‘แบดิง โกตาบารู’
กลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนียังคงมีการแฝงตัวปะปนกับผู้คน
และหลบซ่อนตัวในหมู่บ้านเพื่อเป็นแหล่งพักพิง โดยมีแนวร่วมที่คอยสนับสนุนเป็นผู้จัดหาที่พักให้
อีกส่วนหนึ่งยังมีสมาชิกแนวร่วมได้ใช้สถาบันการศึกษาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่
จชต. เป็นที่หลบซ่อนตัว ซ่องสุมอาวุธปืน สารประกอบระเบิด และทำการฝึกทางยุทธวิธี ควบคู่กับการบ่มเพาะแนวร่วมรุ่นใหม่ขึ้นมา
จากการปฏิบัติงานเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ ทั้งงานการเมือง
และการบังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัย โดยใช้กฎหมายพิเศษ
มีการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายในหลายพื้นที่ด้วยกัน จนสามารถควบคุมตัวผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุได้เป็นจำนวนมาก
ส่งผลให้ผู้ที่หนีรอดการจับกุมได้หลบหนีเคลื่อนย้ายไปหลบอาศัยในพื้นที่ป่าเขา และมีบางส่วนหลบหนีไปกบดานยังประเทศมาเลเซีย
การปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ในการเข้าพิสูจน์ทราบฐานปฏิบัติการในป่าเขา
นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจากการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายในพื้นที่
ซึ่งจะเป็นการกดดันและจำกัดเสรีการเคลื่อนไหวในการก่อเหตุของสมาชิกแนวร่วมขบวนการ
และการเก็บหลักฐานนับว่ามีความสำคัญ ซึ่งเป็นประโยชน์ใช้ในการหาความเชื่อมโยงเพื่อนำไปใช้ในการขยายผลติดตามจับกุมตัวบุคคลเป้าหมาย
และพิสูจน์ทราบแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืน
อย่างเช่นเมื่อ 12 มิถุนายน 2558 เจ้าหน้าที่ได้บุกทลายฐานที่มั่นผู้ก่อเหตุรุนแรง
บนเทือกเขาไอร์ปาแย บ้านไอร์ปาแย ม.8 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ก่อนจะมีการปะทะเดือด
และสามารถรวบ 2 ผู้ต้องสงสัย และกลุ่ม ผกร.ที่เหลืออาศัยความชำนาญในพื้นที่หลบหนีไปได้
พบโรงเรือนปลูกสร้างกว่า 3 หลัง
ซึ่งจากการแจ้งของแหล่งข่าวภาคประชาชนเป็นไปได้ว่าแกนนำโจรใต้ได้สั่งการให้กองกำลังติดอาวุธอาร์เคเคกลุ่มนี้
มาตั้งค่ายพักแรมย่อยเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหวก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในห้วงรอมฎอน
เจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าจากริมถนนสายไอร์ปาแย-เจาะไอร้อง
ไปเชิงเขาระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ก่อนที่จะต้องเดินขึ้นเทือกเขาที่มีความสูงชันอีก 1 กิโลเมตร
ซึ่งพบกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่งกระจายอยู่
โดยคนร้ายที่ทำหน้าที่เข้าเวรยามอยู่ที่บริเวณโขดหินสูงเหนือค่ายพักย่อยเห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่จึงได้ตะโกนให้พวกทราบ
ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ จนทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันเป็นระลอกนานกว่า
10 นาที กลุ่มคนร้ายจึงได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ยิงเบิกทาง หลบหนีขึ้นเทือกเขาไป
หลังการปะทะเจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่พบผู้ต้องสงสัย
2 ราย ทราบชื่อภายหลังคือ นายซอมะ สะมะแอ และนายอิบรอเฮ็ม อุมา
พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนพกสั้น 2 กระบอก พร้อมกระสุน อาวุธปืนพกสั้นขนาด 11 ม.ม. จำนวน
1 กระบอก และปืนพกสั้นขนาด .38 พร้อมกระสุนปืน
และรวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวอีก 3 หลัง โดยแต่ละหลังใช้ผ้าใบกันฝนมุงเป็นหลังคา
พร้อมกับเสบียงอาหาร ภาชนะใช้สำหรับปรุงอาหาร เสื้อผ้าเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
ยารักษาโรค
โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดไว้ตรวจสอบ
พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่นอัยการ
เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานคราบลายนิ้วมือแฝง
และดีเอ็นเอที่ติดอยู่ตามสิ่งของ เครื่องใช้ เสื้อผ้า รวมไปถึงที่พัก
เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับวัตถุพยานที่ตรวจพบก่อนหน้านี้ตามที่เกิดเหตุต่างๆ
เพื่อเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ากลุ่มที่หลบหนีเคยก่อเหตุในพื้นที่ใดบ้าง
จากการซักถามผู้ต้องสงสัยในเวลาต่อมา
นายอิบรอเฮง อูมา ให้การยอมรับว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2557 ร่วมกับ นายกี
(ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) ได้นำอาวุธปืน M-16 จำนวน 2 กระบอก เข้าไปหลบซ่อนในพื้นที่ บ้านเจาะเกาะ ม.14
ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
เมื่อ 16 มิถุนายน 2558
จากคำให้การของ นายอิบรอเฮง อูมา เจ้าหน้าที่จึงเข้าพิสูจน์ทราบแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืน
ในบริเวณพื้นที่บ้านเจาะเกาะทันที และผลการพิสูจน์ทราบได้ทำการตรวจพบอาวุธปืน M-16 จำนวน 3 กระบอกด้วยกัน
อาวุธปืน M-16 ทั้ง ๓ กระบอก เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจหมายเลขอาวุธปืนพบว่า
อาวุธปืนหมายเลข 9537362 และ 9537325 เป็นของกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายปิเหล็ง ที่ถูกกลุ่มโจรใต้ปล้นไปเมื่อวันที่
4 มกราคม 2547 ส่วนหมายเลข 9544917 อาวุธปืนอีกกระบอกหนึ่งยังไม่พบในฐานข้อมูลอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
การทลายฐานที่มั่นของโจรใต้ฟาตอนีบนเทือกเขาไอร์ปาแย
นับว่าเป็นความสำเร็จของเจ้าหน้าที่ในการกดดันและทำลายขวัญและกำลังใจของกลุ่มขบวนการ
อีกทั้งยังจำกัดเสรีการเคลื่อนไหวของกลุ่มโจรใต้กลุ่มนี้ไม่ให้ลงมือก่อเหตุในห้วงเดือนรอมฎอน
ดังที่กล่าวไปแล้วผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตการณ์เลือกทำเลที่ตั้งฐานปฏิบัติการ
มีการเลือกในป่าภูเขาใกล้หมู่บ้าน และมีสัญญาณโทรศัพท์
ซึ่งเป็นไปได้ว่ายังมีแนวร่วมในบ้านไอร์ปาแย คอยส่งเสบียง ข้าวของเครื่องใช้
และคอยแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐให้กับกลุ่มโจรใต้
ความสำเร็จในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐหลายต่อหลายเหตุการณ์
เป็นเพราะได้รับความร่วมมือจากผู้หวังดี ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง
รวมถึงภาคประชาชนที่ต้องการความสงบ และสันติสุขซึ่งเป็นคนหมู่มากที่ไม่ต้องการให้กลุ่มโจรใต้มาก่อเหตุในหมู่บ้าน
ในชุมชนที่ตนเองได้อาศัยอยู่ มีแต่จะนำความเดือดร้อน ความสูญเสียมาสู่ตนเอง
ครอบครัว และบุคคลรอบข้างไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากพี่น้องมลายูปาตานีให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแส
ข่าวสารความเคลื่อนไหวของกลุ่มโจรใต้ กลุ่มขบวนการก็จะไม่สามารถทำการก่อเหตุได้ เหตุการณ์ความรุนแรงค่อยๆ
หายไป ภาครัฐเดินหน้าเวทีการพูดคุยกับกลุ่มที่เห็นต่าง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนำพาสันติสุขกลับคืนมา
พี่น้องในพื้นที่ จชต. ถึงแม้จะแตกต่างด้านเชื้อชาติ และศาสนา
จะกลับมารักใคร่ปรองดองไม่หวาดระแวงต่อกัน อยู่ร่วมกันภายใต้พหุวัฒนธรรมดั่งเช่นในอดีตที่ผ่านมา.....
---------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น