‘อิมรอน’
จากสถานการณ์ไฟใต้ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังคงเป็นประเด็นลำดับต้นๆ ที่ทุกคนต่างโหยหา อยากจะให้เหตุการณ์สงบ
นำพาสันติสุขกลับคืนมาในเร็ววัน แต่กลุ่มกระบวนการยังคงเดินหน้าทำการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์
และเป้าหมายอ่อนแออยู่อย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ มานี้ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายต่อความรุนแรง เอือมระอาต่อการกระทำที่สุดโต่ง
ไร้มนุษยธรรม ไม่มีความปราณีของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อ้างตัวว่าเป็นนักรบฟาตอนี RKK โดยจะเห็นได้ว่าประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่ม
ผกร. มากขึ้นตามลำดับส่งผลให้การติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้จำนวนหลายสิบรายในห้วงที่ผ่านมา
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน
“เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
อีกทั้งยังยึดหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายยังคงมีมาตรการปฏิบัติเชิงรุกในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้กับผู้ที่ละเมิด และล่าสุดเมื่อ 27
มีนาคม 2558 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้มีคำพิพากษาคดีก่อการร้าย เลขคดี 2374/57 โดยพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต
นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ
นายมูฮำหมัดซอบรี
หยีมามุ ได้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเมื่อ 7 พฤษภาคม 2557
โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ในพื้นที่ตำบลบางเขา
อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
พฤติกรรมของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ
เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการในการลอบวางระเบิด และเป็นบุคคลตามหมายจับ
ป.วิอาญา ที่ 15/51 ลง 4 มกราคม 2551 สภ.เมืองปัตตานี ข้อหาร่วมกันฆ่า
และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จากเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น
ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่
4 ธันวาคม 2550
จากผลการซักถาม
นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าระหว่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมศึกษา ตนเองได้ทำการซูมเปาะ
โดย อุซตาซ พร้อมกับผู้ก่อเหตุรุนแรงคนสำคัญหลายคน อย่างเช่น นายมะซอเร ดือรามะ และได้ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว
นายมูฮำหมัดซอบรีฯ
ให้การยอมรับว่าตนเองก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์นจริง
โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดยังที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังให้การที่เป็นประโยชน์ ทำการซัดทอดผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้อีก
3 คนด้วยกัน คือ นายสุริยา พินนาคบุตร, นายอัสมีน กาเด็นมาตี และนายฮากีม
ดอเลาะ ซึ่งบุคคลทั้งหมดที่ถูกซัดทอดเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้เมื่อ 6 ธันวาคม 2550
จากคำรับสารภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ
ดังกล่าว หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ได้ประสานพนักงานสอบสวน
สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานีมาบันทึกคำให้การ ต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนา
รวมถึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังสถานที่เกิดเหตุ
ในเวลาต่อเจ้าหน้าที่ได้ออก
พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งตัวนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ไปควบคุมตัวยังศูนย์พิทักษ์สันติฯ และในเวลาต่อมานายมูฮำหมัดซอบรีฯ
ได้กลับคำให้การ และยังทำหนังสือร้องเรียนว่าตนเองโดนเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่
43 ซ้อมทรมานจนกระทั่งตนเองต้องยอมรับสารภาพ แต่ศาลไม่รับคำฟ้อง
และในเวลาต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ
ดำเนินคดีแต่เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธในชั้นศาล
จนกระทั่งศาลจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี
หะยีมามุ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2557 ที่ผ่านมา
จากคำตัดสินของศาลจังหวัดปัตตานี
ทุกขั้นตอนของกระบวนยุติธรรมมีความโปร่งใส ซึ่งได้ตัดสินกันไปตามพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาคดี
แต่ที่สำคัญคือการยอมรับสารภาพในขั้นตอนการซักถามของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีการบันทึกคำให้การพร้อมกับบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนาโดยไม่มีการบังคับขู่เข็นใดๆ
ทั้งสิ้น ถึงแม้จะกลับคำให้การในตอนหลังเพื่อลบล้างการรับสารภาพก็ไม่เป็นผลใดๆ
การก่อเหตุของนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ
ในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย
มีหลายชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวต้องเจ็บปวด บ้างขาดเสาหลักขาดผู้นำในครอบครัวไป
ที่สำคัญต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...คำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลได้ลงอาญาเหมาะสมแล้วกับการกระทำ
แต่ผู้เขียนคิดว่าศาลยังให้ความปราณีต่อผู้ต้องหาอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 7
ชีวิตที่ตายจากน้ำมือการกระทำของเขา...
แล้วเมื่อไหร่ความสันติสุขที่ทุกคนใฝ่หาจะเป็นจริงสักที!!! ในเมื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงเดินหน้าก่อเหตุสร้างสถานการณ์อยู่เช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชนปาตานี ต้องมารับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของโจรใต้ฟาตอนีอยู่เนืองๆ
อีกฝากฝั่งหนึ่งครอบครัวโจรใต้ฟาตอนีก็เช่นเดียวกันได้รับความเดือดร้อนไม่หยิ่งหย่อน
และแตกต่างกับครอบครัวผู้ที่ถูกกระทำเท่าไหร่นัก!!
เนื่องจากเกิดการปะทะถูกวิสามัญ
บ้างถูกจับกุมโดนคุมขังในเรือนจำ ต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าต้องเป็นภาระของสังคม
แล้วถามโจรใต้ฟาตอนีเหล่านี้สิ!!! ทำไปเพื่ออะไร?...และเพื่อใคร? กันแน่...คนสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอก
ส่งลูกหลานตัวเองศึกษาต่อยังต่างประเทศ ย้อนกลับมามองครอบครัวสมาชิกแนวร่วมดูละกัน!!!..ทุกวันนี้ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร..ยิ่งผู้นำครอบครัวถูกคุมขังจะอยู่กันอย่างไร!!!..คุ้มค่าแล้วหรือที่ทุ่มเทเพื่อขบวนการ....
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น