"แบมะ ฟาตอนี"
สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะที่ใดในโลกจะดำรงอยู่โดยปกติสุขได้นั้น
จะต้องมีระเบียบ แบบแผน หรือกฎเกณฑ์ให้ทุกคนยึดถือปฏิบัติตาม
เพื่อกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยในสังคม
กฎเกณฑ์นี้เองเรียกว่า “กฎหมาย”
ระบบกฎหมายที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น
5
ระบบคือ ระบบซีวิลลอว์ ระบบคอมมอนลอว์ ระบบทวินิติ
(ทั้งซีวิลลอว์และคอมมอนลอว์) กฎหมายขนบธรรมเนียม และกฎหมายชารีอะฮ์
กฎหมายในระบบอื่นๆ
ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอกล่าวเฉพาะ “กฎหมายชารีอะฮ์” ที่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งคิดต่างจากรัฐมีความพยายามจะนำมาใช้หากแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สำเร็จตั้งตนเป็น
“เอกราช”
กฎหมายชารีอะฮ์
คืออะไร?
กฎหมายชารีอะฮ์
(Sharia
หรือ Shari'ah) เป็นกฎหมายทางศีลธรรมของศาสนาอิสลาม
ที่ควบคุมความประพฤติของคน ทั้งที่เป็นการกระทำต่อสาธารณะ และความประพฤติส่วนตัว
กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมรูปแบบการปกครอง สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
เนื้อหาของกฎหมายชารีอะฮ์
มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดา มูฮัมหมัดเป็นต้นแบบ
แต่บางครั้งก็ใช้ “ฟัตวา”หรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลามในการชี้ขาด
การตีความกฎหมายชารีอะฮ์
จะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ
แต่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการกระทำที่นับว่าเป็นความผิดร้ายแรง ได้แก่
การลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และการดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้
กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมด้านการกินอาหาร การอดอาหาร การสวดมนต์ การเข้าพิธีกรรม
สุขอนามัย การค้าขาย และการเงิน
ปัจจุบันประเทศที่ใช้กฎหมายชารีอะฮ์อย่างเต็มรูปแบบ
ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก มัลดีฟส์ ปากีสถาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย
เยเมน มอริเตเนีย และประเทศซูดาน
ความพยายามของกลุ่มขบวนการและปีกการเมืองใน
จชต.
เป็นที่ทราบกันดีว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดน
จุดประสงค์หลักเพื่อปลดปล่อยเป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ปาตานีดารุสลาม นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ก่อนอื่นเรามาดูวิธีการ
และยุทธวิธีการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการที่จะเดินไปสู่จุดหมายคือ“เอกราช” มีรูปแบบอย่างไร? ซึ่งพอจะแยกแยะการต่อสู้ใน
2 รูปแบบด้วยกัน กล่าวคือ มีการใช้กำลังกองโจร RKK ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน เพื่อต้องการแสดงศักยภาพความมีตัวตนของกลุ่มขบวนการแต่ไม่เคยแสดงตัวรับผิดชอบใดๆ
ทั้งสิ้นต่อการกระทำที่ชั่วร้ายผิดหลักศาสนาอย่างร้ายแรง
กลุ่มขบวนการใช้ปีกการเมือง
ตั้งองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มเยาวชนนักเรียนนักศึกษา เดินหน้าปลุกกระแสการกำหนดใจตนเอง
(Self-determination)
เพื่อเดินหน้าไปสู่การลงประชามติแยกตัวเป็น“เอกราช”จากรัฐไทย
รูปแบบวิธีการมีการแบ่งงานกันทำร่วมกันตีมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน โดยใช้เงื่อนไข กล่าวหาเจ้าหน้าที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางต่อการบังคับใช้กฎหมาย
และมีความพยายามสื่อให้เห็นว่าพื้นที่ จชต. เป็นพื้นที่ขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Armed
conflict) เพื่อให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง เดินตามรอยแนวทางประเทศติมอร์-เลสเต
หรือ ติมอร์ตะวันออกที่แยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศอินโดนีเซีย
การนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้ใน
3 จชต.เหมาะสมหรือไม่?
ลองคิดเล่นๆ
หากขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดนต่อสู้และสามารถปลดปล่อยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย
สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์“ปาตานีดารุสลาม”นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้จะมีความเป็นไปได้
หรือมีความเหมาะสมหรือไม?
ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า“กฎหมายชารีอะฮ์”มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน
และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดามูฮัมหมัดเป็นหลัก แต่บางครั้งก็ใช้ “ฟัตวา”
หรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลาม ในการควบคุมความประพฤติของคน ควบคุมรูปแบบการปกครอง
สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งปวง
กฎหมายชารีอะฮ์
ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากหลักวิถีศาสนาอิสลามสำหรับมุสลิม
บทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด เช่น การเฆี่ยนในคดีดื่มสุรา
การถูกปาก้อนหินจนเสียชีวิตในคดีผิดประเวณี ความผิดมีชู้ มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
การลงโทษด้วยการถูกตัดอวัยวะในคดีขโมยทรัพย์สิน บทลงโทษดังกล่าวมีความโหดร้ายและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
นอกจากนี้กฎหมายชารีอะห์
ยังมีบทลงโทษที่รุนแรง
และจะลงโทษผู้กระทำผิดฐานข่มขืน ฆาตกรรม การเลิกนับถือศาสนาอิสลาม ปล้นโดยใช้อาวุธ
หรือการค้ายาเสพติด ด้วยการประหารชีวิต
กฎหมายชารีอะฮ์
ยังครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิมทุกด้าน อาทิ ข้อบังคับการเรียน
กำหนดโทษปรับหรือจำคุกในความผิดตั้งแต่การประพฤติตัวไม่เหมาะสม
ข้อกำหนดการไปละหมาดที่มัสยิด การตั้งครรภ์นอกสมรส การผิดบาปมีรักกับคนเพศเดียวกัน
และอีกหลายประการ
ย้อนกลับมาดูวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่
จชต.ในปัจจุบัน ที่มีการใช้ชีวิตอย่าง มีความสุข มีเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจ
อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมกับผู้คนต่างศาสนาอย่างกลมกลืน
ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน หากกลุ่มขบวนที่ต้องการให้พื้นที่ จชต.เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์“ปาตานีดารุสลาม”นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบคงเป็นไปได้ยาก
และขัดแย้งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนที่เป็นอยู่
ในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่
จชต.มีความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลที่ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณโครงการต่างๆ
เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี
โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องกิจกรรมทางศาสนา การประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม
ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะหฺประกอบพิธีฮัจญ์
หรือแม้กระทั่งการอุมเราะห์ รัฐบาลสนับสนุนและดูแลตั้งแต่ต้นทางก่อนไป ระหว่างประกอบศาสนกิจ
จนกระทั่งเดินทางกลับบ้านเป็นอย่างดี แม้แต่ประเทศที่ เป็น“ดารุสลาม”ในหลายๆ ประเทศแถบตะวันออกกลางยังดูแลไม่ดีเท่า...แล้วการที่กลุ่มขบวนการและปีกการเมืองต้องการให้
จชต.เป็น“ปาตานีดารุสลาม”ทำการโฆษณาชวนเชื่อของข้อดีในการนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้.....คิดหรือ?
ว่าจะมีผลดีมากกว่าผลเสียผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ
คงหนีไม่พ้นพี่น้องมุสลิมที่เป็นเบี้ยล่างให้กับกลุ่มขบวนการ......
--------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น