“Zamree”
เผย‘สำรวจสันติภาพ’ชายแดนใต้รอบแรก
ประชาชนยังหวังต่อกระบวนการพูดคุย เป็นการพาดหัวข่าวของสำนักสื่อหลายสำนัก
กรณีเมื่อวันที่ 17 พ.ค.59 ผู้แทนของสถาบันทางวิชาการและองค์กรประชาสังคม 15
องค์กร ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
(Peace Survey) ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในครั้งนี้
วัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ
4 อำเภอของจังหวัดสงขลา จะมีความรู้สึกเช่นไรต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้น
มีการสุ่มตัวอย่างเจาะลึกถึงระดับครัวเรือนเพื่อนำความรู้สึก
ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงส่งผ่านไปให้รัฐบาล กลุ่มขบวนการ
หรือกลุ่มผู้ที่เห็นต่างจากรัฐได้รับรู้
เนื้อหาใจความผลการสำรวจสันติภาพในครั้งนี้
จากการแถลงข่าวพอจับใจความสำคัญๆ โดย
ในภาพรวมประชาชนในพื้นที่ยังคงคาดหวังต่อกระบวนการพูดคุยสันติสุขของรัฐบาลที่ดำเนินการอยู่
ซึ่งเบื้องลึกประชาชนต้องการอะไร? มีความพึงพอใจมากน้อยแค่ไหน? และรูปแบบการบริหารปกครองที่ควรจะเป็นประชาชนต้องการแบบไหน?
มาวิเคราะห์เจาะลึกประเด็นต่อประเด็นกัน
ผศ.ดร.ศรีสมภพ
จิตต์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้
(CSCD) ซึ่งเป็นผู้แถลงข่าวผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
(Peace Survey) ในครั้งนี้
ประเด็นแรก
ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตต์ภิรมย์ศรี เปิดเผยว่า
ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นประชาชนทั่วไปส่วนใหญ่สนับสนุนการใช้การพูดคุย
การเจรจาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในพื้นที่ถึงร้อยละ 56.4
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงว่า“ประชาชนเห็นด้วยต่อกระบวนการพูดคุย”ต้องการขจัดปัญหาความขัดแย้งที่หมักหมมปัญหามานานหลายสิบปี
ปฏิเสธความรุนแรง แสวงหาทางออกเพื่อนำไปสู่สันติสุขในพื้นที่
จากการนัดพบปะพูดคุยอย่างเป็นทางการครั้งที่ 4
ของคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ กับกลุ่มมาราปาตานี เมื่อวันที่ 27
เมษายน 2559 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ไม่ได้มีการลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับร่างกรอบการพูดคุยร่วม หรือร่างทีโออาร์ (TOR)
ในวันดังกล่าว ผลที่ตามมามีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในหลายพื้นที่
จชต. แสดงให้เห็นว่ายังมีบางกลุ่มต้องการความรุนแรงไม่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้สงบสุข
ประเด็นที่สอง
ภาพรวมของความพึงพอใจกับความก้าวหน้าของกระบวนการพูดคุย พบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกเฉยๆ กับความก้าวหน้า ร้อยละ 39.8 พอใจร้อยละ 22.2
และไม่พอใจ ร้อยละ 12.2 ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า
กระบวนการพูดคุยมีผลทำให้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นถึงร้อยละ
46.6
เป็นเพราะอะไร?
ประชาชนจึงรู้สึกเฉยๆ ต่อความก้าวหน้ากระบวนการพูดคุย
ถ้าจะวิเคราะห์ในมุมมองของผู้เขียนอาจจะมาจากสาเหตุหลักใหญ่ 2
ประการด้วยกันกล่าวคือ สืบเนื่องจากประชาชนรากหญ้าในพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดตามข่าวสารความคืบหน้ากระบวนการพูดคุย
อีกทั้งประชาชนบางส่วนไม่รู้หนังสืออ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
อีกสาเหตุหนึ่งมาจากการไม่เปิดเผยผลการพูดคุย
และไม่มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้เท่าที่ควร
อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจสูงกว่าไม่พอใจถึง 10%
ประเด็นที่สาม ผู้ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ 51
ที่มีความหวังว่าในอีก 5
ปีข้างหน้ากระบวนการพูดคุยที่ต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพในที่สุด
ความคาดหวังของประชาชนในอีก
5 ปีข้างหน้า หากมีกระบวนการพูดคุยที่ต่อเนื่องจะนำไปสู่ข้อตกลงและนำไปสู่สันติภาพในที่สุด
ซึ่งการพูดคุยเพื่อหาทางออกของความขัดแย้งเป็นแนวทางที่ดีที่สุด “สันติภาพ”
ไม่ได้เกิดจากการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
อันจะนำมาซึ่งความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย
ความขัดแย้งหลายภูมิภาคในโลกนี้ไม่มีที่ใดได้มาซึ่ง “สันติภาพ”
จากสงคราม มีแต่การใช้การพูดคุยนำไปสู่ “สันติภาพ”
แทบทั้งสิ้นแต่ต้องใช้ระยะเวลา
สำหรับข้อเสนอที่ต้องการให้รัฐบาลและขบวนการต่อสู้ฯ
ได้พูดคุยกันในขณะนี้มีผู้เลือกตอบในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่จำนวนมากที่สุดเป็นลำดับแรก
ตามมาด้วยการแก้ไขปัญหายาเสพติด และการพัฒนาการศึกษาตามลำดับ
ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้รัฐบาลพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่
การแก้ไขปัญหายาเสพติด และการพัฒนาการศึกษา
การพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่
รัฐบาลมุ่งพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชน การพัฒนาแหล่งน้ำ ไฟฟ้า ถนน
ซึ่งมีการปรับปรุงถนน 37 เส้นทางในพื้นที่ จชต.และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
โครงการสร้างงานและจ้างงานเร่งด่วนของ ศอ.บต. การสนับสนุนกลุ่มอาชีพ
โครงการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนไทย-มาเลเซีย จังหวัดนราธิวาส
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย
เพื่อมุ่งสู่ประชาคมอาเซียน
การแก้ไขปัญหายาเสพติด
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ จชต. ได้มี “โครงการญาลันนันบารู”
หรือ “โครงการ ทางสายใหม่” ให้โอกาสกับเยาวชนช่วงอายุ
14-25 ปี ที่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
หรือเยาวชนที่มีความต้องการจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สมัครใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว
ส่วนผู้ค้ายาเสพติดมีการสกัดกั้นจากเจ้าหน้าที่มีการระดมกวาดล้างจับกุมได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในภัยแทรกซ้อนที่เป็นตัวแปรต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาล
การพัฒนาการศึกษา
รัฐบาลมุ่งยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ จชต.เพื่อก้าวสู่ศตวรรษที่ 21
รมช.ศึกษาฯ ลงพื้นที่ใน จชต. เพื่อเยี่ยมสถานศึกษา
สนับสนุนโครงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ซึ่งจะเป็นผลดีและโอกาสต่อเด็กนักเรียนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก
ประเด็นที่สี่
ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องการบริหารปกครองพื้นที่
จชต.ส่วนใหญ่อยากเห็นรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยร้อยละ
26.5 รองลงมาคือรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆของประเทศร้อยละ
22.2 ส่วนผู้ตอบแบบสอบถาม ไม่อยากได้ คือ
รูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ร้อยละ 25.1
และรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย ร้อยละ 22.9
การบริหารการปกครองที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการคือรูปแบบการปกครองพิเศษ
ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ที่มีการกระจายอำนาจเหมือนกับพัทยา และกรุงเทพมหานคร
ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ รูปแบบควรจะเป็นแบบไหนจะต้องอยู่ที่กระบวนการพูดคุย
หาทางออกที่ดีที่สุดให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่
ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่อยากได้ หรือไม่เห็นด้วยคือการไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ เลย
และไม่ต้องการเป็นเอกราชแยกตัวเป็นอิสระจากประเทศไทย
เมื่อผลสำรวจที่ออกมาได้แสดงความรู้สึก
ความต้องการของประชาชน เพื่อส่งผ่านไปถึงรัฐบาล กลุ่มขบวนการ
และกลุ่มผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐได้รับรู้ โดยเฉพาะประเด็นไม่ต้องการเอกราชแยกตัวเป็นอิสระจากประเทศไทยมีนัยสำคัญ
ต่อท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา PerMAS และกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มในห้วงที่ผ่านมา
ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีการปลุกกระแสการกำหนดใจตนเองเพื่อนำไปสู่การลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย
ในเมื่อประชาชนไม่ต้องการก็จะต้องทบทวนบทบาทตนเองต่อการเรียกร้องดังกล่าว
ประเด็นสุดท้าย
ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตต์ภิรมย์ศรี ได้กล่าวทิ้งท้าย“พื้นที่กลางเพื่อสร้างสันติภาพและแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ในพื้นที่กลางความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ต้องมาจากทุกฝ่าย
การทำวิจัยครั้งนี้ก็เพื่อเสริมความเข้มแข็งของการสร้างพื้นที่กลาง
นักวิชาการทุกปีกสถาบันทั้งในและนอกพื้นที่ ภาคประชาสังคม ทุกปีกความคิด”
นโยบายรัฐไม่ได้ปฏิเสธพื้นที่กลางเพื่อสร้างสันติภาพและแก้ความขัดแย้ง
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้เปิดเวทีเพื่อเป็นพื้นที่กลางให้กับประชาชน
สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคม
และทุกภาคส่วนได้ร่วมกันระดมความคิดร่วมหาทางออกให้กับประเทศ
เพื่อยุติความขัดแย้งนำไปสู่สันติสุขการอยู่ร่วมอย่างพหุวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่
ส่วนนโยบายและทิศทางกระบวนการพูดคุย
พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กล่าวว่า
การ“พูดคุยสันติสุข” ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล
ที่ได้แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
โดยมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดกรอบนโยบายและทิศทางด้วยตัวท่านเอง
ส่วนการดำเนินการในพื้นที่มีการประสานสอดคล้องกับระดับนโยบาย
มีความมุ่งหมายหลักเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อกระบวนพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มขบวนการ
หรือกลุ่มผู้ที่เห็นต่างจากรัฐ โดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
-------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น