3/29/2556

อย่าฝากความหวังไว้แค่..."โต๊ะเจรจา"

    คำถามแรกที่ผู้แทนฝ่ายความมั่นคงไทยต้องถามในวงพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้อย่างเป็นทางการนัดแรกในวันที่ 28 มี.ค.นี้กับกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น ก็คือ เหตุใดความรุนแรงที่กระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอยังคงเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เพราะแม้ฝ่ายความมั่นคงไทยจะอ้างว่า การพบปะหารือจนถึงขั้นลงนามในข้อตกลงริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพ เมื่อ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา จะยังไม่ได้มีการเสนอเงื่อนไขใดๆ ระหว่างกัน แต่ข่าววงในจากคนที่ไปร่วมวงพูดคุยลับๆ อีกครั้งหลังจากนั้น คือในวันที่ 5 มี.ค.ก็ยืนยันชัดเจนว่ามีการ "ร้องขอ" กันเบื้องต้นแล้วว่าให้ช่วยลดการก่อเหตุรุนแรงโดยเฉพาะระเบิดในเขตชุมชนเมืองซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินสูงมาก รวมทั้งลดการกระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ผู้หญิง เด็ก และครู

ทว่าตลอดห้วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมากลับมีเหตุรุนแรงในเขตเมืองเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ และยังมีเป้าหมายอ่อนแอได้รับผลกระทบด้วย ไล่ตั้งแต่

- 1 มี.ค. คาร์บอมบ์และมอเตอร์ไซค์บอมบ์ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส มีผู้บาดเจ็บ 6 ราย
- 2 มี.ค. คาร์บอมบ์ในเขต อ.เมืองยะลา ทำให้ทหารพรานเสียชีวิต 2 นาย มีผู้บาดเจ็บอีก 12 ราย
- 21 มี.ค. มอเตอร์ไซค์บอมบ์ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ทำให้เด็ก 9 ขวบเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 10 ราย

ยังไม่นับเหตุระเบิดครั้งรุนแรงในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ทำให้สูญเสียนายตำรวจน้ำดีไปถึง 3 นาย และเหตุการณ์ในลักษณะป่วนเมืองครั้งละหลายจุดอีกหลายครั้ง

เหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงไทยต้องได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าสถานการณ์ความรุนแรงยังทรงตัวอยู่เช่นนี้เพราะอะไร หรือยังไม่ได้สื่อสารกับระดับปฏิบัติในพื้นที่ หรือมีเหตุผลอื่น หรือทางฝ่ายขบวนการจะสรุปว่าจำนวนเหตุร้ายขนาดนี้ถือว่าลดระดับลงแล้ว ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อนำคำตอบที่ได้มาประเมินผลต่อไป เนื่องจากหลายเสียงจากผู้ทรงคุณวุฒิที่ติดตามสถานการณ์ภาคใต้อย่างใกล้ชิดยังคงตั้งคำถามว่า กลุ่มบุคคลที่ทางการไทยไปเปิดหน้าเจรจาด้วยนั้นเป็น "ตัวจริง" หรือเปล่า


แม้ความเป็น "ตัวจริง" ในทัศนะของผมจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย แต่สำหรับในกระบวนการสันติภาพที่ใช้การตั้งโต๊ะเจรจาเป็นเครื่องมือแล้ว ความเป็น "ตัวจริง" มีผลต่อความเชื่อมั่นไม่น้อย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของสังคมที่เฝ้ามองอยู่ หากความเชื่อมั่นนี้หมดไป ความสำเร็จย่อมหดหายตามไปด้วย

จะว่าไปแล้ว ความเป็น "ตัวจริง" ซึ่งหมายถึงการมีศักยภาพสั่งการกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ได้จริงๆ ในบางมิติอาจมีความสำคัญ เช่น มิติที่กลุ่มต่อต้านรัฐมีเพียงกลุ่มเดียวหรือน้อยกลุ่ม และมีตัวตนชัดเจน มีโครงสร้างการบังคับบัญชาที่รับรู้ได้ ดังเช่น ขบวนการอาเจะห์เสรี หรือ กัม (GAM) ในกรณีอาเจะห์กับอินโดนีเซีย หรือขบวนการปลดปล่อยอิสลามโมโร (เอ็มไอแอลเอฟ) ในกรณีมินดาเนากับรัฐบาลฟิลิปปินส์

แต่หากพิจารณาในอีกบางมิติ ความเป็น "ตัวจริง" หรือ "ตัวปลอม" ก็อาจไม่ใช่สาระอะไรมากนัก โดยเฉพาะหากเราเชื่อในทฤษฎีที่ว่า กลุ่มที่ใช้ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้มีมากมายหลายกลุ่ม
ที่สำคัญ "กลุ่มหลัก" ที่ใช้ความรุนแรงมาตลอด (เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต) ยังเลือกใช้วิธีจัดโครงสร้างแบบ "องค์กรลับ" ส่งผลให้โครงสร้างองค์กรไม่มีความชัดเจน และเมื่อการต่อสู้มีความยืดเยื้อยาวนาน ย่อมมีโอกาสสูงที่กลุ่มติดอาวุธอาจขยายวงไปมาก คือแตกกลุ่มแตกสาขากันไปตามอุดมการณ์ความเชื่อของแต่ละพวกแต่ละคน ทำให้เกิดภาวะ "ไร้เอกภาพ" อย่างสิ้นเชิง และองค์กรนำ (เดิม) ไม่อาจบังคับบัญชาได้ 100%

หากเราเชื่อว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสภาพนั้น การเจรจากับใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งย่อมแทบจะไร้ผลในการยุติความรุนแรงในภาพรวม ฉะนั้นการที่เราตั้งความหวังกับกระบวนการพูดคุยเจรจามากๆ สุดท้ายอาจจะผิดหวังก็ได้

ส่วนตัวผมมองว่าทฤษฎีที่หยิบยกมาใกล้เคียงกับสภาพจริงในพื้นที่อย่างมาก เนื่องจากได้ลองให้คนในพื้นที่ช่วยสอบถามกลุ่มติดอาวุธที่ถูกเรียกว่า "อาร์เคเค" หลายครั้ง หลายคน ได้คำตอบใกล้เคียงกันว่าไม่รู้จักเลยว่ารัฐไทยไปเจรจากับใคร และไม่ได้รับสัญญาณไม่ว่าจากทางใดให้ลดระดับการก่อเหตุรุนแรงลง

ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าทางที่ดีและรอบคอบที่สุด คือเราควรใช้กระบวนการพูดคุยเจรจาเป็นเพียง "กลไก" หรือเครื่องมือหนึ่งในหลายๆ เครื่องมือในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ทุ่มเทความหวังไปที่การพูดคุยเจรจาเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำตอบเดียวของปัญหาชายแดนใต้ แล้วลืมการแก้ไขปัญหาพื้นฐานต่างๆ ที่เป็น "เงื่อนไข" ของความขัดแย้งและยังปรากฏอยู่อย่างดาษดื่น

เพราะท่ามกลางปัญหาที่มีมิติซับซ้อนสูงและมีกลุ่มที่เห็นต่างกับรัฐค่อนข้างหลากหลายเช่นนี้ หัวใจของการแก้ปัญหาย่อมหนีไม่พ้นการลดทอน "เงื่อนไข" ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลือกใช้ความรุนแรงให้ลดลงเรื่อยๆ นั่นก็คือการมียุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติที่หลากหลาย แล้วขับเคลื่อนงานไปพร้อมๆ กัน

หลายเรื่องผมไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องรอการพูดคุยสันติภาพแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่คนทำงานภาคใต้ก็ทราบๆ กันดีอยู่แล้วว่าควรทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นธรรมทางคดี การลดการใช้กฎหมายพิเศษ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่เลือกพุทธ-มุสลิม ไม่เลือกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชน การคลี่คลายคดีคาใจต่างๆ รวมไปถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ (ที่เป็นการปกครองท้องถิ่นจริงๆ) ก็สามารถเดินหน้าไปได้เลย หากเป็นความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เท่าที่ผมเคยร่วมเวทีพูดคุยวงปิดกับประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ในพื้นที่ชายแดนใต้ พบว่าสิ่งที่ประชาชนอยากได้มากๆ ไม่ใช่ "เขตปกครองพิเศษ" ในความหมายของการปกครองตนเอง หรือในรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ แต่เป็นการเพิ่มช่องทางให้ "คนดีๆ" ได้เข้าสู่ระบบตัวแทนเพื่อเข้าไปเป็นผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ เช่น เพิ่มคุณสมบัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งระดับต่างๆ โดยเฉพาะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือนายก อบต.ต้องจบปริญญาตรี เพื่อแก้ปัญหาการใช้ระบบเครือญาติผูกขาดเก้าอี้ และมีกลไกลดความขัดแย้งในการเลือกตั้ง อาทิ ใช้ระบบประชาคมที่อิงกับหลักการทางศาสนา หรือการมี "สภาซูรอ" คอยคัดกรองผู้สมัคร เป็นต้น

เรื่องเหล่านี้ผมว่าไม่เห็นต้องรอ นายฮัสซัน ตอยิบ หรือแกนนำบีอาร์เอ็นคนไหนมาเรียกร้อง เพราะสามารถทำได้ทันที และยังเป็นการแสดงความจริงใจด้วยว่ารัฐต้องการให้เกิดสันติสุขอย่างแท้จริงโดยมี "ประชาชน" เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ถูกครหาว่ามี "ผลประโยชน์ทางการเมือง" เป็นตัวตั้งดังที่เป็นอยู่!

ที่มา http://m.southdeepoutlook.com/news_content.php?id=10000361





3/13/2556

ถอยคนละก้าว ให้ที่ยืนแก่กัน ร่วมสร้างสันติสุขในบ้านเรา


           
       เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ทั้งคณะได้ไปประชุมที่ ศอ.บต. ยะลา โดยเชิญทหารตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ค่ายนาวิกโยธินถูกโจมตีที่บาเจาะ นราธิวาสเมื่อ 13 ก.พ. 2556 มาเล่าข้อมูลและแลกเปลี่ยนซักถามกัน  ผู้การฯ นาวิกโยธินเล่าให้ที่ประชุมฟังว่า มักถูกนักข่าวถามว่าไล่ล่าพวกโจรไปถึงไหนแล้ว  ตอบว่าตนไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นเลย เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่โจร เขาเป็นเพียงพี่น้องที่เห็นต่างและเคยมีประสบการณ์ถูกกระทำจากรัฐมาก่อน  แทนที่จะไล่ล่าตนกลับจะต้องรีบรุดไปหาญาติพี่น้องของเขาเหล่านั้นแทน เพื่อแสดงความเสียใจและเห็นอกเห็น
          อันที่จริงการสู้รบทั้งสองฝ่าย ต่างผลัดกันได้เปรียบเสียเปรียบกันมาโดยตลอด ความสูญเสียทุกครั้ง ไม่ว่าของฝ่ายใดล้วนเป็นเรื่องที่น่าเศร้าโศกเสียใจทั้งสิ้น เพราะทุกคนคือพี่น้องคนไทย ทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ ไม่ควรที่เราจะมายินดีหรือยินร้ายกับใคร ไม่ควรสะใจหรือโกรธแค้นเหมือนคนเชียร์มวย  แต่เราควรต้องช่วยกันภาวนาให้ทั้งสองฝ่ายหยุดสู้รบกัน โดยส่งเสียงดังๆ ว่าขอสันติภาพกลับคืน
    
          วันนี้ผมมีข้อเสนอรูปธรรมการถอยคนละก้าวและให้ที่ยืนแก่กันและกัน  เป็นเสียงเพรียกเพื่อสันติภาพจากภาคประชาสังคมครับ

1. สร้างเงื่อนไขการหยุดยิง สร้างบรรยากาศสันติภาพ (Peace Building)
          การหยุดใช้ความรุนแรงเข้าห้ำหั่นกัน การเกิดความรู้สึกที่ปลอดภัย การสามารถใช้วิถีชีวิตที่เป็นปกติสุขได้ เหล่านี้คือรูปธรรมของสันติภาพ ซึ่งไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพังหรือการใช้กำลังที่เหนือกว่าไปบังคับอีกฝ่าย จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างบรรยากาศสันติภาพ ดังนี้
          1) รัฐบาล ต้องประกาศเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ในการสร้างสันติภาพ พร้อมทั้งแสดงความจริงใจด้วยการนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในฯ มาใช้แทน พ.ร.ก.การบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินฯ แบบเต็มทั้งพื้นที่ โดยทันที  นี่เป็นงานการเมืองและงานนโยบายเชิงรุกที่น่าจะเหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ขณะนี้ นักการเมืองไม่ควรไปแย่งฝ่ายปฏิบัติทำในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่บทบาทหน้าที่ ไม่ควรกลัวว่าใครจะมาแย่งซีน ไม่ฉวยโอกาสหาเสียงกันแบบมักง่าย ความมั่นคงไม่ใช่เรื่องเล่น จะต้องทำให้เรื่องนี้พ้นจากความเป็นขั้วเป็นฝ่ายทางการเมืองเสียที
          2) ฝ่ายขบวนการ  (BRN Coordinate, RKK, Juwae) ต้องหยุดระเบิด หยุดเข่นฆ่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไร้ทางสู้ โดยทันทีเช่นกัน เพราะการปฏิบัติการณ์เช่นนั้นรังแต่จะเสียการเมือง ทำลายความชอบธรรมในการต่อสู้  พื้นที่สำหรับยืนในระยะยาวจะยิ่งหดแคบ ความกลัวของสาธารณชนในท้องถิ่นเมื่อถึงขีดสุด จะเปลี่ยนเป็นความเกลียดและกล้าที่จะเป็นปฏิปักษ์
          3) สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการเมืองของฝ่ายรัฐ ต้องเดินหน้ากระบวนการพูดคุยและเจรจาสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างในระดับผู้ตัดสินใจอย่างหวังผลสัมฤทธิ์ ต้องใช้การข่าวและหลักวิชาชีพที่เป็นจุดแข็งของสถาบันและความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ไม่ปล่อยให้พรรคการเมืองมาใช้เป็นเครื่องมือจนเสียการ
          4) กอ.รมน. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านปฏิบัติการด้านการทหาร ต้องเข้มแข็งในการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบปลอดภัยของบ้านเมือง ต้องใช้มาตรการการเมืองนำการทหารอย่างเข้มข้นและเตรียมการรองรับการคืนสู่เหย้าเข้าร่วมพัฒนาชายแดนใต้ของพี่น้องผู้เห็นต่าง
          5)ศอ.บต.ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการพัฒนา ต้องเดินหน้าการเยียวยาเชิงสมานฉันท์ในเชิงรุกและสนับสนุนการฟื้นฟูพัฒนาพื้นที่ สร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ โดยทุกกิจกรรมทุกขั้นตอนต้องสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในเชิงคุณภาพอย่างจริงจัง
          6) ภาคประชาสังคม ในฐานะเป็นพลังที่เป็นกลาง ต้องทำหน้าที่กำกับ สนับสนุนและตรวจสอบทุกฝ่าย รวมทั้งร่วมสร้างบรรยากาศสันติภาพอย่างจริงจัง ในทุกรูปแบบ

2. เสริมสร้างบทบาทและพลังชุมชนในงานพัฒนา (People Empowerment)
          การพัฒนาที่ถูกทิศทางและมีความสมดุล สามารถป้องกันปัญหาความขัดแย้งได้ จึงนำมาซึ่งสันติภาพและสันติสุข ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การพัฒนาที่ยั่งยืนคือการพัฒนาที่ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ชุมชนเป็นแกนหลักและประชาชนมีบทบาทสำคัญ  จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พัฒนาระบบและกลไกสนับสนุนภาคประชาชนในงานพัฒนา ดังนี้
          1) รัฐบาล ควรจัดตั้งองค์การมหาชนเพื่อเป็นกลไกการทำงานเสริมให้กับ ศอ.บต.ในการสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนชายแดนใต้ ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณและกำกับดูแลให้เป็นองค์กรเสริมสร้างพลังชุมชนท้องถิ่นที่ปลอดจากการเมืองและมีความเป็นมืออาชีพในด้านงานพัฒนาอย่างแท้จริง
          2) ภาคประชาสังคม ควรก่อตั้งกลไกและพัฒนาระบบมูลนิธิกองทุนชุมชน (community foundation) เพื่อระดมการบริจาคสาธารณะและจัดการทุนสนับสนุนแก่กลุ่มและองค์กรอาสาสมัครที่หลากหลายในพื้นที่ เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาชายแดนใต้เคียงคู่กับภาครัฐด้วยระบบการพึ่งตนเอง

3. ส่งเสริมการกระจายอำนาจเพื่อการจัดการตนเอง (Decentralization)
          การพูดคุยเรื่องการกระจายอำนาจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากเป็นการเปิดพื้นที่สันติให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีความเห็นต่างได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างมั่นใจแล้ว ยังช่วยให้ประชาชนในระดับฐานรากได้มีโอกาสเปิดโลกทัศน์รับข้อมูลและความรู้ใหม่ๆ  ถึงแม้นว่าการหาข้อยุติในรูปแบบการเมืองการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะสำหรับท้องถิ่นชายแดนใต้ยังคงต้องใช้ระยะเวลา แต่การเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีเช่นนี้ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้ทุกฝ่ายสนับสนุน ดังนี้
          1) สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ ควรส่งเสริมสนับสนุนให้มีเวทีวิชาการเพื่อพัฒนารูปแบบทางเลือกการกระจายอำนาจที่หลากหลาย ให้ประชาชนมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่องต่อไป
          2) สภาประชาสังคมชายแดนใต้ ควรจัดทำสรุปประเด็นสำคัญความต้องการของภาคประชาชนด้านการกระจายอำนาจที่ได้จากการจัด 200 เวที เสนอต่อสาธารณะและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนกิจกรรมการเสนอกฎหมายกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นชายแดนใต้สามารถจัดการตนเองได้มากขึ้น  ทั้งนี้ให้เป็นไปตามขั้นตอนและกติกาของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด

ที่มา  พลเดช  ปิ่นประทีป 
หมายเหตุ: เขียนให้โพสต์ทูเดย์ 6 มีนาคม 2556

2/17/2556

โจรใต้อหังการโดนวิสามัญ 16 ศพ หรือความเบื่อหน่ายจะถึงจุดแตกหัก


       

        การไล่ล่าโจรใต้ที่อหังการใช้กำลังกว่า 50 คนเข้าโจมตีฐานทหารนาวิกโยธินที่บ้านยือลอ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ 13 ก.พ.56 ที่ผ่านมาซึ่งผลการตอบโต้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทำให้คนร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 16 คนจนถึงขณะนี้นั้นฝ่ายความมั่นคงยังคงพยายามไล่ติดตามส่วนที่เหลือที่กำลังหลบหนีอย่างไม่ลดละ  และคาดว่าจะมีส่วนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ  ขณะที่ฝ่ายขบวนการก็โปรยใบปลิวทั่วพื้นที่ว่าจะตอบโต้เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับผู้ที่เสียชีวิต  ซึ่งกำลังเป็นที่จับตาว่าฝ่ายความมั่นคงจะเตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร  แต่ที่แน่ๆ  ความเดือดร้อนจากการแก้แค้นที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้คงหนีไม่พ้นพี่น้องประชาชนในพื้นที่อีกเช่นเคย

          และในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้  ปฏิบัติการจองเวรแบบไม่เลือกหน้าไม่เว้นแม้แต่เด็กและสตรีของบรรดานักรบขี้ยาฟาตอนีก็เริ่มขึ้นแล้วที่ปัตตานีตั้งแต่คืนวันที่ 16 ต่อเนื่องถึงวันที่ 17 ก.พ.56  ในลักษณะระเบิดและวางเพลิงป่วนเมืองจนทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บไปหลายราย

          ย้อนกลับไปดูเหตุโจมตีฐานทหารของกลุ่ม RKK แบบพิจารณารายละเอียดกันซักนิดจะพบว่าความสูญเสียของฝ่ายขบวนการในครั้งนี้นั้นเพราะเจ้าหน้าที่ได้รับเบาะแสข่าวสารจากประชาชนในพื้นที่แจ้งเตือนถึงการปฏิบัติการครั้งใหญ่ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีเวลาวางแผนเตรียมการตอบโต้เป็นอย่างดี 

          ประเด็นหลักที่ฟันธงได้คือความเบื่อหน่ายกับการก่อเหตุร้ายแบบไร้ทิศทางของขบวนการที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในทุกด้าน  และที่ประชาชนโดยเฉพาะพี่น้องมุสลิมรับไม่ได้คือการสังหารครูชลธี  เจริญชล ครูมุสลิมที่เป็นที่รักของเด็กนักเรียน  ผู้ปกครองและชาวบ้าน  ซึ่งเป็นที่รู้กันในพื้นที่ว่ากลุ่มคนร้ายที่สังหารครูนั้นคือกลุ่มของนาย  มะรอโซ  จันทรวดี  แกนนำในพื้นที่ซึ่งมีหมายจับยาวเหยียด   นี่อาจเป็นชนวนเหตุประการหนึ่งที่นำไปสู่การให้ข่าวสารกับเจ้าหน้าที่จนนายมะรอโซ ฯ  ถูกวิสามัญพร้อมกับพวกในครั้งนี้

          อีกประเด็นที่น่าจะตอบข้อสงสัยและความเข้าใจที่อาจจะคลาดเคลื่อนของชาวบ้านได้คือ กลุ่มชายฉกรรณ์ที่แต่งชุดลายพรางหรือแต่งชุดดำแบบทหารพราน แล้วออกก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนด้วยการวางระเบิดตรงโน่น   ยิงชาวบ้านตรงนี้แล้วหายเข้ากลีบเมฆพร้อมโยนความผิดให้กับฝ่ายความมั่นคงนั้นเป็นใครกันแน่  ที่เลวร้ายโดดเด่นที่สุดและไม่เหมือนกลุ่มก่อการร้ายใดๆ ในโลกนี้คือ  กลุ่มขบวนการในประเทศไทยไม่เคยออกมาประกาศความรับผิดชอบต่อการกระทำใดๆ เหมือนในต่างประเทศ  นั่นยิ่งสร้างความสับสนให้ประชาชนอีกยกใหญ่

แต่วันนี้ปรากฏชัดว่ากลุ่ม RKK ที่เข้าปฏิบัติการและเสียชีวิตในคืนวันนั้น  แต่งกายด้วยเครื่องแบบเหมือนเจ้าหน้าที่พร้อมด้วยเสื้อเกราะและอาวุธครบมือ  และจากผลการตรวจพิสูจน์ทั้งอาวุธและเสื้อเกราะก็ล้วนเป็นยุทโธปกรณ์ที่แย่งยึดไปจากเจ้าหน้าที่  รวมทั้งเคยใช้ในการก่อเหตุสังหารทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ในหลายกรรมหลายวาระ ซึ่งคงเป็นข้อยืนยันได้ว่าหลายเหตุการณ์ที่ขบวนการใช้วิธีป้ายสีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า แท้จริงแล้วก็เป็นฝ่ายขบวนการนั้นเอง 

          ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นที่รู้กันของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ว่าอะไรเป็นอะไร  คงมีเพียงแกนนำแนวร่วมในพื้นที่เท่านั้นที่ใช้การโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวง ข่มขู่ชาวบ้านไปแบบข้างๆ คูๆ แต่กลับได้ผลอย่างน่าประหลาด

          การอาละวาดฟาดหัวฟาดหางของขบวนการด้วยการก่อเหตุต่างๆ นาๆ จนทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นทุกวันในขณะนี้นั้น  จึงไม่ส่งผลดีต่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด  และรังแต่จะทำให้สถานการณ์ด้านมวลชนของฝ่ายขบวนการเลวร้ายลง  เพราะผู้ที่รับกรรมนอกเหนือจากประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธแล้วอีกส่วนมิใช่ใครที่ไหนก็เป็นพี่น้องมุสลิมที่ฝ่ายขบวนการบอกว่าจะปกป้องนั่นเอง

          แต่ไม่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเกิดผลดีหรือไม่ดีต่อฝ่ายไหนอย่างไร  ผลที่เกิดขึ้นแล้วคือการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะทุกคนล้วนเป็นคนไทย  และในวันที่เรากำลังต้องการความรักความสามัคคีเพื่อช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น  การใช้โอกาสในการพูดคุยจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีเพื่อลดการสูญเสียย่อมมีประโยชน์เกื้อกูลในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงของประเทศมากกว่าการหยิบอาวุธมาเผชิญหน้ากันมิใช่หรือ
                             
          ซอเก๊าะ   นิรนาม

2/06/2556

โจรใต้สุดโต่งกราดยิงชาวนาที่มาจากจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อช่วยแนะนำการทำนาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดับ 2 เจ็บ 9


            เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 .ที่ผ่านมา คนร้าย จำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ จำนวน  2 คัน ได้ใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงรถยนต์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งบรรทุกชาวนาที่มาจากจังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดสิงห์บุรี (อยู่ทางภาคกลางตอนเหนือของประเทศไทย) ขณะเดินทางกลับจากการแสดงสาธิตการทำนาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ตำบลบาโลย อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เพื่อกลับบ้านพักที่วัดปิยาราม  ตำบลปิยามุมัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 2 คน และบาดเจ็บ จำนวน 11 คน
             ชาวนาจากพื้นที่ภาคกลางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เป็นเกษตรกรที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำนา และได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เปรียบเสมือน “เป็นอู่ข้าวอู่น้ำป้อนอาหารให้กับมวลมนุษยโลก  แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่งที่ชาวนากลุ่มนี้ต้องมาจบชีวิตและถูกทำร้ายในพื้นที่จังหวัดปัตตานี พวกเขาเดินทางมาที่จังหวัดปัตตานี ด้วยเจตนาดีมุ่งมั่นต้องการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่น้องคนไทยที่นักถือศาสนาอิสลาม ที่ยังขาดองค์ความรู้ในการพัฒนาวิธีการทำนาให้ได้ผลผลิตสูง พวกเขาอาสาเข้ามาในพื้นที่ ตามโครงการฟื้นฟูนาร้างกว่า 20,000 ไร่(ทุ่งนาที่ถูกทิ้งร้างไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์) ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นโครงการเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชาวนากว่า 5,000 ครอบครัว ส่งเสริมให้เกษตรกรมีความร่วมมือกันในชุมชน ลดต้นทุนการผลิต และ  ที่สำคัญได้ประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ โดยใช้กระบวนการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะสามารถสร้างต้นแบบ และองค์ความรู้ให้กับเกษตรกรในชนบทได้นำไปทดลองปฏิบัติ เป็นการยกระดับฐานะความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยให้ดีขึ้น
             จากเหตุการณ์ไล่ฆ่าชาวนาผู้บริสุทธิ์แม้พวกเขาจะเป็นผู้ที่เสียสละเดินทางมาเพื่อช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมก็ตาม แต่เพียงเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนต่างศาสนิก  สิ่งที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นพฤติกรรมความโหดเหี้ยมของมุสลิมบางคนบางกลุ่ม เป็นพวกไร้มนุษยธรรม และ “สุดโต่ง” ทางความคิดเหนือขอบเขตที่ศาสนาอิสลามกำหนด สร้างความแตกแยกในสังคม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเชื่อว่าเป็นความพยายามต้องการสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องประชาชนไทยที่นับถือศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นแนวทางที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้วางแผนการปฏิบัติอันนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างความแตกแยก และต่อสู้กันเองระหว่างคนไทยด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวมีจำนวนไม่มากในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
             ขอให้พี่น้องมุสลิมในประเทศไทยและต่างประเทศ ออกมาประณามและขจัดพวก “สุดโต่ง” ที่ทำลายความน่าเชื่อถือ และนำความเสื่อมเสียมาสู่มุสลิมทั่วโลกซึ่งเป็นผู้รักสันติสุขในครั้งนี้ พวกเขาได้ทำให้เห็นถึงความอัปยศ และได้ทำลายมวลชนแนวร่วมของพวกเขาเองที่รับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  พี่น้องชาวนาที่เป็นมุสลิมในพื้นที่จังหวัดปัตตานีได้รวมตัวกันออกมาต่อต้านพวก “สุดโต่ง” เป็นจำนวนมาก
                ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวชาวนาผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับขอชมเชยในความเสียสละของพวกท่าน  หวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีก

อับดุลคอนี   สาแหระ

1/28/2556

“โรฮิงญา” ชนเผ่าไร้สัญชาติ กับความเมตตาที่ไร้พรมแดนของชาวไทยพุทธ-มุสลิม




ข่าวการหลั่งไหลเข้ามาทางภาคใต้ประเทศไทยอย่างต่อเนื่องชาวมุสลิมโรฮิงญา ชนกลุ่มน้อยซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งทางภาคตะวันตกของเมียนมาร์  พร้อมกับภาพเรือมนุษย์ลำน้อยที่แออัดยัดทะนานลอยลำอยู่กลางทะเลมาขึ้นฝั่งในหลายพื้นที่ทางตอนใต้ของไทย  และได้ถูกเจ้าหน้าที่ ตม. ไทยจับกุมในข้อหาเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย โดยให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ควบคุมในพื้นที่ทั้ง อ.สะเดา จ.สงขลา จำนวนกว่าหนึ่งพันคน บางส่วนได้ถูกนำมาดูแลในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในขณะนี้นั้น กำลังเป็นจับตามองของหลายฝ่ายทั้งในและนอกประเทศว่ารัฐบาลไทยจะทำอย่างไรกับโรฮิงญากลุ่มนี้ 

ภายใต้กระแสการวิพากษ์ในมุมมองต่างๆ พร้อมเสนอแนวทางออกรวมทั้งการตั้งข้อเรียกร้องหลายประการจากองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรของพี่น้องมุสลิมว่าต้องให้การดูแลช่วยเหลือ  ไม่เว้นแม้แต่ชาวมุสลิมโรฮิงญาที่หลบหนีเข้าเมืองมาเองที่ยังร้องขอต่อรัฐบาลไทยว่าอย่าส่งกลับไปเมียนมาร์  ด้วยเหตุผลว่า  ถ้าส่งกลับไปพวกเขาต้องถูกฆ่าตาย

แน่นอนว่าจากแรงกดดันข้างต้นจะส่งผลให้รัฐบาลไทยในวันนี้อยู่ภาวะ “กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก” เพราะขนาดเมียนมาร์เองยังบอกว่าชาวโรฮิงญาไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยของตน  แต่เป็นพวกที่หลบหนีเข้ามาจากบังคลาเทศ  ขณะที่บังคลาเทศก็ไม่ยอมรับว่าเป็นพลเมืองของตน  ซึ่งก็คงต้องหาทางออกที่เหมาะสมกันต่อไปเพราะรัฐบาลไทยเองนั้นก็เคยประสบปัญหาใกล้เคียงในลักษณะนี้มาแล้วไม่ว่าจะเป็นม้งอพยพหรือเขมร  แต่ที่แน่ๆ  ถึงตอนนี้ภาระรับเลี้ยงดูคนกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 แต่ในเรื่องร้ายๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของชาวโรฮิงญาก็มีแง่มุมดีๆ ที่เกิดขึ้นก็คือ  น้ำจิตน้ำใจของคนไทยที่ร่วมกันบริจาคอาหาร  เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคเพื่อช่วยเหลือชาวโรฮิงญากลุ่มนี้ได้หลั่งไหลมาจากทุกทิศทาง  ภาพของเด็กนักเรียนชาวไทยนำอาหารไปมอบให้กับพวกเขาตั้งแต่วันแรกๆ ของการถูกควบคุมตัวซึ่งถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนได้สร้างความประทับต่อผู้ได้พบเห็น        ไม่เพียงเท่านั้นยังมีกลุ่มบุคคล  หน่วยงานของรัฐและองค์กรต่างๆ ยื่นมือเข้ามาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องมุสลิมจากชายแดนใต้ ที่ให้ความช่วยเหลือโดยการตั้งจุดรับบริจาคในหลายจุดทั่วพื้นที่

ภาพเหล่านี้ได้บ่งบอกให้สังคมทั่วไปและสังคมโลกได้รับรู้ถึงความเป็นคนไทยที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา 

อีกภาพหนึ่งที่สวยงามคือ  ในยามที่เกิดความขัดแย้งหรือความเดือดร้อนในกรณีใดๆ  เมื่อถึงเวลาที่จะต้องร่วมมือร่วมใจโดยใช้พื้นฐานของความเป็นคนไทยด้วยกันแล้ว  การร่วมแรงร่วมใจกันของทุกฝ่ายจะเกิดขึ้นเสมอโดยลืมความขัดแย้งนั้นไปจนหมดสิ้น  เฉกเช่นเดียวกับที่กำลังเกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้  ที่ทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิมต่างร่วมใจกันให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาด้วยความเมตตาสงสารอย่างน่าชื่นชม

สำหรับชาวโรฮิงญาแล้วนี่อาจเป็น “ฝันดี” ของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่ง  เพราะเขาเหล่านั้นยังอยู่ในฐานะของ  ผู้หลบหนีเข้าเมือง  ไม่ใช่  ผู้ลี้ภัยสงคราม  และตามกฏหมายแล้วต้องถูกผลักดันออกจากประเทศไทยภายใน 3 เดือนซึ่งเป็นได้สองทางคือ  กลับไปยังประเทศต้นทางหรือส่งไปประเทศที่สาม  โดยเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการแก้ปัญหาให้ถูกทางต่อไป  และไม่ว่าผลออกมาจะดีหรือร้ายก็เป็นเรื่องที่ชาวโรฮิงญาต้องยอมรับมัน

เห็นภาพของความร่วมมือร่วมใจของพวกเราคนไทย   โดยเฉพาะพี่น้องทั้งไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ณ เวลานี้แล้ว  ส่วนตัวผู้เขียนเองอยากให้ภาพความรัก  ความเอื้ออาทร  ความร่วมมือกันในลักษณะนี้ของคนในพื้นที่คงอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ของเราต่อไปอีกตราบนานเท่านาน  เพราะมันจะช่วยทำให้ “ฝันร้าย” ของคนในพื้นที่นี้จบลงเสียที  เพราะประชาชนเบื่อหน่ายกับการก่อเหตุรุนแรงจนเกินจะทนแล้ว  เห็นด้วยมั้ย

ซอเก๊าะ   นิรนาม

1/17/2556

9 ปี 9 ไป สานใจสู่สันติ จุดเปลี่ยนเพื่อสันติภาพ จชต.



คำกล่าวที่ว่าในเมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายยังมีประกายแห่งความหวังเสมอนั้น  ถึงชั่วโมงนี้คงสามารถนำมาใช้เปรียบเปรยกับเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยได้อย่างใกล้เคียงที่สุด  ด้วยความเดือดร้อนสูญเสียทั้งคนใกล้ชิดและพี่น้องร่วมชาติ  ตลอดจนการสูญเสียโอกาสในทุกๆ ด้านของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น   ตลอดเวลา9 ปีที่ผ่านมาไม่อาจประมาณออกมาเป็นจำนวนนับได้  แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเมฆหมอกนั้นกำลังจะจางหายไปพร้อมกับน้ำตาแห่งความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนที่กำลังจะเหือดแห้งลงเช่นกัน

ด้วยในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาได้ปรากฏความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วนที่จะยุติเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ลง  ทั้งในส่วนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.  และองค์กรภาคประขาสังคมต่างๆ  ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นฝ่ายความมั่นคงโดย พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์  แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ประกาศจุดยืนชัดเจนโดยการชูนโยบายพาคนกลับบ้าน เพื่อโน้มน้าวให้ผู้เห็นต่างจากรัฐวางอาวุธและหันมาร่วมมือกันตามแนวทางสันติ  ซึ่งดูจะได้รับการตอบรับมาด้วยดีตามลำดับ   สังเกตได้จากการออกมารายงานตัวของผู้เห็นต่างเป็นระยะๆ  ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการถึงแกนนำ

ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ม.ค.55 ที่ผ่านมา  ภาพของเส้นทางแห่งสันติยิ่งถูกย้ำชัดด้วยการจัดกิจกรรมเสวนา “สานใจสู่สันติ” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมซีเอสปัตตานี  มีผู้เข้าร่วมเสวนาซึ่งล้วนเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและรับทราบปัญหาที่เป็นรากเหง้าของเหตุการณ์รุนแรงจากหลายฝ่ายเข้าร่วมกันถกแถลง ได้แก่ อาจารย์ศรีสมภพ  จิตร์ภิรมย์ศรี จาก มอ.คณะรัฐศาสาตร์ มอ.ปัตตานี ในฐานะ ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ชายแดนใต้  นายแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนาและเป็นที่ยอมรับในบทบาทการสร้างสันติภาพในพื้นที่  นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนที่ติดตามทำข่าวเหตุการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอดจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส  นายเสริมสุข  กษิติประดิษฐ์  รวมทั้งที่เป็นไฮไลท์ของการเสวนาซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวแทนของผู้เห็นต่างซึ่งปัจจุบันยอมวางอาวุธแล้วหันมาต่อสู้ตามแนวทางสันติคือ นายยะยา  การูมอ  อดีตอุสตาซโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิผู้ซึ่งเคยหลบหนีไปพร้อมๆ กับนายสแปอิง  บาซอ  แกนนำคนสำคัญ

ตัวแทนสื่อแจงผู้เห็นต่างต้องคำนึงถึงประชาชน

โดยในมุมมองของสื่อมวลชน นายเสริมสุข  กษิติประดิษฐ์  แสดงทัศนะว่าจากการติดตามทำข่าวมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา  ได้เห็นความพยายามของหลายฝ่ายในอันที่จะแก้ปัญหานี้  แต่ด้วยความไม่ชัดเจนทางนโยบายของรัฐบาลในห้วงที่ผ่านมาหรือแม้แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ยังคงไม่มีความชัดเจนอยู่เช่นเดิม  ส่วนปฏิบัติในพื้นที่ต่างหากที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้  โดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมาสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและมีแนวโน้มว่าจะรังสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นได้จริงคือ  ความพยายามของทั้งส่วนที่มีบทบาทในการพัฒนาคือ ศอ.บต.  ที่ลงพื้นที่เข้าถึงและเข้าใจประชาชนมาเป็นอย่างดี  ในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงคือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้หันมาใช้การเจรจาเพื่อสันติภาพมากขึ้น  การแสดงออกอย่างชัดเจนของแม่ทัพภาคที่ 4  ที่ไม่ต้องการใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธแต่ต้องการให้มาพูดคุยกันเป็นทางออกที่ดี  และจะส่งผลให้ผู้ที่ยังเห็นต่างออกมาพูดคุยกันมากขึ้น  นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่างกลุ่มอาเจะห์ในอินโดนีเซียที่สามารถพูดคุยกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้จนเหตุการณ์คลี่คลายลง  เพราะกลุ่มอาเจะห์ยังคิดถึงประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการสู้รบด้วย

“ผู้นำของกลุ่มอาเจะห์ถามผมว่าเหตุการณ์ในภาคใต้ของไทยเป็นอย่างไร  ผมก็เล่าให้เค้าฟัง  เค้าก็แสดงความแปลกใจว่าทำไมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทยต้องทำร้ายประชาชนแบบไม่แยกแยะ  ทำร้ายครูทำร้ายเด็ก  แล้วจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนส่วนใหญ่ได้อย่างไร”  นายเสริมสุขฯ  กล่าวในที่สุด

อดีตอุสตาสวอนเลิกสู้รบ  หันมาใช้แนวทางสันติ

นายยะยา  การูมอ  ซึ่งได้เปิดใจบอกเล่าถึงเส้นทางการต่อสู้อย่างยาวนานซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะชนะจนต้องออกมารายงานตัวร่วมสร้างสันติว่า ตนได้เข้าสู่กระบวนการของภาครัฐด้วยสาเหตุหลักคือ  มีความไว้วางใจต่อนโยบายของทางกองทัพ  เพราะมีรูปธรรมและความชัดเจนมากยิ่งขึ้น  ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องครอบครัวที่ต้องดูแล  โดยคนในเครือข่ายได้มาชี้แนะให้เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 และเริ่มเห็นกระบวนการยุติธรรมว่าเป็นสิ่งที่พึงได้  สามารถนำกลับบ้านได้จริง “ผู้ผิดอย่างผมคิดว่า การแก้ปัญหาตรงจุดนี้ควรจะทำต่อไป ยกตัวอย่างสมมุติว่า เรามีเชือก ๒ เส้น และมีปมอยู่ตรงกลาง เชือด ๒ เส้นนี้มี ๔ มุม ให้ท่านประธานแวดือราแมถือ ๑ มุม ส่วนผมถืออีก ๑ มุม ท่านอาจารย์ศรีสมภพถือ ๑ มุม คุณเสริมสุขถืออีก ๑ มุม ทุกคนต่างถือกันคนละมุม แล้วต่างคนต่างดึงเชือกเส้นนั้น สังเกตว่าจะมีโอกาสที่จะแก้ปมที่มัดได้หรือไม่ แล้วถ้าต่างคนต่างดึงเชือก มันไม่มีวันที่จะแก้มัดหรือปมนั้นได้เลย แต่ถ้าหากทั้ง ๔ ท่านมีท่านใดท่านหนึ่งยอมที่จะหย่อนเชือกให้ลดลงบ้าง ผมว่าการที่จะแก้มัดแก้ปมนั้นจะง่ายมากขึ้น”  นอกจากนี้นายยะยาฯ ยังได้เสนอแนวความคิดในทัศนะของผู้ที่เคยร่วมในขบวนการฯ ถึงกระบวนการสร้างสันติภาพว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมหันมาพูดคุยกัน  เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจต้องปฏิบัติงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตนเชื่อว่าไม่นานเหตุการณ์จะดีขึ้น  และพร้อมที่จะชักชวนกลุ่มคนที่หลงผิดที่ยังคงใช้ความรุนแรง  ขอให้ช่วยกันบอกช่วยกันคุยให้คนที่ยังสู้อยู่กลับมาต่อสู้ด้วยวิถีทางที่ถูกต้อง 

ผู้นำศาสนาชี้ต้องพูดคุย  เคารพสิทธิ

มุมมองของผู้นำศาสนา นายแวดือราแม  มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี  กล่าวว่าวันนี้ทุกคนอยากให้เกิดสันติภาพ แต่การสร้างสันติภาพจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ส่วนของตนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในหลายกรณี  ตลอดจนเป็นตัวกลางระหว่างผู้ได้รับผลกระทบกับฝ่ายความมั่นคงในการประสาน  ซึ่งก็ได้นำปัญหาต่างๆ เสนอต่อแม่ทัพภาคที่ 4 มาโดยตลอด  และได้รับความโอกาสพร้อมกับความเมตตาจากท่านเสมอมา ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น มั่นใจเพิ่มมากขึ้น  “ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ไม่ควรกดดันเขา ในส่วนของท่านแม่ทัพภาคที่ ๔ ก็จะช่วยในเรื่องของการพูดคุยทางด้านกฎหมาย โดยมีหน่วยงานหลายฝ่าย ทั้งทนายความ และส่วนต่าง ๆ มาช่วย ถ้าเขาพร้อมก็จะเปิดโอกาสให้ แล้วพาเขาไปหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ต้องรอจังหวะที่แน่นอนจากเสียงกระแสต่าง ๆ ซึ่งเป็นความหวังของเจ้าหน้าที่ในการสร้างเอกภาพ ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ให้ความเคารพเกี่ยวกับเรื่องสิทธิอะไรต่าง ๆ ทั้งทางด้านความคิด อย่าใช้ความรุนแรงในการประสานกัน”

ทำลายกำแพงความเกลียดชัง  ทุกฝ่ายพร้อมแล้ว  ขึ้นอยู่กับประชาชน

พลโทอุดมชัยฯ แม่ทัพภาคที่ 4  ในฐานะหัวเรือใหญ่ฝ่ายความมั่นคงที่ช่วงหลังๆ มานี่ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนที่จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นโดยใช้แนวทางสันติ  ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์อย่างฟันธงว่ามุ่งมั่นมากกว่าอดีตแม่ทัพคนใดๆ ในช่วงที่ผ่านมา  ประกอบกับกิจกรรมครั้งนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อย้ำถึงเจตนารมณ์ของแม่ทัพท่านนี้ว่างานนี้เอาจริง  ได้ให้ความเห็นในช่วงท้ายของการจัดกิจกรรมว่า  พื้นฐานของเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งเกิดจากความเกลียดชังซึ่งเกิดมากจากภาพลักษณ์ในอดีต  หรือส่วนหนึ่ง ขบวนการ BRN ได้สร้างขึ้นจากการถ่ายทอดประวัติศาสตร์และความเชื่อเพื่อให้เยาวชนเกลียดชังกับพี่น้องอีกส่วนหนึ่ง  เมื่อถึงจุดที่รั้งไว้ไม่อยู่ก็เปลี่ยนเป็นความรุนแรงและคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ประชาชน  ส่วนของฝ่ายความมั่นคงนั้นได้พยายามแก้ไขร่วมกับกลุ่ม BRN ส่วนที่ใม่ต้องการความรุนแรงเพื่อลดระดับลงให้มากที่สุด  และนโยบายของรัฐบาลก็มีความชัดเจนที่จะขับเคลื่อนและส่งเสริมคนที่ยุติความรุนแรงมาต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมตามระบอบประชาธิปไตยผมได้นัดหลายภาคส่วนมาพบเจอ มาฟังพร้อมกันว่าบ้านเราต้องการสานใจสู่สันติ ต้องการลดความเกลียดชังกลับไปแล้วต้องไปพากลับมากลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เราจะอำนวยความสะดวกให้อย่างเต็มที่ ในเรื่องระบอบประชาธิปไตยให้การสนับสนุนกลับมาสู่อ้อมอก มาช่วยกันลดความเกลียดชังมาสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในปีนี้ และทุกอย่างขึ้นอยู่ที่พวกเราว่าจะปฏิบัติหรือไม่ ทางผมพร้อม ทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมคณะทุกภาคส่วนก็พร้อม พี่น้องพร้อมหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับตัวพี่น้องประชาชนทุกคนที่จะตัดสินใจว่าจะให้ปีนี้เป็นปีแห่งความสันติสุขหรือไม่  แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวในท้ายที่สุดซึ่งดูจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรม
         
          อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะเสียงสะท้อนจากวงนอกว่าการเสวนา “สานใจสู่สันติ” ครั้งนี้จะเป็นกิจกรรมที่มองดูอย่างผิวเผินก็เป็นเพียงการพูดคุยเพื่อหาทางออกของปัญหาของคนเพียงไม่กี่คน  และในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมานั้นก็ได้ทำขึ้นหลายครั้งหลายหน  และสุดท้ายก็ไม่เกิดผลในทางที่หลายฝ่ายคาดหวัง  แต่ในมุมมองของผู้เขียนเองในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในสามจังหวัดแห่งนี้มาตั้งแต่เริ่มเหตุรุนแรง  กลับเห็นว่าการเสวนา “สานใจสู่สันติ” ครั้งนี้มีความพิเศษแตกต่างจากที่ผ่านมา  ด้วยเพราะมีองค์ประกอบที่จะเป็นปัจจัยส่งเสริมหลายประการ 

          ประการแรกด้วยบทบาทของผู้นำศาสนาที่คนในพื้นที่ให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังตามวิถีของพี่น้องมุสลิม ได้เข้ามาร่วมคิดร่วมทำและประสานกันกับทุกฝ่ายด้วยความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้พี่น้องในพื้นที่เห็นถึงข้อดีร่วมกันในการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น  ประการที่สองคือ ด้วยเค้าลางของความร่วมมือจากฝ่ายขบวนการเองที่เริ่มมองเห็นผลกระทบโดยตรงจากการปฏิบัติโดยใช้ความรุนแรงที่ผลนั้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต  หากยังส่งผลระยะยาวไปถึงประชาชนในพื้นที่ทุกคนและผู้แทนที่เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นครั้งนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่ “ตัวจริง”  ประการสุดท้ายคือความตั้งใจจริงของฝ่ายความมั่นคงที่จะแก้ปัญหาโดยใช้แนวทางสันติแทนการต่อสู้ด้วยอาวุธ  แม้ว่าแม่ทัพภาคที่ 4 ท่านนี้อาจต้องพ้นหน้าที่ไปในไม่ช้า  แต่หากผู้ที่มาสานต่อจะได้ยืนยันแนวทางนี้ต่อไปความสงบสุขที่ทุกคนคาดหวังก็คงอยู่ไม่ไกล

ทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวที่ว่า   ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ  ดูจะไม่เกินจริงและเป็นที่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้นี้หากประชาชนในพื้นที่ร่วมมือกัน

ซอเก๊าะ   นิรนาม

1/10/2556

ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ร่วมกันประกอบพิธีละหมาดฮายัต เพื่อแสดงเจตจำนงยุติความรุนแรง



เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2556 ที่มัสยิดในทุกพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา  พี่น้องประชาชนชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามได้รวมพลังกันประกอบพิธีละหมาดฮายัตเพื่อขอพรจากเอกองค์อัลเลาะฮ์ ช่วยดลบันดาลให้ยุติความรุนแรงและเกิดสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ร่วมกันประกอบพิธีละหมาดฮายัต หลังจากการละหมาดญุมุอะฮฺ (ละหมาดวันศุกร์) นอกจากนี้มวลชนมุสลิมเครือข่ายโครงการญาลันนันบารู หรือเครือข่ายแก้ไขปัญหายาเสพติดของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ประกอบด้วย ผู้นำศาสนา, ผู้บริหารสถานศึกษาปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม, เยาวชนโครงการญาลันนันบารู, นักศึกษาปอเนาะสานใจป้องกันภัยยาเสพติด และนักเรียนอาสาป้องกันยาเสพติด กว่า 1,000 คน ได้ร่วมกันละหมาดฮายัต “สานใจสู่สันติ” เพื่อความสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งการแสดงออกดังกล่าวของพี่น้องประชาชน ถือเป็นการแสดงออกร่วมกันเพื่อปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2547 กระทั่งปัจจุบันได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สูญเสียโอกาส ในการดำรงชีวิตและการพัฒนาในทุกรูปแบบ ส่งผลกระทบ                  ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจและสังคม อย่างกว้างขวาง ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวล้วนเกิดจากการกระทำอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งมีความสุดโต่ง ทั้งแนวความคิดและการกระทำอย่างไร้มนุษยธรรม รวมทั้งได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ ต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บทุพลภาพกว่า 10,000 ชีวิต ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ล้วนแต่มีสิทธิที่จะมีชีวิตและลมหายใจ ณ ดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทยแห่งนี้
ความพยายามในการหยิบยกเงื่อนไข เรื่องประวัติศาสตร์ ชาติพันธ์ และ อัตลักษณ์ มาบิดเบือนและแอบอ้างว่าเป็นดินแดน ดารุลฮัรบี ที่ต้องทำญิฮาด  แต่แท้จริงแล้ว เป็นเพียงการหลอกลวงให้ประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ แต่ขาดอุดมการณ์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามดำเนินการมาตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา คือ การข่มขู่ขู่เข็ญ คุกคาม และทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ตกอยู่ในความหวาดกลัวและยอมจำนน พร้อมทั้งได้สร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้เกิดความหวาดระแวงต่อกันของพี่น้องชาวไทยที่ต่างกันเพียงแค่ความเชื่อทางศาสนา ทำให้สังคมพหุวัฒนธรรมอันงดงามแห่งนี้เกิดมลทินและรอยร้าว
การเกิดเหตุร้ายตลอด 9 ปีเต็มที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ประจักษ์แล้วว่า ไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง  แก่ประเทศชาติ บ้านเมือง ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ปกติสุข        ขาดโอกาสในการพัฒนา ทั้งด้านการศึกษา ด้านการประกอบอาชีพ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม อย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป คงถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนทุกคนก็จะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา              และกล้าที่จะปฏิเสธการก่อเหตุรุนแรงในทุกโอกาสอย่างเปิดเผย เพื่อกดดันให้ผู้ก่อเหตุ วางอาวุธ ยุติการก่อเหตุรุนแรง    หันมาต่อสู้กับภาครัฐด้วยสันติวิธี ภาครัฐเองเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงทุกคนออกมาพูดคุย เพื่อหาทางยุติปัญหา    ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนร่วม ในการก่อเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งได้ใช้โอกาสนี้แล้ว ส่วนผู้ที่พยายามต่อสู้ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป             ขอตั้งคำถามว่า การก่อเหตุรุนแรงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายผิดหลักศาสนา ไม่เคารพต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นหรือไม่...เป็นวิธีการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองได้หรือไม่...ถ้ายังกระทำการอยู่ต่อไป จะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะในการต่อสู้อีกเลย แต่ถ้าหันมาต่อสู้ด้วยสันติวิธี โอกาสแห่งชัยชนะย่อมเปิดกว้างสำหรับทุกคน

12/18/2555

ไฟใต้จักมอดดับได้ด้วยประชาชน



 
สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในต้นปี 2547  โดยทวีความรุนแรง จากเหตุการณ์การบุกโจมตีที่ตั้งหน่วยกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เข้าปล้นอาวุธปืนสงครามไปจำนวนมาก พร้อมสังหารเจ้าหน้าที่อย่างโหดเหี้ยม 4 ศพ นับเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเกือบ 9 ปี 

ในช่วงแรกของสถานการณ์นั้นเป้าหมายในการลอบทำร้ายคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยเฉพาะทหารและ ตำรวจ ด้วยข้ออ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่า  ต้องการตอบโต้รัฐไทยที่ไม่ให้ความยุติธรรมต่อประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลามซึ่งเป็นคนมลายูและที่สำคัญ คือ การแบ่งแยกดินแดนตอนใต้ของไทยใน 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่ออิสระในการปกครองตนเอง  พร้อมๆ กับการปลุกระดมสร้างความหวาดกลัว และหวาดระแวงให้เกิดขึ้นกับกลุ่มคนไทยต่างศาสนามาเป็นเงื่อนไขอย่างต่อเนื่อง

โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ได้ใช้ประเด็นที่มีความอ่อนไหวในเรื่องความแตกต่างทางศาสนา  วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และขยายแนวร่วม จากกลุ่มมุสลิมในพื้นที่โดยการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเรื่องชาติพันธุ์การเป็นคนมลายูปัตตานี  และบีบบังคับให้คนต่างศาสนาออกนอกพื้นที่โดยวิธีการข่มขู่ต่างๆนานา เข่น ก่อเหตุรุนแรงใช้อาวุธสงครามฆ่าคนไทยพุทธอย่างโหดเหี้ยม และระเบิดในสถานที่ขุมชนสร้างความสะพรึงกลัวให้กับคนไทยพุทธในพื้นที่จนต้องตัดสินใจอพยพย้ายถิ่นออกนอกพื้นที่  โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิด   จึงกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญให้สถานการณ์ภาคใต้ของไทยกลับเลวร้ายมากยิ่งขึ้นและขยายขีดความรุนแรงขึ้นตามลำดับ 

ถึงวันนี้รูปแบบของสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงได้มีการพัฒนาความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในลักษณะการบ่อนทำลาย การก่อวินาศกรรมด้วยการลอบวางระเบิดขนาดใหญ่เพื่อสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจในเขตชุมชนเมือง  การลอบสังหาร และลอบวางเพลิง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนทั่วไปทั้งผู้นับถือศาสนาพุทธและมุสลิมจนถึงปัจจุบันมีจำนวนตัวเลขพุ่งสูงขึ้นตามลำดับ  ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพสังคมจิตวิทยา  ระบบเศรษฐกิจทั้งในพื้นที่และของประเทศโดยรวมอย่างมาก 

และแน่นอนว่าสถานการณ์ในภาคใต้ของไทยกำลังถูกจับตามองจากหลายฝ่ายทั้งภายในและนอกประเทศว่าบทสรุปของความรุนแรงนี้จะจบลงได้หรือไม่  เมื่อไหร่และอย่างไร

          สำหรับคำถามนี้เชื่อว่าผู้ที่อยากรู้คำตอบมากที่สุดคงไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธที่ต้องทนอยู่กับการก่อเหตุรุนแรงสารพัดชนิด  เห็นภาพของความสูญเสียอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ซ้ำร้ายหลายคนต้องประสบพบเจอกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก  ในขณะที่ไม่สามารถหนีออกจากพื้นที่ได้เพราะที่นี่เป็นเสมือนบ้านที่อยู่มาตั้งแต่ปู่ยาตายาย  การอพยพออกนอกพื้นที่จึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุที่ไม่สมควรกระทำในขณะที่สามารถทำให้ปัญหาความรุนแรงนี้ลดน้อยลงหรือหมดไปได้ด้วยวิถีทางอื่น

          จากความยืดเยื้อยาวนานของปัญหาความรุนแรง  ความยากลำบากในการดำรงชีวิตประจำวัน  การอยู่ร่วมกันแบบหวาดระแวงทำให้กระแสความเบื่อหน่ายและไม่สนับสนุนการก่อเหตุเริ่มปรากฏทุกหย่อมหญ้าไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงอ้างกับเขาเหล่านั้นว่าทำเพื่อปกป้องศาสนา  แต่สุดท้ายก็ยังไม่วายที่ต้องถูกเข่นฆ่าไปด้วยเมื่อไม่ให้ความร่วมมือ  เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงได้สร้างผลกระทบด้านลบต่อพี่น้องประชาชนทุกคนเป็นส่วนรวมในทุกด้าน

และนี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาสื่อมวลชนต่างออกมานำเสนอข่าวสารความเป็นไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสร้างสรรค์เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ด้วยการสะท้อนภาพที่แท้จริงถึงความพยายามในการแก้ปัญหาของทุกภาคส่วน  รวมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหาหนทางช่วยกันทำให้เหตุการณ์ยุติลงโดยเร็วซึ่งดูจะเป็นเค้าลางที่ดีหากได้รับความร่วมมือในลักษณะนี้ต่อไปในฐานะสื่อที่เปี่ยมล้นด้วยจรรยาบรรณ 

          ในฐานะเป็นคนในพื้นที่ที่รู้เห็นปัญหานี้มาโดยตลอดจึงอยากใช้เวทีนี้ขอบคุณไปยังท่านสื่อมวลชนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
          เพราะการปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียวไม่สามารถทำให้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้จบลงได้  เพราะปัญหาที่เป็นรากเหง้าฝังลึกนั้นมิได้มีเพียงกลุ่มขบวนการเท่านั้น  หากยังมีตัวแปรส่งเสริมอื่นๆ อีกที่เป็นปัจจัยสนับสนุน

การยุติความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ยังดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าว่าสิ้นสุดลงนี้ ได้ปรากฏ เสียงเรียกร้องต้องการความสงบสุขจากพี่น้องประชาชนมาโดยต่อเนื่อง  ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ด้วยการลุกขึ้นร่วมกันต่อต้านโดยไม่แบ่งแยก  ปฏิเสธและไม่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงอย่างสิ้นเชิง ด้วยความสามัคคีร่วมกันสอดส่องดูแลและแสดงพลังของประชาชนออกมา  ภายใต้การใช้บทบาทนำของผู้นำท้องถิ่นเท่านั้นที่จะช่วยให้ฝันร้ายนี้จบสิ้นลง   เพราะวันนี้ในต่างประเทศยังเข้าใจสถานการณ์และความเป็นไปของภาคใต้ของไทย หลายฝ่ายทั้งองค์กรระดับชาติรวมถึงสื่อมวลชนในต่างประเทศยังพร้อมใจกันประณามการก่อเหตุด้วยข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นของผู้ก่อเหตุรุนแรงว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

ลองนึกดูว่าหากไฟกำลังไหม้บ้านเรา  แล้วพวกเราซึ่งเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันไม่ช่วยกันตักน้ำมาดับไฟแล้วจะรอให้ใครมาช่วย  เราคงไม่อยากให้บ้านของเรามอดไหม้ไปกับตาทั้งๆ ที่ยังสามารถช่วยกันได้มิใช่หรือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องร่วมมือกัน   ตอบได้เลยตอนนี้ว่าพลังของพวกเราประชาชนในพื้นที่เท่านั้นที่จะยุติไฟที่กำลังเผาไหม้บ้านของเราลงได้  คำถามต่อไปคือ  เราจะรออะไรอยู่ 

ซอเก๊าะ   นิรนาม

12/13/2555

ยูนิเซฟเรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้



กรุงเทพมหานคร – 12 ธันวาคม 2555 – วันนี้เจ้าหน้าที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) เรียกร้องให้ยุติการกระทำรุนแรงต่อเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศ ไทยในทันที หลังทารกหญิงวัย 11 เดือนเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตห้ารายจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ณ ร้านขายน้ำชาแห่งหนึ่งในจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

พิชัย ราชภัณฑารี ผู้แทนองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย ประนามการสังหารครั้งนี้ว่าเป็น การกระทำที่น่าเศร้าสลดใจ ไร้เหตุผล และไม่สามารถยอมรับได้” ทั้งยังเรียกร้องให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย “ร่วมกันทำทุกวิถีทางที่จะหยุดยั้งการกระทำรุนแรงและทำให้แน่ใจว่าเด็กทุกคน ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากความรุนแรงทั้งหลายเหล่านั้น

ทารกเพศหญิง อินฟานี สาเมาะ ถูกสังหารขณะกลุ่มชายใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงเข้าใส่ร้านน้ำชาในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาสเมื่อตอนสายของวันอังคารที่ผ่านมา เด็กกว่า 50 คนถูกสังหาร และกว่า 340 คนได้รับบาดเจ็บนับตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ของประเทศไทยในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 โดยมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความรุนแรงรวมทั้งหมดแล้วกว่า 5,000 คน

เมื่อปลายเดือนตุลาคมของปีนี้ เด็กชายวัย 11 ขวบคนหนึ่งถูกสังหารพร้อมพ่อในรถกระบะระหว่างถูกลอบทำร้ายโดยกลุ่มชายติด อาวุธที่อำเภอรามัน จังหวัดยะลา  

ทุกครั้งที่มีเด็กถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บ ทุกครั้งที่เด็กสูญเสียพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง และทุกครั้งที่โรงเรียนและครูของพวกเขาถูกโจมตี เด็กๆในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้นเท่านั้น” ราชภัณฑารีกล่าว “การยุติความรุนแรงทั้งหมดเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าสิทธิของเด็ก ทุกคนที่อยู่ในภาคใต้ได้รับความคุ้มครองและเอาใจใส่อย่างสมบูรณ์เต็มที่

12/05/2555

ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่


การเสียชีวิตของนางสาวฉัตรสุดา นิลสุวรรณ ครูโรงเรียนบ้านยาโงะ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส  นับเป็นเหตุคร่าชีวิตครูผู้หญิงรายที่ 2 ในรอบ 12 วัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่งจะเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นางนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ    อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะขับรถยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน จนทำให้สมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศปิดการเรียนการสอนโรงเรียนกว่า 300 แห่งใน จ.ปัตตานี อย่างไม่มีกำหนด เพื่อกดดันให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูให้รัดกุมกว่าที่เป็นอยู่  จนเมื่อมีการประชุมหารือกับฝ่ายความมั่นคงจนเป็นที่พอใจจึงได้ประกาศเปิดการเรียนการสอนอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา  แต่แล้วผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเป็นฝ่ายจ้องกระทำก็ก่อเหตุยิงครูซ้ำขึ้นอีกครั้ง  การก่อเหตุซ้ำซ้อนในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังตั้งตัวไม่ติดอีกครั้งนี้  แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงบรรดาครูน้อยใหญ่ผู้ที่ยังมุ่งมั่นที่จะสั่งสอนให้เด็กนักเรียนที่นี่ให้มีความรู้ต่อไป 

จากการก่อเหตุร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาจิตใจที่ไร้มนุษยธรรมของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้ว่า พวกเขาคิดทำเรื่องเลวทรามนี้ได้อย่างไร  ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวทั้งในและต่างประเทศ จนหลายฝ่ายต่างออกมาประณามการกระทำที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวมนี้โดยถ้วนหน้า   เพราะไม่มีสนามรบใดเลยในโลกนี้ที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐฯ จะกระทำต่อครูผู้ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ซึ่งเป็นนักบวช 
นอกจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบ   ที่สร้างความเดือนร้อนอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้....เท่านั้น 

และเช่นเคยเสมอมาที่ยังไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมใดออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครูที่เสียชีวิตไปเลย  แม้แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่มักออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกระบวนการมุ่งสู่สันติภาพของฝ่ายความมั่นคงและ ศอ.บต. ในทุกกรณีก็ยังคงวางตัวนิ่งเฉย  ซึ่งกรณีนี้อยากฝากไว้ให้คิดว่าเหตุผลที่นิ่งเงียบคืออะไร

ด้านฝ่ายผู้นำศาสนา ท่านฮัญยีแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานียังได้ออกมากล่าวถึงการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้ว่าเป็นพวกที่บิดเบือนศาสนาและไม่ใช่ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นอิสลาม โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

เพราะความสำคัญของครูในทัศนะอิสลามจากท่านอะบีอุมาอะมะฮ์ ท่านนบีกล่าวว่า “แท้จริงอัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์และชาวฟ้าและแผ่นดิน  จนแม้กระทั่งมดในรูของมันและแม้กระทั่งปลา  ต่างก็ปราสาทพรแก่ครูผู้ที่สอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประสบความดี”  และเพราะครูคือผู้ให้  ครูคือผู้เติมเต็ม  ครูคือผู้มีเมตตา  ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ  ท่านนบี (ซ.ล.) นั้นให้เกียรติผู้ที่ทำหน้าที่ครู  แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนานิกหรือศัตรู  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ  ท่านได้ไถ่ตัวเชลยศึกในสงครามบะดัร  ซึ่งเป็นมุชริกีนชาวมักกะฮฺ  โดยให้เป็นครูสอนเด็กมุสลิมชาวนครมะดีนะฮฺจำนวนสิบคน  แบบอย่างของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นี้เป็นแบบอย่างที่งดงามที่มุสลิมทุกคนควรตระหนัก  หากมุสลิมได้ตระหนักแล้ว  กรณีการฆ่าครูหรือทำร้ายครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

แต่แม้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ในปี 47 เป็นต้นมาจะทำให้ครูต้องสังเวยชีวิตไปเป็นรายที่ 155 แล้วก็ตาม  ยังไม่ปรากฏว่าครูในพื้นที่จะมีการขอย้ายออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามครูกับยังคงอดทนทำหน้าที่อย่างเสียสละ  ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ  และส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ  ครูก็คือผู้ที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้  พื้นที่ที่เหล่านักรบขี้ขลาดที่ทำร้ายได้แม้คนไม่มีทางสู้เรียกว่า  “แผ่นดินมลายู”  เพราะครูก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายมลายูที่เกิดและโตในแผ่นดินนี้ที่ต่างกันเพียงความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น

คำถามคือสิ่งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงทำกับครู ซึ่งก็คือลูกหลานมลายูนั้นมันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ  พี่น้องมลายูเห็นด้วยหรืออย่างไรว่า  การกระทำที่ชั่วช้าของผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งขัดต่อคำสอนอันดีงามของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร  ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนมาโดยตลอดขอเป็นกำลังใจให้ครูในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านได้รักษาความเสียสละ  มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติและเป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และของแผ่นดินไทยไว้ให้ได้อย่างมั่นคง  ซึ่งนั้นคงเป็นความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองและความใฝ่ฝันของเด็กนักเรียนในพื้นที่นี้ทุกคนด้วย

เพราะในส่วนของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว  จากการกระทำที่ขัดกับหลักศาสนาราวฟ้ากับเหวโดยไม่สนใจคุณธรรมความถูกต้องของเขาเหล่านั้น  ตามหลักศาสนาแล้วพี่น้องมุสลิมทุกคนทราบดีว่าพวกเขาคือผู้ที่ “ตกศาสนา” ไปแล้ว  และพวกเขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
---------------------------------------------
 ซอเก๊าะ   นิรนาม   

11/30/2555

ถึงครู จชต. "คุณครูขา...อย่าทิ้งหนู"


        
         ย้อนหลังกลับไป 8 ปี ตั้งแต่ปี 2547 เหตุการณ์ 3 จังหวัด ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ สงขลาบางส่วน การจากไปด้วยการถูกยิงของครูนันทนา  แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่ากำชำ ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 คือรายที่ 154 ชีวิตของครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียไป เป็นเครื่องมือที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี หรือที่เราเรียกทั่วไปว่าผู้ก่อเหตุรุนแรง ใช้ได้ผลในระดับยุทธศาสตร์ ที่ใช้ต่อสู้กับรัฐ นับตั้งแต่การสูญเสียครูจูหลิน  ปงกันมูล ครูช่วยสอนบ้านกูจิงรือปะ เมื่อปี 2549 ทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัว และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลชีวิตครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเสียงเรียกร้องออกมามากมาย ทั้งฝ่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรครู และนักการเมือง ซึ่งรัฐบาลทุกยุค ทุกสมัย ก็ต้องรีบเร่งสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเข้าปฏิบัติทันที นั่นเองที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงรู้จุดกระทบของฝ่ายรัฐว่า “ครูคือยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดอ่อนของรัฐ” และ “ครูคือเหยื่อที่ดีที่สุด” ด้วยเพราะสังคมไทยผูกพันกับครูอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อดีต ฉะนั้นเองเมื่อมีการสูญเสียครูไม่ว่าเหตุใด จะนำมาซึ่งความเสียใจกับคนไทยที่ใกล้ชิดครู ซึ่ง 3 จังหวัดภาคใต้ก็เช่นกัน

         การปรับเปลี่ยนกลยุทธ ตั้งแต่ฝ่ายทหารเข้าไปดูแลในโรงเรียน และครู โดยใช้โรงเรียนบางแห่งที่เป็นพื้นที่สีแดงเป็นฐานที่ตั้ง ก็ถูกฝ่ายสิทธิมนุษยชนมองว่าเกิดความเสี่ยงต่อครูและนักเรียน ในการถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ฝ่ายทหารจึงจำเป็นต้องย้ายฐานออกห่างโรงเรียนโดยไม่มีองค์กรครู หรือครูคนไหนออกมาคัดค้านสักคนเดียว ทุกครั้งที่มีครูเสียชีวิตจำเลยคนแรกคือฝ่ายความมั่นคง และ ทหาร แม้จะเพิ่มหรือมีวิธีการใดเพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ครู แต่ฝ่ายความมั่นคงรู้ว่านั่นคือการตั้งรับไม่ใช่การรุก ซึ่งผู้ตั้งรับย่อมมีวันเสียเปรียบไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทุกครั้งที่มีครูสูญเสีย สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือ “ปิดโรงเรียน” เป็นวิธีบั่นทอนอำนาจรัฐที่ใช้มาโดยตลอดของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งภาพข่าว และสถานการณ์ ภาครัฐทุกฝ่ายต่างมีความเห็นใจครู และตั้งใจจริงที่จะร่วมปกป้องครู แต่ทุกครั้งเมื่อครูถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่เคยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และศาสนา ครูจะสั่งปิดโรงเรียนทุกพื้นที่ทันที และการกระทำเช่นนี้ผู้ที่เดือดร้อนที่สุดคือนักเรียน ลูกหลานของพวกเรา และยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผู้ปกครองและนักเรียน ต่อเจ้าหน้าที่และโรงเรียนที่ปิด เสริมด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ฝ่ายผู้ก่อเหตุต้องการอยู่แล้วก็เท่ากับว่า เมื่อปิดโรงเรียนทุกครั้งที่ครูถูกกระทำ ก็เท่ากับว่า “ขุนหลุมไว้ฝังศพตัวเองหรือไม่”

         คงไม่มีฝ่ายไหนกล้าบอกให้ครูลุกขึ้นมาสู้กับโจร เพราะครูนั้นมีหน้าที่อบรมสั่งสอนให้คนเป็นคนดี แต่ก็ยังมีครูใจเด็ดจังหวัดปัตตานีที่กล้าขับรถชนผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มาลอบยิง โจรต้องหลบหนีทิ้งรถมอเตอร์ไซต์เมื่อ 9 พฤศจิกายน  2555 ที่ผ่านมา แต่ถ้าวันนี้เมื่อครูถูกคนร้ายกระทำแล้วปิดโรงเรียน ต้องถามว่านี่คือหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วสุดท้ายก็ต้องมาเปิดเรียนอีกใช่ไหม เพื่ออะไร 

      หากต้องการให้กำลังฝ่ายความมั่นคงเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ เพื่อเพิ่มส่วนตั้งรับในการดูแลครู แต่เมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรนักศึกษาบางองค์กรออกมาต่อต้านการเพิ่มเติมกำลังทหารในพื้นที่ การเพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ ทำไมไม่เห็นครูสักคนเดียวมาคัดค้านหรือให้กำลังใจทหารแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่แสดงการสนับสนุนให้เพิ่มเติมกำลังทหารพรานในพื้นที่ก็ยังไม่เคยมีสักครั้งเดียว ทุกครั้งที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นฝ่ายรุกไล่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจนไม่สามารถเคลื่อนไหวก่อเหตุได้ เช่น วางระเบิด เผาโรงเรียน ตรวจยึดอุปกรณ์เตรียมก่อเหตุระเบิดได้ จับกุมผู้ก่อเหตุได้หลายราย  สิ่งที่ฝ่ายขบวนการจะแก้ยุทธศาสตร์จากการตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก นั่นก็คือ ยิงครูไทยพุทธ 1 คน ซึ่งก่อนจะยิงครู 1 คน ต้องยิงอุซตาส หรือ โต๊ะอิหม่าม ก่อน 1 คน เพื่อเป็นข้ออ้างในการโฆษณาชวนเชื่อ สร้างความชอบธรรมในการแก้แค้นให้ฟาฎอนี ด้วยการยิงครูไทยพุทธ ซึ่งก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง แล้วเมื่อครูหยุดโรงเรียน ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องกลับมาเป็นฝ่ายเพิ่มมาตรการทุกครั้ง นี่เองจึงเป็นยุทธศาสตร์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ใช้ได้ผลดีทุกครั้ง “เมื่อครูปิดโรงเรียน ครู จึงเป็นเหยื่อที่มุ่งหมายที่สุด ในสงครามนี้” 
        และไม่เคยเห็นองค์กรสิทธิมนุษยชนประเทศไทย องค์กรนักศึกษาทุกระดับออกมาประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อครูแม้แต่สักครั้งเดียว แต่จะโจมตีว่าฝ่ายความมั่นคงมีกำลังทหารตั้งมาก แต่คุ้มครองครูไม่ได้ ใช่ไหม??

         สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะมีครูรายที่ 155 หรืออีกกี่รายต่อไป ผลที่ปิดโรงเรียน และส่งผลกระทบโดยตรงที่สุด คือ เด็กนักเรียน เยาวชน ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งด้อยในเรื่องการศึกษาที่สุดขณะนี้ในประเทศไทย เพราะไม่มีครูไทยพุทธคนไหนจะต้องการอยู่ในพื้นที่ แล้วจะหาความตั้งใจในการสอนมาจากไหน ความผูกพันระหว่างครูกับนักเรียนจะเกิดได้อย่างไร ครูไทยพุทธจำนวนลดน้อยลง ครูที่เก่งไม่ต้องการมาสอนในพื้นที่ ล้วนเป็นเหตุเป็นผลที่องค์กรทางการศึกษา และครูทุกคนต้องลองไปตรึกตรองดู ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการใช่หรือไม่ แล้วเราต้องยอมไปตามทางที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกำหนดเช่นนั้นหรือ ฉะนั้นจึงต้องขอวิงวอนครูโปรดอย่าหยุดโรงเรียน เด็กนักเรียน เยาวชน ลูกหลานของประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างรอคอยคุณครู ผู้ที่นำทางสันติสุขให้กับพวกเขาทุกคน นักเรียนเปรียบเสมือนลูก หลานของครูที่เฝ้ารอคอย ศึกษาหาวิชาความรู้จากครู ผู้เปรียบประดุจแม่คนที่สองของเด็กนักเรียนทุกคน ความใกล้ชิดระหว่างครูกับนักเรียนดั่งครอบครัวเดียวกัน ฉะนั้นครูคือความหวังของเด็กนักเรียนชาวใต้ทุกคนที่กำลังรอคอย และร่วมสู้ฝ่าฟันไปด้วยกัน

         ขอวิงวอนกรุณาอย่าปิดโรงเรียน ที่ใดมีโรงเรียน ที่นั้นย่อมมีนักเรียน และมีครู หากโรงเรียนปราศจากครู ก็ย่อมขาดชีวิต จิตวิญญาณของโรงเรียน ประดุจต้นไม้ที่ขาดแสงสว่างเพื่อเจริญเติบโต และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อไม่มีครูอยู่กับโรงเรียน ย่อมแสดงถึงการสูญเสียจิตวิญญาณที่จะหล่อเลี้ยง กำลังสำคัญในการสร้างสันติสุขในอนาคต และความว่างเปล่าของโรงเรียนที่ไร้ครู จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาสร้างโอกาสในการก่อเหตุ ปลุกระดม ทำลาย เผาผลาญ ทั้งตัวโรงเรียน และจิตวิญญาณความรู้สึกของโรงเรียนให้สูญหายไปจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งครูทุกคนยอมได้หรือ พวกเราทุกคนคงยอมไม่ได้ที่จะให้โรงเรียนไร้ซึ่งบุคลากรครู โรงเรียนถูกทำลาย เผาผลาญไปสิ้น หากวันนี้โรงเรียนปิด นักเรียนจะไปพึ่งพาใคร สุดท้ายโรงเรียนก็ต้องกลับมาเปิดเพื่อลูกหลานของเราทุกคน แต่หากเกิดกลุ่มผู้ไม่หวังดีได้กระทำการอันชั่วร้ายต่อครูอีก โรงเรียนก็ต้องปิดอีกอย่างนั้นหรือ นั่นเองเท่ากับทุกคนเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีใช้ครูเป็นเครื่องมือ เพื่อให้โรงเรียนหยุดตามที่ฝ่ายขบวนการต้องการคือ “ก่อเหตุต่อครูแล้วจะมีการปิดโรงเรียน” 

        วันนี้ทุกคนต้องไม่ยอมให้โรงเรียนปิด ขอส่งพลังใจให้ครูทุกคนต้องมาร่วมกันฝ่าฟันสถานการณ์ร่วมกันเพื่อลูกหลาน เพื่อจิตวิญญาณของแม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ ที่ช่วยพายเรือส่งเด็กเยาวชนชายแดนใต้ไปให้ถึงฝั่ง เราต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือตามที่ฝ่ายผู้ไม่หวังดีต้องการ หากเมื่อไหร่ที่ครูถูกทำร้าย แล้วโรงเรียนต้องปิดการศึกษา นั่นเองที่เป็นส่วนที่ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือกระทำต่อครูผู้บริสุทธิ์อีกไม่มีวันจบสิ้น เท่ากับว่าเข้าทางกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพราะเขารู้ว่าถ้ายิงครูเมื่อไหร่ โรงเรียนปิดเมื่อนั้น รัฐเองก็ถูกครูร้องเรียน รัฐก็เอากำลังมาป้องกันครู พวกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ก็เคลื่อนไหววางระเบิดได้สบาย และเหตุนี้ใช่ไหมที่ครูถึงเป็นเหยื่อของสงครามแย่งชิงมวลชน และเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว “ครูกรุณาอย่าทอดทิ้งนักเรียน”
                                         ----------------------------------------
        
บุหงา  ตานี