6/30/2560

จะเป็นอย่างไร?..หาก 3 จชต.ใช้กฎหมายชารีอะฮ์

"แบมะ ฟาตอนี"


สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะที่ใดในโลกจะดำรงอยู่โดยปกติสุขได้นั้น จะต้องมีระเบียบ แบบแผน หรือกฎเกณฑ์ให้ทุกคนยึดถือปฏิบัติตาม เพื่อกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เองเรียกว่า กฎหมาย

ระบบกฎหมายที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระบบคือ ระบบซีวิลลอว์ ระบบคอมมอนลอว์ ระบบทวินิติ (ทั้งซีวิลลอว์และคอมมอนลอว์) กฎหมายขนบธรรมเนียม และกฎหมายชารีอะฮ์
กฎหมายในระบบอื่นๆ ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอกล่าวเฉพาะ กฎหมายชารีอะฮ์ ที่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งคิดต่างจากรัฐมีความพยายามจะนำมาใช้หากแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สำเร็จตั้งตนเป็น เอกราช

กฎหมายชารีอะฮ์ คืออะไร?

กฎหมายชารีอะฮ์ (Sharia หรือ Shari'ah) เป็นกฎหมายทางศีลธรรมของศาสนาอิสลาม ที่ควบคุมความประพฤติของคน ทั้งที่เป็นการกระทำต่อสาธารณะ และความประพฤติส่วนตัว กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมรูปแบบการปกครอง สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

เนื้อหาของกฎหมายชารีอะฮ์ มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดา มูฮัมหมัดเป็นต้นแบบ แต่บางครั้งก็ใช้ ฟัตวาหรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลามในการชี้ขาด

การตีความกฎหมายชารีอะฮ์ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ  แต่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการกระทำที่นับว่าเป็นความผิดร้ายแรง ได้แก่ การลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และการดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมด้านการกินอาหาร การอดอาหาร การสวดมนต์ การเข้าพิธีกรรม สุขอนามัย การค้าขาย และการเงิน

ปัจจุบันประเทศที่ใช้กฎหมายชารีอะฮ์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก มัลดีฟส์ ปากีสถาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย เยเมน มอริเตเนีย และประเทศซูดาน

ความพยายามของกลุ่มขบวนการและปีกการเมืองใน จชต.

เป็นที่ทราบกันดีว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดน จุดประสงค์หลักเพื่อปลดปล่อยเป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ปาตานีดารุสลาม นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

ก่อนอื่นเรามาดูวิธีการ และยุทธวิธีการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการที่จะเดินไปสู่จุดหมายคือเอกราช มีรูปแบบอย่างไร? ซึ่งพอจะแยกแยะการต่อสู้ใน 2 รูปแบบด้วยกัน กล่าวคือ มีการใช้กำลังกองโจร RKK ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความรุนแรง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน เพื่อต้องการแสดงศักยภาพความมีตัวตนของกลุ่มขบวนการแต่ไม่เคยแสดงตัวรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นต่อการกระทำที่ชั่วร้ายผิดหลักศาสนาอย่างร้ายแรง
กลุ่มขบวนการใช้ปีกการเมือง ตั้งองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มเยาวชนนักเรียนนักศึกษา เดินหน้าปลุกกระแสการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) เพื่อเดินหน้าไปสู่การลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐไทย รูปแบบวิธีการมีการแบ่งงานกันทำร่วมกันตีมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน โดยใช้เงื่อนไข กล่าวหาเจ้าหน้าที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางต่อการบังคับใช้กฎหมาย และมีความพยายามสื่อให้เห็นว่าพื้นที่ จชต. เป็นพื้นที่ขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Armed conflict) เพื่อให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง เดินตามรอยแนวทางประเทศติมอร์-เลสเต หรือ ติมอร์ตะวันออกที่แยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศอินโดนีเซีย

การนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้ใน 3 จชต.เหมาะสมหรือไม่?

ลองคิดเล่นๆ หากขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดนต่อสู้และสามารถปลดปล่อยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ปาตานีดารุสลามนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้จะมีความเป็นไปได้ หรือมีความเหมาะสมหรือไม?

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่ากฎหมายชารีอะฮ์มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดามูฮัมหมัดเป็นหลัก แต่บางครั้งก็ใช้ ฟัตวา หรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลาม ในการควบคุมความประพฤติของคน ควบคุมรูปแบบการปกครอง สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งปวง

กฎหมายชารีอะฮ์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากหลักวิถีศาสนาอิสลามสำหรับมุสลิม บทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด เช่น การเฆี่ยนในคดีดื่มสุรา การถูกปาก้อนหินจนเสียชีวิตในคดีผิดประเวณี ความผิดมีชู้  มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การลงโทษด้วยการถูกตัดอวัยวะในคดีขโมยทรัพย์สิน บทลงโทษดังกล่าวมีความโหดร้ายและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์

นอกจากนี้กฎหมายชารีอะห์  ยังมีบทลงโทษที่รุนแรง และจะลงโทษผู้กระทำผิดฐานข่มขืน ฆาตกรรม การเลิกนับถือศาสนาอิสลาม ปล้นโดยใช้อาวุธ หรือการค้ายาเสพติด ด้วยการประหารชีวิต

กฎหมายชารีอะฮ์ ยังครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิมทุกด้าน อาทิ ข้อบังคับการเรียน กำหนดโทษปรับหรือจำคุกในความผิดตั้งแต่การประพฤติตัวไม่เหมาะสม ข้อกำหนดการไปละหมาดที่มัสยิด การตั้งครรภ์นอกสมรส การผิดบาปมีรักกับคนเพศเดียวกัน และอีกหลายประการ

ย้อนกลับมาดูวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ จชต.ในปัจจุบัน ที่มีการใช้ชีวิตอย่าง มีความสุข มีเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจ อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมกับผู้คนต่างศาสนาอย่างกลมกลืน ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน หากกลุ่มขบวนที่ต้องการให้พื้นที่ จชต.เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ปาตานีดารุสลามนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบคงเป็นไปได้ยาก และขัดแย้งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนที่เป็นอยู่

ในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ จชต.มีความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลที่ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องกิจกรรมทางศาสนา การประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะหฺประกอบพิธีฮัจญ์ หรือแม้กระทั่งการอุมเราะห์ รัฐบาลสนับสนุนและดูแลตั้งแต่ต้นทางก่อนไป ระหว่างประกอบศาสนกิจ จนกระทั่งเดินทางกลับบ้านเป็นอย่างดี แม้แต่ประเทศที่ เป็นดารุสลามในหลายๆ ประเทศแถบตะวันออกกลางยังดูแลไม่ดีเท่า...แล้วการที่กลุ่มขบวนการและปีกการเมืองต้องการให้ จชต.เป็นปาตานีดารุสลามทำการโฆษณาชวนเชื่อของข้อดีในการนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้.....คิดหรือ? ว่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสียผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ คงหนีไม่พ้นพี่น้องมุสลิมที่เป็นเบี้ยล่างให้กับกลุ่มขบวนการ......

--------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น