12/09/2563

(SATU PADU) ศรัทธา เชื่อมั่น เพราะเราคือพี่น้องกัน

“ศาสนา” ปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหวซึ่งสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ได้ คือการดูถูกกันในเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะการที่ชาวมุสลิมเชื่อหรือศรัทธาใน “อัลลอฮฺ” (Allah) เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้า ในขณะที่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า หลายคนจึงคิดว่าทั้งสองศาสนานี้ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้ เมื่อไม่เข้าใจกันแล้ว ก็เลยพาลดูถูกเหยียดหยามสิ่งที่อีกศาสนาหนึ่งนับถือและศรัทธา ทำให้ความไม่เข้าใจกันยิ่งถ่างกว้างออกไปอีก แต่ในแง่ของสังคมมิได้ห้ามจะคบค้าสมาคมระหว่างกัน ด้วยหลักการของอัลกุรอานที่กล่าวไว้ ความว่า “ไม่มีการบังคับใด ๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม” (อัลบะเกาะเราะฮฺ /256) ซึ่งแปลว่าอิสลามได้วางกติกาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนา

ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า…แน่นอนพระเจ้าทรงรักผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์และทรงไม่ไม่ชอบผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ให้รังเกียจผู้ที่ไม่ศรัทธาอิสลามให้มุสลิมมีความรักต่อมุสลิมด้วยกัน แต่ในขณะเดียวกันให้เมตตาคนที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ด้วย ส่วนประเด็นการต่อสู้นั้นเว้นแต่ผู้นั้นมารุกรานอิสลามและมาทำร้ายมุสลิม ซึ่งในประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถดำรงชีพได้ทุกประการไม่มีการกีดกั้นทางศาสนา อิสลามไม่ส่งเสริมการรุกรานคนอื่น ดังปรากฏในบทบัญญัติในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งแสดงถึงการเคารพในความแตกต่างกันในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่น ในพระมหาคัมภีร์กุรอานมีบทบัญญัติว่า “ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา” (อัลกุรฺอาน 2:256) และ “สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน” (อัลกุรฺอาน 109:6) อิสลามสอนให้มุสลิมยึดมั่นในการศรัทธาของตนเอง ในขณะเดียวกันให้เกียรติกับศาสนาอื่นด้วย เพราะเราคือพี่น้องกัน (SATU PADU) ความศรัทธาของศาสนาอื่น การศรัทธาในศาสนาเราแตกต่างกันได้ แต่การร่วมมือในการทำความดีเราต้องส่งเสริมให้ทำถึงแม้กับคนที่ไม่ไม่ใช่มุสลิมด้วยกันก็ตาม

ในอิสลามสอนให้ คนเราเป็นคนดี คนฉลาด ให้มีความรู้ ในกุรอานสอนให้เราอยู่ในบนโลกนี้ อย่างสันติสุข เราต้องนับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือกันและกันเพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะเราคือพี่น้องกัน (SATU PADU) ศาสนาอิสลามสอนอีกว่า “การรับใช้ผู้อื่น ถือเป็นการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า” ที่มนุษย์เราแก่งแย่งกัน เพราะมนุษย์เรายังไม่รู้จักคำสอนที่พระเจ้าให้ ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตามคำสอนศาสนาอย่างแท้จริง โลกก็จะเกิดสันติสุข.

 

--------------------------

10/22/2563

นักวิชาการอเมริกันเผย 9 ประเทศ แบนเครือข่ายโซรอส ขณะที่ไทยยังรับเงินบ่อนทำลายประเทศ!

 


เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2020 ดร.สตีฟ เทอร์ลีย์ (Dr.Steve Turley) นักวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น สหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลใหม่ว่า มีหลายประเทศที่เริ่มต่อต้าน และสกัดกั้นนายจอร์จ โซรอส (George Soros) อภิมหาเศรษฐีผู้เป็นนายทุนขบวนการโลกาภิวัฒน์นิยม (Globalism) และเครือข่ายของนายโซรอสในหลายประเทศก็เริ่มถูกแบนมากขึ้นเรื่อยๆ ดร.สตีฟ ระบุว่าตัวของนายโซรอสก็ยอมรับเองว่า ฝ่ายของตนเองกำลังเสียเปรียบ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2019 นายโซรอสเคยกล่าวว่า “Open Societies Are Under Threat” ซึ่งสามารถตีความหมายได้ 2 แบบ คือ สังคมเปิดเสรีกำลังถูกคุกคาม หรือ มูลนิธิ Open Society Foundations (OSF) ของนายโซรอสกำลังถูกคุกคาม สอดคลอดกับข้อมูลที่ดร.สตีฟร่วมรวมมานำเสนอว่า มีประเทศไหนบ้าง ที่ดำเนินนโยบายต่อต้านและแบนเครือข่ายของนายโซรอส ซึ่งมีดังนี้ ฮังการี โปแลนด์ มาซิโดเนีย  รัสเซีย ตุรกี ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และบราซิล


ยกตัวอย่างกรณี กฎมายของรัสเซียนั้นพยายามคุ้มครองศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงามของรัสเซีย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เครือข่ายของนายโซรอส พยายามบั่นทอนและทำลาย ทำให้รัฐบาลรัสเซียมองว่า เครือข่ายของนายโซรอสเป็นภัยความคงต่อรัสเซีย

รัฐบาลรัสเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) จึงได้ผ่านร่างกฎหมายห้ามไม่ให้องค์กรต่าง ๆ ในรัสเซีย รับเงินจากเครือข่ายของนายโซรอส พร้อมกับยุบองค์กรในเครือข่ายทั้งหมดของนายโซรอส

อ่านเพิ่มเติม
http://www.thailandvision.co/?p=17872&fbclid=IwAR0HamCsRLAPEdgWXG-91ZqJ_QyOkvGl9Gi-C987dXM-O7_L4l71t2iM3MQ


       หันมองประเทศไทย กับเครือข่ายของนายโซรอสที่เคยรับเงินทุนและยอมรับในการทำหน้าที่แบบโลกสวยและถูกกฎหมาย  ซึ่งมีดังนี้

"ประชาไท" นางสาวจีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บประชาไท เปิดเผยกับ “เนชั่น” ว่าประชาไทรับเงินสนับสนุนปีละ 1.7 ล้านบาท จากมูลนิธิของโซรอส ตั้งแต่ปี 2548 โดยโซรอสตั้งมูลนิธิแห่ง นี้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มเอ็นจีโอทั่วโลก”

"พลเมืองเน็ต Thai Netizen"

นายอาทิตย์ สุริยวงศ์กุล ผู้ประสานงาน  Thai Netizen ยอมรับว่าได้รับเงินจากโอเพน โซไซตี้ครั้งเดียวเมื่อปี 2012 เพื่อนำมาพัฒนาเว็บไซต์ “เราได้รับเงินสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศอื่นด้วย และโอเพน โซไซตี้สนับสนุนเป็นบางโครงการ”นายอาทิตย์กล่าวและว่าการได้รับเงินจากโอเพน โซไซตี้ไม่น่าจะมีผลใดๆต่อองค์กรของไทย เน็ตติเซน 

 “มูลนิธิผสานวัฒนธรรม”

ในเว็บไซต์ voicefromthais ของมูลนิธิฯ ระบุว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเคยได้รับเงินทุนจาก Open Society Institute ช่วงกันยายน 2554 – สิงหาคม 2556 ในโครงการ “รณรงค์ห้ามการทรมานและให้มีการออกพระราชบัญญัติห้ามและป้องกันการทรมานใน ประเทศไทย” พยายามนำประเด็นความผิดพลาดจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเสนอรายงานสู่องค์กรระหว่างประเทศ โดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล

iLAW

กลุ่ม ilaw ที่เคลื่อนไหวในการ ต่อต้านกฏหมาย ม.112 และ วิพากวิจารณ์ไม่เห็นด้วยกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลนั้น เคยรับเงินทุนสนับสนุนจาก กลุ่ม Open Society Foundation (OSF)  และ Heinrich Böll Stiftung (HBF)  ตั้งแต่ปี 2552 จนถึง ปี 2557

Human Right Watch

มูลนิธิ Open Society Foundation (มูลนิธิสังคมเปิดกว้าง) ของ นายจอร์จ โซรอส “พ่อมดการเงิน” ชาวอเมริกันวัย 80 ปี ประกาศบริจาคเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,200 ล้านบาท) ภายใน 10 ปีข้างหน้า ให้กลุ่มสอดส่องสิทธิมนุษยชน “ฮิวแมน ไรท์ วอทช์” (HRW) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนครนิวยอร์ก  โดยมีเป้าหมายให้นำไปใช้ขยายสาขาในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเสริมสร้างทีมงานในสำนักงานของ HRW ในเมืองหลวงท่ีสำคัญๆ ของประเทศต่างๆ และส่งเสริมการวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศเหล่านั้น นับเป็นการบริจาคเงินของโซรอสให้องค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ท่ีมากท่ีสุดเท่าท่ีเคยมีมา

Amnesty International

Amnesty  ที่เพิ่งออกมาคัดค้านโทษประหาร มีทิศทาง มากกว่าแค่การโจมตีทางการเมืองมานานแล้ว .. หากติดตามสำนักข่าวต่างประเทศหลายสำนัก จะปรากฏว่า นาย จอร์จ โซรอส เป็นผู้ สนับสนุนทางการเงินคนสำคัญให้กับ Amnesty International งานนี้การที่ เนติวิทย์ และอีกหลายคน กลับเข้าไปทำงานใน Amnesty International ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ(อาสาสมัคร) ก็เท่ากับว่ากลับไปสู่ร่มเงาของ จอร์จ โซรอส นายทุนยิวที่ชอบเคลื่อนไหวเขย่าความมั่นคงของหลายประเทศทั่วโลก



       รูปแบบการสับสนุนเงินทุนของโซรอส เปลี่ยนไปเนื่องจากต่างประเทศที่รู้แผนบ่อนทำลายเรื่องนี้ ต่อต้านและขับไล่เครือข่ายองค์กร  ขณะที่ประเทศไทยเงินทุนของโซรอสได้แทรกซึมไปทุกอณุในประเทศจนทำให้เครือข่ายองค์กรนี้เข็มแข็ง โดยมี NEN  ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติสหรัฐอเมริกาความสัมพันธ์ของ Open  Society และ NED ในไทย จอร์จ โซรอส เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคเดโมแครต และเป็นคนสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดยให้การสนับสนุนหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐ  ด้วยเงินทุนส่วนตัวมาโดยตลอด  และใช้มูลนิธิ Open Society เป็นตัวแทน ให้เงินสนับสนุนเป็นจำนวนมากแก่องค์กรการกุศล,องค์กรภาคเอกชน และภาครัฐทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ จนสามารถชี้นำในองค์กรเหล่านั้นได้เพื่อสนับสนุนให้เปิดสังคมนั้นๆเป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐ  หรือสังคมประชาธิปไตยแบบเสรีที่สำคัญ จอร์จ โซรอส ยังให้เงินทุนสนับ สนุนแก่ NED ด้วย  จึงเป็นพันธมิตรที่ดีในการทำงานร่วมกัน เพื่อแทรกแซงประเทศตนเอง และประเทศต่างๆ  แนวทางการทำงานขององค์กรเหล่านี้ จะใช้การกระตุ้นความตื่นตัวของพลเมือง  โดยข้ออ้างเรื่องหลักๆคือ ประชาธิปไตยสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม ผ่านการทำงานของบุคคล 3 กลุ่มหลัก คือ.

    1.นักวิชาการ  ในการผลิตชุดความรู้ เผยแพร่ข้อมูลที่อ้างอิงได้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างน้ำหนักให้สังคมคล้อยตาม 

    2 .นักเขียน, สื่อ, บล็อกเกอร์ หรือ ผู้มีอิทธิพล ( influencer ) ทางสังคม ผ่านช่องทางต่างๆเช่น สื่อออนไลน์ เพื่อสร้างกระแสการติดตาม และส่งต่อเป็นเครือข่ายเหมือนไฟลามทุ่ง

   3.NGO. หรือนักเคลื่อนไหว เพื่อปลุกระดม หรือทำการเคลื่อนไหวต่อต้าน เช่นต่อต้านนโยบายของรัฐที่ไม่ตอบสนองต่อนโยบายของสหรัฐฯ  โดยอ้างประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน  และสิ่งแวดล้อมบังหน้า

ซึ่งรายละเอียดองค์กรหลักที่บ่อนทำลายในปัจจุบัน รับเงินไปซอยย่อยให้เครือข่ายกว่า 236 ล้านบาท มีดังนี้


จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นการชุมนุมสั่งการผ่านโซเชียลของกลุ่มเยาวชนปลดแอก เรียกร้องประชาธิปไตยจ
ากรัฐ ซึ่งแตกต่างจากในปี 53 และ 56 ซึ่งการชุมนุมในขณะนั้น เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ  แต่การชุมนุนในครั้งนี้ กลับเป็นไปในการจ้องล้มล้างสถาบัน โดยอ้างว่าปฏิรูป โดยที่ทนงตนเองว่าเป็นปัญญาชนลุกมาชุมนุมแต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ความผิดพลาดร้ายแรงนี้รัฐบาลคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบของตนเองไม่ได้

ย้อนมอง 3 จชต. ที่มีองค์กรหนึ่งที่รับเงินจากนายโซรอส ก็จะเห็นแจ่มชัดว่ากลุ่มบรรดาเอ็นจีโอเหล่านี้ทำหน้าที่ต่อต้านรัฐบาล คอยประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชิงลบให้กับคนในพื้นที่และนอกพื้นที่ เพื่อเป็นแรงกดดันในการขัดขวางการพัฒนาประเทศ โดยอ้างข้อมูลต่างๆ เช่น สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม การพัฒนาชนบท, การพัฒนาชุมชนเมือง, สิทธิเด็กสตรี, สิทธิแรงงาน, อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, สุขภาพ  ทั้งนี้ก็เพื่อด้อยค่าประเทศ ไม่ให้พัฒนา หรือให้พัฒนาที่ช้าลง  เพื่อไม่ให้มีเครดิตอำนาจในเวทีสากลโลก ในการต่อรองอำนาจในอนาคต จึงไม่แปลกที่เราๆ ท่านๆ จะเห็นข่าวการต่อต้านการพัฒนาในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ  เช่น กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่จนต้องระงับโครการ  และปัจจุบันก็เห็นมีการขัดขวางโครงการอุตสาหกรรมจะนะ ที่เลวร้ายไปกว่าคือการชุมนุมของกลุ่มปลดแอกเรียกร้องประชาธิปไตย แก้ไขรัฐธรรมนูญ การล้มล้างสถาบัน โดยอ้างว่าปฏิรูป



นี้คือรูปแบการบ่อนทำลายที่ถูกแทรกแซงเงินทุนต่างชาติ ในการทำลายล้างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองโลก โดยคนไทยที่ไม่มีจิตสำนึกยอมเป็นเครื่องมือต่างชาติสังหารประเทศชาติตัวเองแบบถูกกฎหมาย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังเป็นการสร้างความเกลียดชัง สังคมแตกแยก จนนำไปสู่หายนะให้คนไทยต้องฆ่ากันเอง

ข้อมูลเพิ่มเติมที่:

สหรัฐฯ ‘ยัดเงิน’ เอ็นจีโอ-สื่อ บงการไทย!! http://terrabkk.com/news/192400
หมาเฝ้าบ้าน พร้อมตรวจสอบเงินอเมริกัน http://www.thansettakij.com/content/257990
‘เงินอเมริกัน’ (ไม่) อันตราย http://www.thansettakij.com/index.php/content/256985
Thailand 2017 Collective Action against Corruption https://www.ned.org/region/asia/thailand-2017/
กลุ่มเอ็นจีโอของจอร์จ โซรอสกำลังถูกไล่ล่า-ทำเพื่อประชาธิปไตยหรือเพื่อกอบโกย http://thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=25177&rand=1484227831
มูลนิธิฯจอร์จ โซรอสจ่ายเงินหนุน 4 องค์กรในไทย-เว็บประชาไทเผยไม่ได้มีอิทธิพลต่อการเสนอข่าว-สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศปฏิเสธรับเงิน http://www.thaitribune.org/contents/detail/302?content_id=22327&rand=1471791
อนาคตของเอ็นจีโอที่รับเงินต่างชาติ https://www.posttoday.com/social/think/477868
รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมต่างชาติ https://www.posttoday.com/social/think/538566
“มูลนิธิผสานวัฒนธรรม” เอี่ยว 4 องค์กรไทย รับเงินพ่อมดยิว “จอร์จ โซรอส” http://www.publicpostonline.net/10667



10/21/2563

กระแส 3 นิ้ว กับการพยายามนัยยะแอบแฝงของ PerMAS ที่ไม่สำเร็จ

 

    หลายคนคงได้ทราบหรือเห็นข่าวที่เป็นเทรนด์ในช่วงนี้ คือ การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือประชาชนปลดแอก และกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาในหลายๆ โรงเรียนได้มีการแสดงออกทางสัญลักษณ์ด้วยการชูมือ 3 นิ้ว (ชี้-กลาง-นาง) ซึ่งให้ความหมายว่าการแสดงออกครั้งนี้ คือ การต่อต้านการคุกคามประชาชน, การไม่เอาเผด็จการ  ,ต้องการประชาธิปไตย

    เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 63 กลุ่มนักศึกษา PerMAS ได้เชิญชวนนักเรียนนักศึกษา และประชาชนยะลา ขับไล่รัฐบาล เรียกร้องประชาธิปไตยตามกระแส บริเวณสนามช้างเผือก จังหวัดยะลา โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 300 คน ซึ่งผิดความคาดหมายของกลุ่ม PerMAS ที่คาดผู้ชุมนุมจะมา 2000 คน ซึ่ง นายซูกริฟฟี ลาเตะ ประธาน PerMAS ได้ปราศรัยเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และจัดกิจกรรมขับไล่รัฐบาล มีการกล่าวถึงบริบทของการประกาศใช้กฏอัยการศึกและถูกปกครองด้วยทหาร มีการพยายามกล่าวหาใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ว่าแทรกแซงงานกิจกรรมของนักศึกษา เพราะมีเจ้าหน้าที่ไปร่วมสังเกตการณ์ชุมนุมด้วย

    การที่เจ้าหน้าที่ไปร่วมสังเกตการณ์ เพราะในพื้นที่ยังคงประกาศใช้กฎอัยศึก จากเหตุความไม่สงบ ดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม และการชุมนุมที่กลุ่ม PerMAS จัดก็ไม่มีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งอาจต้องถูกดำเนินคดีกับการชุมนุม ความคาดหวังของ PerMAS ที่ต้องการเกาะกระแสการชุมนุมเวลานี้ กลับจุดไม่ติด แนวร่วมการชุมนุมไม่มาตามที่ต้องการ ซึ่งทำให้กิจกรรมหลายอย่างที่เตรียมไว้ต้องเปลียนแปลงไป เพราะมวลชนไม่มากพอ  ซึ่งต่างจากนอกพื้นที่ 3 จชต. ที่มีกลุ่มเยาวชนออกมาชุมนุมตามกระแสโดยการชุมนุมถูกสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ

    ความจริงแล้วคนในพื้นที่ 3 จชต. ต่างรู้ดีว่ากลุ่ม PerMAS เป็นกลุ่มปีกการเมืองที่ขับเคลื่อนให้กับกลุ่มขบวนการโจรใต้ และนี่คือมูลเหตุที่สำคัญที่ไม่สามารถเรียกมวลชนตามกระแสได้ ถ้ากลุ่ม PerMAS ออกมาเรียกร้องตามแนวทางประชาธิปไตยไม่มีนัยยะอะไรที่แอบแฝงอยู่ก็คงมีมวลชนมามากว่านี้  ประกอบกับมุมมองของคนในพื้นที่มองว่าการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่ผ่านมาสามารถลดความรุนแรงได้ร้อยละ 70 ลดความสูญเสีย และการปฏิบัติงานไม่สร้างเงื่อนไข ความจริงใจต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ เช่น กรณีทหารพราน ชป.จรยุทธ์ 43 พกปืนเข้าโรงเรียนตาดีบากง จนทำให้ ผบ.ฉก.ทพ.43 ต้องนำทหารชุดดังกล่าวไปขอโทษจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก สร้างความพอใจให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่ พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผบ.ฉก.ทพ.43 ออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ

    การเรียกกระแสของกลุ่ม PerMAS ที่ต้องการเรียกน้ำย่อยในการเรียกมวลชนในพื้นที่ 3 จชต. โดยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา กลุ่ม PerMas ก็ฉวยโอกาสชูป้ายถ่ายภาพ RSD เพื่อสื่อประชาสัมพันธ์ให้นานาชาติ รู้ว่าในอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทยคนไทยส่วนใหญ่นั้น เห็นด้วยกับสันติภาพปาตานีในการทำ RSD เพื่อให้มีการลงประชามติแยกตัวเป็น “เอกราช” ออกจากประเทศไทย ขณะที่วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ปากบอกว่ารักชาติ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะลุกมาคัดค้านเกี่ยวกับป้ายแบ่งแยกดินแดน แต่กลับไม่รู้อะไรเลย แถมยังร่วมถ่ายภาพเป็นเครื่องมือให้กลุ่ม  PerMas อีกด้วย ปล่อยให้แนวร่วมโจรใต้เขามาชูป้ายแบ่งแยกดินแดนถึงใจกลางเมืองประเทศไทย ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 1  ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้  การกระทำของกลุ่ม PerMAS จึงกลายเป็นความผิดกฎหมายที่ชัดเจน ตามความผิดตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 และมาตรา 68 มีโทษตามมาตรา 114  ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี มาตรา 116 โทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี  และผิดมาตรา 9 พ.รก.ฉุกเฉิน จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 40000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    การายามจุดกระแสชู 3 นิ้วของ PerMAS เพื่อต้องการเรียกแขกกลับจุดไม่ติด เพราะคนในพื้นที่เขารู้กันหมดแล้ว ว่าการกระทำของ PerMAS ต้องการอะไร  แต่ก็ต้องขอชื่อชมกลุ่ม PerMAS ที่จัดการชุมนุมที่ผ่านมาไม่มีเหตุรุนแรง รู้จักใช่กริยาวาจาที่เหมาะสม ไม่มีการจาบจ้วงสถาบัน สมเป็นปัญญาชน  แต่จะดีมากถ้าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม PerMAS เป็นไปตามแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง  ไม่เคลื่อนไหว RSD แบ่งแยกดินแดน ไม่เคลื่อนไหวช่วยเหลือโจรใต้  โจรใต้ก่อเหตุฆ่าคนก็ออกมาร่วมประณามบ้างก็ดี  ไม่ใช่มีแต่เงียบอย่างเดียว





-----------------------




6/30/2563

โจรใจบาปที่สร้างความเจ็บปวดทุกข์ยากให้กับคนในพื้นที่.. กำลังทำตัวเป็นพระเอก..



ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย ที่มีความพยายามยามหยิบยกนำเสนอเข้าสู่เวทีโลก เพื่อสร้างความมีตัวตนของกลุ่มขบวนการที่มีแนวความคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลไทย  ด้วยการหยิบยกชาติพันธุ์ ความเชื่อถือศรัทธา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม และอื่นๆ  เพื่อให้เกิดความแตกต่าง แล้วกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ด้วยการสร้างความวุ่นวายสับสนก่อเหตุร้ายเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์  เพื่อให้เกิดรอยร้าวขึ้นในพื้นที่นั้น   ประชาชนในพื้นที่ผ่านเรื่องราวประสบเคราะห์กรรมได้รับความเดือดร้อนในการก่อเหตุที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การเผาโรงเรียน  ยิงครู  ยิงพระ ยิงผู้นำท้องถิ่น วางระเบิดสถานที่ต่างๆ เพื่อลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่  รวมถึงการยิงชาวบ้านทั่วไปทั้งคนแก่และเด็ก
 
ทั้งที่จริงแล้ว ทุกพื้นที่บนผืนแผ่นดินไทย ล้วนมีความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ ความเชื่อถือศรัทธา ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม   และกฎหมายไทย ก็มีความเป็นสากลและให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมากที่สุดประเทศหนึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนและทวีปเอเชีย  ซึ่งรวมถึงการนับถือศาสนาตามความเชื่อของแต่ละคน

มาถึงวันนี้..  โจรใจบาปที่ได้สร้างความเจ็บปวดทุกข์ยากแสนสาหัสให้กับคนในพื้นที่.. กำลังทำตัวเป็นพระเอก.. บอกว่า.. มีความเป็นห่วงและเห็นใจพี่น้องประชาชน เลยประกาศยุติการก่อเหตุในวันที่เกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในพื้นที่ ด้วยการออกหนังสือฉบับเดียวสร้างความน่าเชื่อถือผ่านองค์กรระหว่างประเทศ  แล้วที่ผ่านมาตลอดระยะเวลาที่ทำร้ายพี่น้องประชาชนจนนับครั้งไม่ถ้วน มีผู้สูญเสียและได้รับความเดือดร้อนอีกไม่รู้เท่าไหร่  โจรใจบาปที่ทำตัวเป็นพระเอกจะรับผิดชอบอย่างไรบ้าง..  จะประกาศยุติการใช้อาวุธแบบถาวร เพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชนได้หรือยัง..


----------------------


6/19/2563

กลุ่มองค์กรที่สร้างความสับสนในสังคมและหากินบนความเสียหายของบ้านเมือง ถ้าไม่สามารถทำงานอย่างสร้างสรรค์ได้ ก็ควรที่จะต้องยุติและยุบเลิกองค์กรกันได้แล้ว



            สถานการณ์โลกปัจจุบัน ยังมีการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่า2019 หรือโควิด-19 ในหลายประเทศยังมีผู้ติดเชื้อและคนเสียชีวิตเพิ่มขึ้น บางประเทศเริ่มมีการระบาดรอบใหม่อีกครั้ง  ในขณะที่ประเทศไทย สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ เพราะความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วน ที่ร่วมด้วยช่วยกันด้วยปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ด้วยความไม่ประมาท จนสามารถฝ่าวิกฤตินี้มาได้เป็นอย่างดีต่อเนื่องจนถึงวันนี้

          แต่เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดกระแสที่มีคนจุดขึ้น เพื่อผลประโยชน์หลายด้านด้วยกัน  กระแสที่ว่านั้นก็คือ การเปิดประเด็นว่ามีการอุ้มตัว นายวันเฉลิมฯ ผู้หลบหนีคดีเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  ซึ่งคนทั่วไปแทบไม่มีใครรู้จักเลยด้วยซ้ำว่า นายวันเฉลิม คนนี้ เป็นใครมาจากไหนและมีความสำคัญอย่างไร จึงต้องมีการอุ้มตัวกันเกิดขึ้น และที่หน้าแปลกใจมากก็คือ เหตุการณ์การอุ้มตัวดังกล่าว เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา  ซึ่งจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไรก็ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้  แต่กลับมีการเปิดประเด็นโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายประเทศไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

          การเปิดประเด็นการอุ้มตัวนายวันเฉลิมฯ ดังกล่าว มีประโยชน์กับกลุ่มไหน หรือไม่อย่างไรบ้าง..
            กลุ่มแรก  ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มองค์กรที่กำลังเรียกร้องให้เกิดกฎหมายการอุ้มหายและซ้อมทรมาน “พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับสูญหาย พ.ศ..” อย่างมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และดูเหมือนว่าเหตุการณ์และกระแสดังกล่าวจะพอเหมาะพอดี สอดคล้องต้องกันอย่างน่าสนใจ  อีกคำถามต่อมาก็คือ กฎหมายอุ้มหายฯ มีความสำคัญอย่างไร กับกลุ่มองค์กรนี้ กฎหมายพิจารณาความคดีอาญา ที่มีใช้อยู่ในบ้านเมืองนี้ ยังไม่ครอบคลุมถึงเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่.. เพราะจริงๆ แล้ว.. กฎหมายพิจารณาความคดีอาญา ได้มีบทบัญญัติในความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย จนถึงการฆ่าผู้อื่น มานานแล้วมิใช่หรือ..
    
            กลุ่มต่อมา  น่าจะเป็นกลุ่มสำคัญที่สุดในการจุดประเด็นการอุ้มตัวนายวันเฉลิม เพื่อให้เกิดผลกระทบกับความรู้สึกของผู้คนในสังคม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดถูกออกแบบและสร้างเรื่องราวมาจากกลุ่มนี้โดยตรง  เพื่อใช้เครือข่ายต่างๆ ในการขับเคลื่อนโดยมีผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นสำคัญ และกลุ่มแนวร่วมต่างๆ ก็จะมีผลประโยชน์ของกลุ่มเป็นจุดร่วมในการเคลื่อนไหวอย่างสอดประสานเชื่อมโยงกัน

          กลุ่มสุดท้าย ที่มีการใช้กระแสดังกล่าวในการเคลื่อนไหว คือกลุ่มแนวร่วมการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีทั้งนักการเมือง และกลุ่มองค์กรต่างๆ ในพื้นที่  ที่เคลื่อนไหวสอดรับกับทั้งสองกลุ่มที่กล่าวมาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเชื่อถือและกดดันขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในทางกลับกันก็ให้การสนับสนุนกลุ่มองค์กรที่ต่อต้านอำนาจรัฐอย่างชัดเจนมาอย่างต่อเนื่อง

          วันนี้  คนไทยร่วมด้วยช่วยกันเพื่อฝ่าวิกฤติเอาชนะโควิด-19 จนได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ  ต่างจากกลุ่มองค์กรเหล่านี้ ที่คอยแต่จะสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อหากินบนความเสียหายของบ้านเมือง จึงอยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการดูแลองค์กรเหล่านี้ (พม.) ด้วยว่า องค์กรที่สร้างความสับสนให้สังคมแบบนี้สมควรที่จะมีอยู่ในประเทศนี้อีกต่อไปหรือไม่  รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง (กห.) ขออย่าได้นิ่งเฉย ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมและความเสียหายที่กลุ่มองค์กรเหล่านี้ได้ทำต่อบ้านเมืองด้วยว่า มีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ประการใดกับพฤติกรรมการทำร้ายบ้านเมืองในลักษณะนี้มาอย่างต่อเนื่อง.. ประเทศไทยให้เสรีภาพแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านเมืองนี้ ทุกคนจึงต้องปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่อ้างเสรีภาพแล้วสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้ส่วนรวมอยู่ร่ำไป..


-------------------------------------------


6/16/2563

หยุดสร้างเรื่องราว หยุดสร้างกระแส เพื่อใส่ร้ายทำลายบ้านเมือง



          โลกปัจจุบัน เป็นยุคข้อมูลข่าวสารที่ไร้พรมแดน  ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่ถูกถ่ายทอดหรือเผยแพร่ออกมานั้น จะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ได้รับรู้ ทั้งทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ผู้ที่รับข่าวสารจึงต้องมีความรอบคอบ รอบรู้ในความเป็นมา เป็นไปในเรื่องราวต่างๆ เหล่านั้น อย่างรอบด้านบนพื้นฐานของความเป็นจริง   อย่าได้ไปติดกับดักหรือตกหลุมพรางของข้อมูลข่าวสาร ที่สร้างออกมาเพื่อปลุกกระแสหรือยุยงปลุกปั่น ให้เกิดความสับสนเคลือบแคลงขึ้นในสังคม

            วันนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ต้องการให้สังคมเกิดความระส่ำระสาย ต้องการทำให้ผู้คนในสังคมไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันขึ้นในบ้านเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง    ประเทศไทย ที่ยังคงความเป็นเอกราชอยู่ได้มาถึงวันนี้ เพราะมี 3 สถาบันหลัก คือ  ชาติ  ศาสนา  และพระมหากษัตริย์   การเมืองเป็นเพียงส่วนประกอบในการบริหารบ้านเมืองเพื่อเดินหน้าพัฒนาให้ชาวประชาอยู่ดีมีสุข  และการเมืองก็ไม่ใช่สถาบันหลักของชาติ  จึงขอฝากบอกไปถึงผู้ที่คิดจะเล่นการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยว่า.. อย่าสร้างเรื่องหลอกลวงเพื่อเล่นการเมือง จนทำลายความสงบสุขของคนในสังคมของบ้านเมืองนี้กันอีกเลย.. ชาวบ้านชาวเมืองเขารู้ทันและเอือมระอากับพฤติกรรมโป้ปดมดเท็จ สร้างเรื่องราวให้สับสน.. กันหมดแล้วล่ะ..
           
-------------------------------

6/06/2563

ทำไม.. องค์กรสิทธิมนุษยโจร จึงไม่เคยออกมาเรียกร้องสิทธิ์ ให้ชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ ที่ถูกกลุ่มโจรใต้ทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมบ้างเลย องค์กรเหล่านี้.. สมควรที่จะมีอยู่ในประเทศไทยอีกต่อไปหรือไม่


วันที่ 21 ก.ย.48  กรณี  นย. 2 นาย  คือ นาวาเอกวินัย นาคะบุตร และ นาวาตรีกำธร ทองเอียด ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับชาวบ้านตันหยงลิมอเป็นอย่างดี เป็นผู้ที่วางตัวใกล้ชิดสนิทสนมชาวบ้าน ทหารทั้งสองนายนี้ได้เรียนรู้จนสามารถพูดภาษาถิ่นของชาวบ้านได้ และได้แวะเวียนเยี่ยมเยียนดูแลกิจการต่างๆ ในหมู่บ้านเป็นประจำ  ในวันเกิดเหตุได้เดินทางไปช่วยเหลือคนเจ็บนำส่งโรงพยาบาล จากเหตุคนร้ายได้ใช้อาวุธสงคราม เอ็ม 16 กราดยิงเข้าไปในร้านน้ำชาในหมู่บ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ของคืนวันที่ 20 ก.ย.48  หลังจากเสร็จสิ้นการช่วยเหลือคนเจ็บ ขณะที่ นย. 2 นาย เดินทางกลับ เกิดรถเสีย จนถูกแนวร่วมที่ปะปนอยู่กับชาวบ้านใส่ร้ายว่าเป็นผู้กราดยิงชาวบ้าน และได้จับถอดเสื้อผ้า มัดมือไพล่หลัง แล้วยังใช้เชือกมัดติดกันทั้ง 2 คน และใช้ผ้าปิดตา ถูกทำร้ายทรมานอยู่ภายในศาลาที่พักในหมู่บ้าน จนประมาณเที่ยงของวัน ได้มีวัยรุ่นที่เป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ เข้ารุมทำร้าย พร้อมทั้งใช้มีดสปาร์ต้าฟันแทงจน นย.ทั้ง 2 นาย ต้องเสียชีวิตลงอย่างทุกข์ทรมานและเหี้ยมโหด


วันที่ 16 ต.ค.48  เกิดเหตุการณ์โหดเหี้ยมและสะเทือนความรู้สึกชาวพุทธทั่วทั้งประเทศ เมื่อมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนบุกเข้าไปในวัดพรหมประสิทธิ์ หมู่ 2 บ้านเกาะ ต.บ้านนอก อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ฆ่าและเผาพระและเด็กวัด รวมทั้งจุดไฟเผากุฏิ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 3 ราย


วันที่ 19 พ.ค.49 จูหลิง ปงกันมูล หรือจุ้ย  สาวน้อยจากภาคเหนือที่สอบบรรจุครูได้เป็นอันดับหนึ่งและเลือกจะเป็นครูในภาคใต้ โดยให้เหตุผลว่า "อยากช่วยเด็กๆ ที่ใต้ เพราะทุกวันนี้พื้นที่ใน 3 จังหวัดภาคใต้หาครูได้ยากเต็มที" จนได้บรรจุเป็นครูสอนวิชาศิลปะของโรงเรียนกูจิงลือปะ  ในตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส  ถูกแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ปล่อยข่าวใส่ร้ายอ้างว่าครูจูหลิงเป็นสายข่าวของทางราชการ และจับเป็นตัวประกันไปคุมขังไว้ในอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้มัสยิดประจำหมู่บ้าน และถูกรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่สามารถช่วยครูจูหลิงได้และนำตัวส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ และส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในวันต่อมา เนื่องจากเธอถูกตีจนสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง กระทั่งเสียชีวิตไปอย่างโศกสลด


วันที่ 5 พ.ย.2562  ชาวบ้านลำพะยามีการนัดหมายให้มาประชุมกันกลางคืน ณ จุดตรวจชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) บ้านทางลุ่ม ม.5 ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา  จึงมีทั้ง ชรบ. และ อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) เข้าร่วมประชุมกัน  ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มคนร้ายจำนวนหลายสิบคนบุกเข้าไปยิงถล่มอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตถึง 15 ศพ  ได้รับบาดเจ็บอีก 5 ราย  เป็นการสังหารหมู่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์อย่างเลวร้ายเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้


มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ทำงานด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม สิทธิมนุษยชน รวมถึงความยุติธรรมฯ  แต่ไม่เคยออกมาเรียกร้องช่วยเหลือให้กับผู้สูญเสียและครอบครัวในฝั่งที่เป็นเจ้าหน้าที่ หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ อย่างจริงจังเลยสักครั้ง (ดังที่ยกตัวอย่างในตอนต้นเพียงบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่)  ในทางตรงกันข้ามกลับคอยจ้องหาโอกาสที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติมฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ทำงานบกพร่องผิดพลาดอยู่เสมอ และออกหน้าให้การช่วยเหลือกลุ่มแนวร่วมที่สูญเสีย หรือถูกจับกุม  แล้วแบบนี้จะให้สังคมเข้าใจกันอย่างไร  ถ้าสังคมจะเรียกว่า “องค์กรสิทธิมนุษยโจร” คงจะคู่ควรเหมาะสมกับองค์กรนี้แล้ว..ใช่หรือไม่.. ฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบด้วยว่า องค์กรในลักษณะนี้สมควรที่จะมีอยู่ในประเทศไทยอีกต่อไปหรือไม่

-----------------------------------

5/21/2563

ความพยายามในการสร้างความแตกต่าง.. เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยก..



ความแตกต่างของผู้คนทั้งเชื้อชาติ ศาสนา และฐานะทางสังคม ของคนในบ้านเมืองนี้มีอยู่ทั่วไปในทุกถิ่นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศไทย  เพราะคนไทยนั้นมีหลากหลายเชื้อสายเผ่าพันธุ์และมีความเชื่อถือศรัทธาที่แตกต่าง ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างหลากหลายกันอย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือทุกคนที่เกิดมาในดินแดนพหุวัฒนธรรมที่มีภาษาวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่าง บนแผ่นดินขวานทองนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยเหมือนกัน
  


ภาพผู้หญิงในปัตตานี สมัย ร.7  ที่ไม่ได้คลุมหน้าตาเหมือนในปัจจุบัน

ในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทย ก็เป็นดินแดนพหุวัฒนธรรมอีกแห่งหนึ่ง ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มากวัฒนธรรม ผู้คนเคยมีความสงบสุขมายาวนานในอดีต  แต่หลายปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ได้มีความพยายามแบ่งแยกผู้คนออกเป็นคนพุทธ/คนมุสลิม คนสยาม/คนมลายู  จากกลุ่มขบวนการและแนวร่วมรวมถึงองค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กร ที่ต้องการผลประโยชน์โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือการแบ่งแยกดินแดนและปกครองตัวเอง โดยมีกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มผลประโยชน์ทั้งในและนอกพื้นที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง  ทั้งที่ดินแดนพหุวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างหลายหลายเหล่านี้ ไม่ได้มีอยู่เฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้เท่านั้น แต่มีอยู่ทั่วไปในทุกภูมิภาคของประเทศไทย  คนกลุ่มนี้พยายามสร้างความเป็นตัวตนให้เกิดความแตกต่าง เพื่อต้องการให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย  เราพี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่าในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงต้องรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของคนกลุ่มนี้..

--------------------------------

เทศกาลแห่งความดีงามตามหลักศรัทธา



          ทุกศาสนาในโลกนี้ล้วนสอนให้คนทำความดี บุญกุศลเป็นสิ่งที่ผู้กระทำความดีงามทุกคนจะได้รับตามหลักความเชื่อถือศรัทธาในศาสนา  ตั้งแต่ต้นปี ในเดือนมกราคม มีเทศกาลตรุษจีนของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน โดยก่อนจะถึงตรุษจีนก็จะมีเทศกาลกินเจ เพื่อสร้างความดีด้วยการงดกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด ต่อมาในปลายเดือนกุมภาพันธ์ (26 กุมภาพันธ์) มีวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง คือวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ (หัวใจของพระพุทธศาสนา) แก่พระอรหันตสาวกผู้เป็นเอหิภิกขุทั้ง 1,250 รูป ที่มาประชุมพร้อมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)

          หลังจากนั้นเกือบเดือน ก็เข้าสู่เทศกาลถือศีลอดในศาสนาอิสลาม  เมื่อสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศให้วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563  เป็นวันแรกของเดือนรอมฎอนในปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม โดยกิจกรรมหลักของชาวมุสลิมในช่วงเดือนนี้ คือการถือศีลอด งดน้ำและอาหารในเวลากลางวัน และจะละศีลอด รับประทานอาหารเย็นร่วมกันในครอบครัวและหมู่เพื่อนฝูง และรวมตัวกันที่มัสยิดเพื่อสวดมนต์..  แต่สถานการณ์โรค COVID-19 ที่ระบาดไปทั่วโลกในปีนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมุสลิมไปทั่วโลก  โดยสำนักจุฬาราชมนตรีได้แถลงฯ ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการถือศีลอด แต่การถือศีลอดตามวิถีอิสลามจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ปฏิบัติ จึงขอให้ชาวมุสลิมที่ไม่มีอุปสรรคตามที่บทบัญญัติศาสนากำหนด ได้ถือศีลอดอย่างเคร่งครัด โดยมีมารยาทที่ดีงาม มีเจตนาที่บริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์ และแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กับเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้อง และผู้ที่ทุกข์ยาก ตลอดจนต้องมีความอดทนต่อความหิวและกระหาย รวมทั้งไม่สร้างความเดือดร้อนต่อผู้ใด  สำนักจุฬาราชมนตรียังได้เตือนให้ชาวมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจอย่างระมัดระวัง ในช่วงการระบาดของโรค COVID-19 โดยการปฏิบัติศาสนกิจในบ้านของตนเอง และหลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน  เช่นเดียวกับชาวมุสลิมส่วนใหญ่ทั่วโลก ที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจจากที่บ้าน ไม่มีการละศีลอดในช่วงเย็นร่วมกัน.. “เชื้อไวรัสฯ ทำให้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลามถูกทิ้งร้างในช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของปี โดย กะบะห์ แท่นบูชาปักดิ้นทองในมัสยิดอัลฮะรอม ในกรุงเมกกะ ต้องปิดรับผู้มาแสวงบุญ เช่นเดียวกับมัสยิดของศาสดามูฮัมหมัดในเมืองเมดินา และมัสยิดอัล-อักซอ ในกรุงเยรูซาเลม ที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่และลูกจ้างของมัสยิดเข้าสวดมนต์เท่านั้น”

          เทศกาลแห่งความดีงามตามหลักศรัทธาในความเชื่อของผู้ที่นับถือยังคงมีอยู่ และดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องตามเวลาแห่งศรัทธา.. วันนี้พี่น้องมุสลิมกำลังสร้างความดีด้วยการถือศีลอด อีกประมาณ 1 เดือนนับจากนี้ เทศกาลรอมฎอนนี้ก็จะสิ้นสุดลง และมีการเฉลิมฉลองที่ได้สร้างบุญกุศลเสร็จสิ้นตามหลักศาสนา และถือเป็นวันแห่งความสุขอีกวันหนึ่งของพี่น้องมุสลิมในวันสิ้นสุดเดือนรอมฎอน ที่เรียกว่า วันฮารีรายอ ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ ของผู้นับถือศาสนาอิสลามอีกด้วย..
          ทุกศาสนาล้วนส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ประพฤติปฏิบัติตนเพื่อได้รับบุญกุศลความดีงาม แม้ว่าวันนี้จะมีโรคระบาดที่เป็นเหมือนอุปสรรคแห่งการสร้างความดี  แต่ทุกหลักปฏิบัติย่อมมีทางออกเพื่อให้เกิดความดีงามได้เสมอ แค่เพียงทุกคนเปิดใจ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ความดีงามตามหลักศรัทธา เพื่อให้ก้าวผ่านวันเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปด้วยกันในเทศกาลแห่งความดีงามตามหลักศรัทธาของทุกคน..

---------------------------

5/02/2563

กลุ่มขบวนการยกย่องฆาตกรร้าย ที่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ว่าเป็นคนดี



     ประวัติบางส่วนของอาวุธสงคราม ปืนเล็กกล AK102   ที่ตรวจยึดได้จากการวิสามัญฯ คนร้าย เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่บ้านปะกาจินอ ม.6 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พบว่า ใช้ก่อเหตุมามากกว่า 20 เหตุการณ์  คร่าชีวิตเจ้าหน้าที่และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ไป 13 ชีวิต
  
     - 8 ต.ค.58  ยิงนายซุ้ยบี้ ช่วยชูคำ และนางนวลศรี ณ ตะกั่วป่า  เสียชีวิตบนถนนสายบ้านยาบี-บ่อทอง ม.6 ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
     - 5 มิ.ย.59 ยิงชาวบ้าน ได้รับบาดเจ็บ 5 คน บนถนนสายแม่กัง-หนองครก ม.1 ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
     - 13 มิ.ย.59 กราดยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และประชาชน ม.4 ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี  ขณะกำลังเล่นฟุตบอล ตำรวจบาดเจ็บ 3 นาย ชาวบ้านบาดเจ็บ 3 คน
     - 23 ก.ค.59 ยิงนายประไพย์ ฉุ้นทิ้ง  เสียชีวิตขณะขับรถยนต์กระบะ บนถนนสายเลียบคลองชลประทาน ม.7 ต.ดอนรัก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
     - 8 พ.ค.60  ยิงนายนิโส๊ะ นิแต  ได้รับบาดเจ็บขณะขี่มอเตอร์ไซด์ไปกรีดยาง  บนถนนบ้านคูหา-บ้านทับหลวง ม.1 ต.คูหา อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
     - 15 ก.ค.60  กราดยิงใส่บ้านเรือนราษฎร บริเวณหน้าร้านคลินิกครัวทัย บ.ดอนยาง ม.8 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
     - 11 ก.ย.61  ยิงเจ้าหน้าที่ ทพ.ร้อย 4303 เสียชีวิต 2 นาย ระหว่าง บ.ดอนนา-บางทัน ม.5 ต.บางเขา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
     - 13 ม.ค.62  ยิงป้อมยามหน้า สภ.นาประดู่ ม.3 ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียชีวิต 1 นาย
     - 23 ก.ค.62  ยิงและขว้างระเบิดฐานปฏิบัติการ ชคต. ถนนทางหลวงชนบท ปน.2013 ม.7 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี  เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บ 3 นาย
     - 16 ก.ย.62  ยิงเจ้าหน้าที่ ชคต.นาประดู่ บริเวณถนนสาย บ.ควนประ-ศาลาลาก ม.5 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี  เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย

     ถ้าวันนี้  คนร้ายกลุ่มนี้ยังไม่ถูกวิสามัญฯ  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า วันพรุ่งนี้ จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันอีกเท่าไร.. แล้วแบบนี้ กลุ่มขบวนการยังจะมีน่าออกมายกย่องฆาตกรร้าย ที่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ว่าเป็นคนดี.. ได้อีกอย่างนั้นหรือ..






4/23/2563

วันนี้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า.. ภาคประชาสังคม(บางองค์กร)... ไม่ได้มีค่าหรือมีความสำคัญกับสังคมส่วนรวมเลย แม้แต่น้อย..



นับตั้งแต่เกิดโรคระบาดขึ้น  ภาคประชาสังคมที่เป็นแนวร่วมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทั้งในและนอกพื้นที่ภาคใต้ของไทย  ก็ประสานเสียง สร้างภาพแสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชน รวมถึงห่วงใยกลุ่มแนวร่วมที่สร้างความเดือดร้อนให้คนในพื้นที่ตลอดมา  ด้วยการเรียกร้องให้มีการยุติการบังคับใช้กฎหมาย ให้มีการวางอาวุธเพื่อแก้ไขปัญหาโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้น..  แล้วยังมีลูกคู่ ลิ่วล้อพวกเดียวกันอีกหลายกลุ่มออกมาสนับสนุนและเห็นด้วยกับการเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งรวมถึงนักการเมืองและพรรคการเมืองดังในพื้นที่


ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  กลุ่มคนพวกนี้ กลับไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมเลย.. ในขณะที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทุกหมู่เหล่า  ต่างพากันแสดงออกด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือ หยิบยื่นมิตรไมตรีให้แก่กัน โดยไม่มีการแบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนาเลยด้วยซ้ำ  ใครพอจะมีกำลังแรงกายแรงใจ สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทุกคนออกมาร่วมด้วย ช่วยกันด้วยความเต็มใจ  เพื่อให้ทุกคนเอาชนะโรคระบาดไวรัสโควิด-19  ไปด้วยกันให้ได้ในเร็ววัน.. วันนี้ทุกคน  จึงได้เห็นธาตุแท้ของกลุ่มคนพวกนี้แล้วว่า.. ไม่ได้มีค่า หรือ มีความสำคัญกับสังคมส่วนรวมเลย แม้แต่นิดเดียว..








...............................

4/17/2563

ทำไม? รัฐบาลไทย จึงต้องพูดคุยกับ กลุ่มบีอาร์เอ็น

            กลุ่มบีอาร์เอ็น เป็นกลุ่มนอกกฎหมาย และทำผิดกฎหมายของประเทศไทยมายาวนาน นับตั้งแต่ประกาศตัว ก่อตั้งกลุ่มฯ ขึ้นเมื่อปี 2503  ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ด้วยการปล้นฆ่า จับตัวผู้บริสุทธิ์ที่พอมีอันจะกินไปเรียกค่าไถ่  และเก็บค่าคุ้มครองจากเจ้าของกิจการต่างๆ ในพื้นที่ จนมาถึงในช่วงหลัง ตั้งแต่ปี 2547 มีการใช้กองกำลังขนาดเล็ก เข้าปฏิบัติการทางทหาร ด้วยการลอบวางระเบิด ลอบยิงเจ้าหน้าที่ เผาโรงเรียน เผาสถานที่ราชการ บ้านเรือนประชาชน วัดวาอาราม ทำลายระบบสาธารณูปโภค เช่น เสาไฟฟ้า โทรศัพท์ และอื่นๆ  สารพัดที่จะทำเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน และหวาดกลัวกับพฤติกรรมความเลวร้ายของคนกลุ่มนี้

            ความพยายามในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้นั้น รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยล้วนหามาตรการต่างๆ มาใช้ทั้งด้านการพัฒนาพื้นที่ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และการบังคับใช้กฎหมายในการปราบปราม จับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุเพื่อคลี่คลายปัญหาต่างๆ  และอีกมาตรการหนึ่งที่ฝ่ายรัฐ ได้นำมาใช้ควบคู่ในการแก้ปัญหาในพื้นที่นอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศ ก็คือการพูดคุยเจรจาเพื่อหาแนวทางในการสร้างความสงบสุขขึ้นในพื้นที่  จึงได้เกิดการพูดคุยเจรจาเพื่อสันติภาพขึ้น  ระหว่างตัวแทนของรัฐบาลไทย กับกลุ่มบีอาร์เอ็น  ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้ แม้ว่าจะเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย และทำผิดกฎหมายของประเทศไทยมายาวนานก็ตาม



            คนไทยทั้งประเทศ ส่วนมากแล้ว ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการพูดคุยกับคนผิด คนชั่วเลยด้วยซ้ำ  อยากให้มีการใช้กฎหมายที่เด็ดขาด จัดการให้มันจบสิ้นไปโดยเร็ว..  แต่รัฐบาลก็ยังมองเห็นว่า หากมีการพูดคุยเพื่อหาแนวทางให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้นที่ได้ ก็สมควรที่จะทำ  ดังเช่นรัฐบาลในอดีตที่เคยพูดคุยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนเกิดการยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ.. แนวร่วมฯ กลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย.. ได้ใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัว.. ส่วนผู้ที่มีความรู้ความสามารถและต้องการเข้าสู่เส้นทางการเมืองเพื่อต่อสู้ทางความคิดก็ทำได้.. ดังที่เห็นนักการเมืองหลายๆ คน ในหลายๆ พรรคการเมืองในปัจจุบันนี้.. 

    
            ดังนั้น การที่รัฐบาลได้จัดตัวแทนพูดคุยกับ กลุ่มบีอาร์เอ็น  ก็เพื่อหาทางออกอีกทางหนึ่งในการสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติศาสนา ได้กลับมาใช้ชีวิตที่สงบสุขดังเดิม บ้านเมือง มีความเจริญก้าวหน้าพัฒนาไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืนตลอดไป..