"แบมะ ฟาตอนี"
การออกมาแถลงการณ์ของกลุ่มมาราปาตานีโดยมี นายมะสุกรี
ฮารี ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีการให้สัมภาษณ์เป็นภาษาไทยครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยในสื่อยูทูปหรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในหลายๆ
ครั้งที่ผ่านมา
สาระสำคัญในการออกมาแถลงการณ์เรียกร้องของกลุ่มมาราปาตานีซึ่งมีด้วยกัน
4 ข้อด้วยกัน มารา ปาตานี กล่าวถึง โครงการพาคนกลับบ้าน และการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย
14 อำเภอของแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่เกี่ยวข้องกับการตกลงของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ ซึ่งหากดูจากท่าทีของมาราปาตานีต่อกรณีดังกล่าวที่เน้นและขีดเส้นใต้ว่าขั้นตอนการพูดคุยยังอยู่ในคณะของ
“ฝ่ายเทคนิค”
ยังไม่ได้กำหนดพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟตี้โซนแต่อย่างใด เป็นการประกาศไม่ยอมรับ
“พื้นที่ปลอดภัย 14 อำเภอ”
ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพภาคที่ 4
ส่วนโครงการพาคนกลับบ้านหากวิเคราะห์แถลงการณ์ของ “มารา ปาตานี”
ต้องการให้กองทัพภาคที่ 4 ยุติ “โครงการพาคนกลับบ้าน” เพราะกลุ่มขบวนการและฝ่ายเห็นต่างที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนกำลังเพลี่ยงพล้ำเสียประโยชน์
หรือกระทบต่อโครงสร้างของขบวนการที่ต่อสู้กับรัฐไทย
การออกมาแถลงการณ์ “ฟาดงวงฟาดงา” ใส่
พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 ต่อโครงการพาคนกลับบ้าน
และการกำหนดพื้นที่ปลอดภัย 14 อำเภอ ย่อมมีนัยสำคัญแอบแฝงอยู่ ซึ่งอาจะใช้เป็น “ข้ออ้าง” ของการ “เลื่อน”
การทำข้อตกลงในการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยหรือเซฟตี้โซน
ซึ่งเป็นความหวังของคนในพื้นที่ในการเดินหน้าการพูดคุยในการที่จะสร้าง “สันติสุข” ให้เกิดขึ้นได้จริงบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน
เมื่อกระบวนการพูดคุยมีการ“เลื่อน”จากความขัดแย้งสงครามปากและยังเห็นต่างกันอยู่
นั่นหมายความว่าเป็นการดับความฝันกระบวนการสร้างสันติสุขที่จะเกิดจากการพูดคุยต้องหยุดชะงักหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ฝ่ายใช้ความรุนแรงอาจจะสร้างเงื่อนไขรอบใหม่ด้วยการโหมไฟใต้ให้ลุกโชนกว่าเดิมแล้วใครคือเหยื่อ!!
ของความขัดแย้ง.. ถ้าไม่ใช่ประชาชนที่จะต้องแบกรับผลกระทบ
สิ่งที่หลายฝ่ายมีความกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือกลุ่มมาราปาตานี
อาจจะมีการขอให้ “ปล่อยตัวอาชญากรใต้”
ที่เป็นสมาชิกขบวนการบีอาร์เอ็น 7 คน ออกจากเรือนจำในลักษณะของการ “พักโทษ” เพื่อแลกการเดินหน้าพูดคุยสันติสุขกับรัฐบาลไทย
กรณีดังกล่าวเป็นความพยายามของฝ่ายคิดต่างที่เรียกร้องส่งสารมายังรัฐบาลไทยมาโดยตลอด
นักโทษทั้ง 7 รายถือเป็น “นักโทษเด็ดขาด” ที่ศาลฎีกาได้พิพากษาความผิดไปแล้ว และคดีถึงที่สุด เป็นที่ทราบกันว่าแต่ละคนเป็นนักโทษหนัก
เพราะก่อคดีอุกฉกรรจ์คนละหลายต่อหลายคดี พฤติกรรมเข่นฆ่าพระสงฆ์ ฆ่าเจ้าหน้าที่
ฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำการลอบวางระเบิดและก่อการชั่วในรูปแบบต่างๆ สร้างความเดือดร้อนต่อคนส่วนรวมจนยากที่จะให้อภัย
ซึ่ง 1 ใน 7 ทรชน “อาชญากรโจรใต้”
คือ นายมะนาเซ ยา
ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ถูกจับใน “โรงเรียนบูรพาวิทยา”
พร้อมวัตถุระเบิดจำนวนมาก และมีหมายจับติดตัวหลายหมาย มีความผิดหลายกระทงด้วยกัน
ปัจจุบันถูกควบคุมตัวที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส
ยังไม่นับรวม “อาชญากรโจรใต้” ที่หนีหมายศาล
หนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ข้ามพรมแดนเข้าไปอยู่ในประเทศมาเลเซีย และประเด็นที่เป็นคำถามประการหนึ่งคือ
การอนุญาตให้ “ผู้ต้องหาหลบหนีคดีสำคัญ” ซึ่งจำนวนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มมาราปาตานีสามารถ “เดินทางเข้า-ออก”
ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียได้โดยไม่ต้องถูกจับกุม จะคุ้มค่าหรือไม่!!
กับการซูงกกับกลุ่มอาชญากรเหล่านี้
สันติสุขชายแดนใต้ใครๆ ก็อยากจะให้เกิด
แต่การเรียกร้องโน่นนี่ของขบวนการในนามกลุ่มมาราปาตานีในบางประเด็นเป็นการทำลายความรู้สึกของคนไทยพุทธ
ไทยมุสลิมในพื้นที่ ซึ่งหลายครอบครัวเคยตกเป็นเหยื่อและพบกับความสูญเสียจากการกระทำของเหล่าอาชญากรเหล่านี้มาแล้ว
ที่ “ทำร้ายจิตใจ”
ของครอบครัวของผู้ที่ต้องสูญเสีย นี่ยังไม่นับรวมความสูญเสียโดยรวมของประเทศชาติและประชาชนที่เกิดจากน้ำมือของขบวนการบีอาร์เอ็น
ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังความรุนแรง แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในพื้นที่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนจากการใช้
“อาวุธ” เป็น “ปากกา” เปลี่ยนจากการใช้ “อาวุธ” เป็นพื้นที่
“การพูดคุย” เพื่อเดินหน้าสร้างสันติสุขอย่างแท้จริง
โดยลดเงื่อนไขการเรียกร้องอะไรบางอย่างที่ไม่ทำร้ายจิตใจ “กระทบความรู้สึก”
จนเกินไปที่พอจะรับได้ อีกทั้งให้ทุกฝ่ายมีความจริงใจในการพูดคุย
ไม่แอบแฝงเรียกร้องในเรื่องผลประโยชน์ฝ่ายตน โดยให้เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง...
แสงริบหรี่แห่งความหวังถึงแม้จะนานสักเพียงใด
แต่ทุกคนยังรอแสงแห่งสันติภาพแสงแห่งความหวังที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอยว่าวันนั้นจะมาถึง
----------------------