จากสถานการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ทั้ง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเริ่มปะทุครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2547
เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส มาจนถึงปัจจุบัน ดินแดน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ก็กลายเป็นสมรภูมิรบ
สำหรับกลุ่มที่อ้างตนเองว่านักรบ/นักปฏิวัติ หรือนักอะไรก็ตามที่พยายามจะออกมาเรียกร้องเอกราช
ในการแบ่งแยกดินแดนจัดตั้งรัฐปัตตานี เป็นรัฐใหม่ แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปี
ที่ผ่านมายังไม่มีกลุ่มบุคคลใดออกมาประกาศความรับผิดชอบว่าเป็นผู้นำในการก่อความไม่สงบ
และยังไม่เปิดเผยวัตถุประสงค์รวมทั้งยุทธศาสตร์ในการก่อความไม่สงบที่ชัดเจนเหมือนกับการก่อเหตุร้ายในพื้นที่อื่นของโลก มีเพียงกลุ่มอำนาจเก่า เช่น BRN และ PULO ที่เสวยสุขอยู่ในต่างประเทศมาแสวงประโยชน์จาก
ความเดือดร้อนของประชาชน ในพื้นที่โดยพยายามหยิบยกประเด็นความแตกต่างทางด้านกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนา
มาผูกโยงกับการล่าอาณานิคมของชาวสยาม แต่กลุ่มผู้ที่ต้องการอำนาจได้พยายามหยิบยกเอาการปฏิรูปการปกครองสยามในรัฐกาลที่
5 ซึ่งมีการเปลี่ยนระบบการปกครองจากหัวเมืองมาเป็นการปกครองรูปแบบใหม่
ซึ่งนำมาการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์
BRN/ PULO รวมทั้งกลุ่มต่างๆ
ที่สร้างความรุนแรง ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้วางจุดมุ่งหมายไว้อย่างชัดเจนที่จะรื้อฟื้นความเป็นชาติขึ้นมาใหม่เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมาย
คือ ความเป็นชาติมลายู ศาสนา(อิสลาม) มาตุภูมิ(รัฐปัตตานี)
และสิทธิของชาวมลายูปัตตานีเป็นหลักในการทำให้ประชาชนมาเลย์มุสลิมในพื้นที่เกิดความรู้สึก
หรือมีอุดมการณ์ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทย
ขณะที่ด้านยุทธวิธีการต่อสู้ได้ใช้รูปแบบการทำการก่อการร้ายเพื่อลดความชอบธรรมของรัฐไทยที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และรักษาความปลอดภัยให้กับชาวมาลายูได้
โดยพยายามอ้างเหตุการณ์เดิมๆ เช่นกรณี เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะและเหตุการณ์ตากใบ เมื่อปี
พ.ศ.2547 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการที่ถูกขบวนการหลอกทั้งชาวบ้าน
และเจ้าหน้าที่ เพื่ออะไร... เพื่อใคร....และหลังจากนั้นเป็นต้นมา
การสูญเสียจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้เริ่มสูงขึ้นมาโดยต่อเนื่อง
ผู้สูญเสียมีทั้งประชาชนที่มีเชื้อชาติไทยและเชื้อชาติมลายู
ทั้งที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลามมีการสังหาร ชาวไทยพุทธและพระสงฆ์เพื่อบีบบังคับให้อพยพออกนอกพื้นที่
มีการวางระเบิดท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่
การวางระเบิดแบบคาร์บอมบ์ การวางระเบิดทางรถไฟ การวางระเบิดหลายๆ
แห่งพร้อมกันในเมือง การโจมตีกำลังทหาร การซุ่มโจมตี จนท.รัฐขณะปฏิบัติหน้าที่
การเผาสถานที่และทรัพย์สินของทางราชการ
รวมทั้งการทำลายทรัพย์สินและพืชการเกษตรของประชาชน ผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน
คือการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ไม่สามารถกระทำได้อย่างเต็มที่ ทำให้การค้ายาเสพติดและการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างกว้างขวางรวมทั้งธุรกิจผิดกฎหมายมากมาย
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครออกมาประกาศความรับผิดชอบกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชนตาดำๆในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
ที่ต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาท้องถิ่นในทุกด้านตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากการก่อเหตุร้ายรายวัน
สร้างความเดือดร้อนอย่างไม่หยุดหย่อนแล้ว ยังมีกลุ่ม PerMAS และเครือข่ายแนวร่วม ที่พยายามออกมาสร้างความแตกแยก ชี้นำชักจูงให้พี่น้องมุสลิม
ออกมาต่อสู้ทางการเมืองในการ “กำหนดใจตนเอง” (right to self-determination) เพื่อชาวมาลายูปัตตานีจะได้ปกครองตนเองตามแนวทางของคนมุสลิมมิใช่คนไทย
โดยให้สอดคล้องกับ BRN ที่พยายามออกมาทำทุกวิถีทางที่จะให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
เข้าสู่เงื่อนไขการขัดแย้งด้วยอาวุธที่มิใช่ลักษณะระหว่างประเทศ (non-international
armed conflict) เพื่อให้ประชาคมโลกเข้ามาแทรกแซง ซึ่งไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ทั้งสหประชาชาติ และ OIC ได้ออกมาชื่นชมกับการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีของรัฐบาลไทย
ทุกคนในประเทศไทยก็สนับสนุนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
แล้วใครเขาจะเข้ามาแทรกแซง.......ความจริงคืออะไร.......คนที่พยายามออกมาสร้างความรุนแรง
สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนทุกวันนี้ เขาทำเพื่อใคร.....ทำเพื่ออะไรกันแน่.......เมื่อไรจะถึงจุดหมายที่เขาต้องการ........เราจะต้องทนทุกข์อยู่กับสภาพนี้ไปอีกนานเท่าไร.....ใครก็ได้ช่วยออกมาบอกให้ชื่นใจหน่อยครับ
พิราบขาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น