากไม่จริงใจแล้วไม่ต่างอะไร? กับการแสดงละครให้ประชาชนดู โดยจะซ้ำเติมทำร้ายประชาชน......อยู่เช่นเดิม.

-----------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น