‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’
จากความเคลื่อนไหวใน เฟสบุ๊ค ของนางอัญชนา หีมมีน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ
ในสื่อสังคมออนไลน์ จะเห็นได้ว่ามักจะเป็นการหยิบยกเอาประเด็นที่เจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการเข้าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับครอบครัวผู้ต้องสงสัย
เนื่องจากคนที่ถูกเชิญตัวเป็นคนที่คอยหาเงินมาดูแลครอบครัว เมื่อเสาหลักของครอบครัวถูกเชิญตัวไปซักถาม
ทำให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ตกต่ำลง สร้างความลำบากเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีการเสนอข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การซ้อมทรมานผู้ต้องหา มาโดยตลอด โดยปราศจากการค้นหาความจริงว่า
เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติ เช่นนั้นจริงหรือไม่
จะเห็นได้ว่านางสาวอัญชนา
หีมมีน๊ะ ได้เสนอข้อมูลที่มีความบิดเบือนปราศจากการพิสูจน์ โดยมักจะใช้คำกล่าวอ้างจากคำสัมภาษณ์
ของญาติผู้ถูกควบคุมตัว และผู้ถูกควบคุมตัว ยกตัวอย่างเช่นกรณี การเปิดตัวหนังสือ “รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2557 - 2558” ซึ่งเป็นการนำข้อมูลเก่า ๆ
และบิดเบือนข้อเท็จจริงมานำเสนอ เพื่อที่จะโน้มน้าว และสื่อให้คนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ยังไม่มีข้อมูลที่แท้จริง
เห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม
จากเหตุการณ์ล่าสุด กรณีที่มีกลุ่มคนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง
นางสาวอัญชนา ฯ ก็ได้กล่าวอ้างว่าจากการสัมภาษณ์ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวที่มาร้องเรียนกับตนเองว่า
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่มีการเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมีบางอย่างที่ทำให้ ชาวบ้านไม่สบายใจ
และกังวลใจ สร้างความลำบากให้กับครอบครัว และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
การซ้อมทรมานผู้ต้องหา ในกรณีต่างๆ ซึ่งถ้าผู้อ่านได้ติดตามมาโดยตลอด
พอจะลองวิเคราะห์ได้ว่าก็จะเป็นกรณีเดิมๆ เช่น แช่ห้องเย็น อยู่ห้องมืด
ให้คำพูดข่มขู่ ซึ่งจากคำพูดเหล่านี้ ได้ยินมานานมาก
และทุกๆครั้งที่มีการนำมาเผยแพร่ก็จะมี ข้อความเช่นนี้อยู่เสมอ
ในหลาย ๆ ครั้ง ที่นางสาว อัญชณา ฯ
ได้ออกมาประณามการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่รัฐที่มีผลกระทบกับสิ่งที่
นางสาวอัญชณา ฯ กล่าว ก็ไม่ได้ออกมาโต้เถียง
เพียงแต่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการเชิญนักข่าว สำนักต่างๆ
เข้าไปดูในศูนย์ซักถามว่าไม่ได้เป็นจริงตามที่ นางสาว อัญชนา ฯ กล่าวอ้าง และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่อง
เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความเห็น แต่ถึงคราวนี้ทางเจ้าหน้าที่ คงจะทนไม่ไหว จึงได้จัดกิจกรรมให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวกรณีเหตุการณ์โรงพยาบาลเจาะไอร้อง
และกลุ่มด้วยใจได้พบกับผู้ถูกเชิญตัวที่ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร
เพื่อที่จะได้สอบถามความเป็นอยู่ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ถูกเชิญตัว
และเป็นการสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ภายใต้อำนาจ
หน้าที่และกฎหมายที่ถูกต้อง ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่อย่างใด
เมื่อ นางสาวอัญชนา ฯ ได้เข้าพบปะกับครอบครัว
และผู้ถูกเชิญตัว แล้วคงมีความเข้าใจมากขึ้น
จึงได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับข้อมูลที่ออกไปโดยไม่ได้มีการตรวจสอบ ผ่าน
เฟสบุ๊คของตนว่า
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2559
กลุ่มด้วยใจได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อแจ้งให้ทราบว่าจะมีการจัดกิจกรรมให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวกรณีเหตุการณ์โรงพยาบาลเจาะไอร้อง
และกลุ่มด้วยใจได้พบกับผู้ถูกเชิญตัวที่ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ซักถาม
ค่ายอิงคยุทธบริหาร ทางกลุ่มด้วยใจก็ตอบตกลงในทันทีเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่เจ้าหน้าที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวของผู้ถูกเชิญตัวที่มีความทุกข์
ความห่วงกังวล กับการพลัดพรากจากผู้นำครอบครัว หรือ ลูกๆ
ได้พบทั้งผู้ถูกเชิญตัวและเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ภายใต้อำนาจ หน้าที่และกฎหมาย
ย้อนไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2559
กลุ่มด้วยใจได้พบกับครอบครัวผู้ที่ถูกเชิญตัวจำนวนหนึ่งมาพูดคุยถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัวของพวกเขา
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559
ทางกลุ่มด้วยใจจึงได้ไปเก็บข้อมูลและให้ความรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาที่พวกเขาเจอ
คือ การบังคับใช้กฎอัยการศึก พรก.ฉุกเฉิน กฎหมายอาญา และการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ผลจากการพูดคุยแลกเปลี่ยน และสอบถามทำให้ทราบว่ามีผู้ที่ถูกควบคุมจากการให้ข้อมูลของชาวบ้านที่มาในวันนั้น
จำนวน 23 คน
- การควบคุมตัวมีบางครอบครัวที่ถูกควบคุมเป็นพี่น้องกัน
มี 3 คน 1 ครอบครัว และ 2 คน มี 1 ครอบครัว เป็น น้าและ หลาน 1 ครอบครัว
- บางกรณีถูกเคยถูกควบคุมตัวมาแล้ว 4 ครั้ง 3 ครั้ง ลดหลั่นกันมา
- สถานที่ที่ควบคุมตัวมีที่เขาตันหยง
จังหวัดนราธิวาส ค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี และ ศชต จังหวัดยะลา และมีประเด็นที่ครอบครัวกังวลใจ
คือ
- การแจ้งสถานที่ควบคุมตัว และ
การเคลื่อนย้าย ผู้ถูกเชิญตัว บางกรณีมีการแจ้งให้ครอบครัวทราบ
บางกรณีไม่ได้แจ้งให้ครอบครัวทราบ
- บางกรณีเมื่อไปเยี่ยมสามีพบว่าเขามีอาการมือสั่น
- บางกรณีบอกว่า ถูกอยู่ในห้องที่มืด
- บางกรณีอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 9 ชั่วโมง
- บางกรณีเพิ่งจะไปเยี่ยมและพบว่า
สามีไม่มีแรงที่จะเดินหรือยืนเลย
- บางกรณีได้พบหรือเยี่ยมเจ้าหน้าที่บอกว่าได้แค่สลาม
และบอกว่ากำลังสอบสวนอยู่
- บางกรณีบอกว่า
เจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้าน และวางกระสุนปืนในบ้านตอนที่เข้ามาตรวจค้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามา
5 คน
แต่ให้เจ้าบ้านพาตรวจแค่คนเดียวทำให้พวกเขาเกิดความกลัวถึงความโปร่งใสในการทำงาน
- เวลาที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นในบ้านที่มีเด็กและผู้หญิง
มีการจี้ปืนไปที่ศีรษะของผู้หญิงที่นำเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น หรือจี้ปืนตามหลังเขา
ต่อมาเมื่อวันที่
8 เมษายน 2559
กลุ่มด้วยใจจึงได้เชิญครอบครัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวจำนวน 28 ครอบครัว
มาพูดคุยและยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อห่วงกังวลที่ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวได้รับทราบ
และพูดคุยกับสื่อมวลชนถึงความสภาพปัญหาที่ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวเผชิญหลังผู้นำครอบครัวถูกควบคุมตัว
จึงได้รับทราบถึงข้อห่วงกังวลเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้
- การเซ็นเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านหรือตรวจทานเพราะ
เจ้าหน้าที่บอกให้เซ็นแล้วจะได้รับการปล่อยตัว
-
บางกรณีเจ้าหน้าที่ที่เขาตันหยงได้บอกภรรยาผู้ที่ถูกควบคุมตัวว่า 3 วันนี้ไม่ต้องมาเยี่ยมเพราะเขาจะดำเนินการสอบสวน
วัตถุประสงค์ที่ทางกลุ่มด้วยใจได้พบปะ
พูดคุย กับ ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัว ก็เพื่อ
สร้างความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่
เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และจำแนกแยกแยะถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับการบังคับใช้กฎหมาย
และ เพื่อ ให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวได้มีกำลังใจ พลังใจ ในการเผชิญกับการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเข้าใจและไม่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
อันเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่ขับเคลื่อนความรุนแรงให้คงอยู่
เมื่อวันที่
12 เมษายน 2559 เวลาประมาณ 13:30
น กลุ่มด้วยใจจึงเดินทางไปถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร และได้พบกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ติดต่อมา
และได้พบกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเยี่ยมญาติ
ซึ่งสถานที่ที่ให้ครอบครัวได้พบกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวนับได้ว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีมาก
มีห้องน้ำที่เพียงพอ มีสถานที่ละหมาดแยก ชายหญิง
และมีห้องเยี่ยมญาติที่ทางญาติและครอบครัวได้พบกันอย่างเป็นส่วนตัว
ที่นี้เราได้พบกับผู้ต้องที่ถูกเชิญตัวด้วยกรณีเจาะไอร้องเพิ่มอีก 1 ราย ซึ่งเขามีความเป็นอยู่ที่ดี
แต่อยากกลับบ้านเพราะเป็นห่วงภรรยาและลูกที่ยังไม่ถึง 1 ขวบ
หลังจากนั้นจึงได้เดินทางเข้าไปในอาคารที่เรียกว่าห้องมหาราชซึ่งอยู่ด้านในสุด
และได้พบกับผู้ที่ถูกเชิญตัวและครอบครัวจำนวน 7 คน
เพราะบางคนได้ถูกส่งตัวไปยัง ศชต. บางคนยังอยู่ที่เขาตันหยง
และบางคนได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งในโอกาสนี้เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงถึง
- ความจำเป็นในการควบคุมตัวและขั้นตอนในการเยี่ยมญาติให้กับกลุ่มด้วยใจและญาติได้รับทราบและในประเด็นนี้
ทางเจ้าหน้าที่และผู้ที่ถูกเชิญตัวได้ร่วมกันชี้แจงถึงข้อกังวลใจที่ในประเด็นการเยี่ยมญาติคือ
- กรณีที่ญาติไม่ทราบถึงการย้ายตัวไปของผู้ที่ถูกเชิญตัวอาจมีสาเหตุมาจาก
เบอร์โทรศัพท์ที่ญาติได้แจ้งไว้ไม่สามารถติดต่อได้
- เวลาในการเยี่ยมซึ่งยังมีกรณีที่ครอบครัวได้แค่สลามจริงแต่เกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากนั้นก็ได้รับความสะดวกสบายในการเยี่ยมญาติ
- สำหรับกรณีที่ควบคุมตัวที่เขาตันหยงและเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ต้องมาเยี่ยม
3 วัน นั้น ทางกลุ่มด้วยใจจะแจ้งรายชื่อให้เจ้าหน้าที่ทราบและทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป
- ในกรณีที่บอกว่า ถูกอยู่ในห้องที่มืด
นั้น ในจำนวนที่ได้พูดคุยทุกคนปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในห้องมืด
- และในกรณีอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 9
ชั่วโมงนั้นผู้ที่ถูกเชิญตัวที่มาในวันนี้
ก็ได้ปฏิเสธเช่นเดียวกันว่าไม่มี
- สำหรับกรณีที่พบว่าสามีไม่มีแรงที่จะเดินหรือยืนเลยนั้นเนื่องจากบางคนที่ถูกเชิญตัวเป็นโรคแขนขาอ่อนแรงจึงทำให้ไม่มีแรงแต่ก็สามารถมาพบปะกับญาติได้ทุกวัน
- ในกรณีที่บอกว่า
เจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้านและวางกระสุนปืนในบ้านตอนที่เข้ามาตรวจค้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามา
5 คน
แต่ให้เจ้าบ้านพาตรวจแค่คนเดียวทำให้พวกเขาเกิดความกลัวถึงความโปร่งใสในการทำงานนั้นทางกลุ่มด้วยใจจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบอีกครั้งว่าเกิดขึ้นกับกรณีไหนและจะมีการตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อไป
- เวลาที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นในบ้านที่มีเด็กและผู้หญิง
เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น หรือจี้ปืนตามหลังเจ้าบ้าน
ในกรณีนี้ผู้ที่ถูกเชิญตัวที่พบในวันนี้ได้เล่าว่าในวันนั้น
เขานอนอยู่ในบ้านกับน้องๆซึ่งเป็นเด็กๆหลายคน เพราะแม่ไปทำงานที่มาเลเซีย
เจ้าหน้าที่จึงได้ให้น้องๆออกไปนอกบ้านและใช้ปืนจี้ที่หลังของเขาผ่านโล่ในมือเจ้าหน้าที่เพื่อค้นบ้าน
ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อธิบายถึงความจำเป็นในปฏิบัติการ เพื่อป้องกันความสูญเสียของเจ้าหน้าที่
และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้กล่าวขอโทษต่อครอบครัวของเขาที่ปฏิบัติการได้สร้างความตกใจให้กับเด็กๆ
ในบ้าน
นอกจากนี้ทางครอบครัวผู้ที่ถูกเชิญตัวก็ได้แสดงออกถึงความรู้สึกและได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ได้จัดกิจกรรมในวันนี้อีกทั้งได้จัดรถเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง
และเป็นความน่ายินดี อีกประการเมื่อเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่าในวันนี้จะมีการปล่อยตัวผู้ที่ถูกเชิญตัวจำนวน
7 คน
ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถามถึงข้อมูลเรื่องกรณีทรมานจำนวน
54 รายที่ปรากฏในรายงานร่วมของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และ
องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชน ปาตานี เพื่อนำไปตรวจสอบ
และทางกลุ่มด้วยใจก็จะได้นำไปเสนอต่อองค์กรร่วมจัดทำรายงานต่อไป
ซึ่งจากกรณีข้อร้องเรียนเรื่องการทรมานได้มีข้อเสนอร่วมกันดังนี้
- ทางองค์กรร่วมจัดทำรายงานสถานการณ์การทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี
ในจังหวัดชายแดนใต้จะดำเนินการในการสนับสนุนการตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆที่ปรากฏในรายงานโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูลและความยินยอมของผู้ให้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและองค์กรร่วมจัดทำรายงานสถานการณ์ฯ
จะดำเนินการกำหนดมาตรการและกลไกการร้องเรียนและการป้องกันการกระทำทรมานในระดับพื้นที่ต่อไป
นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างมาก สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและองค์กรพัฒนาเอกชน
ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในการป้องกันการทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี
ในจังหวัดชายแดนใต้
กลุ่มด้วยใจขอแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ทหารที่อำนวยความสะดวกให้กับครอบครัวและผู้ที่ถูกเชิญตัวได้พบปะกัน
เพื่อลดความกังวลใจและสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การสร้างกลไกในการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการทรมาน
และ
การสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนในการยุติการทรมานในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป
จากคำยืนยันของนางสาว อัญชนา ฯ
ประธานกลุ่มด้วยใจ ที่ได้เคยเผยแพร่ข้อมูลว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
การซ้อมทรมานผู้ต้องหา ทำให้สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนมั่นใจว่านางสาวอัญชนา ฯ
ไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐ ข่มขู่ บังคับให้ลงข้อมูลแต่อย่างใด
สังเกตได้จากสีหน้าที่ยิ้มแย้มของนางสาวอัญชนา ฯ
ผู้เขียนจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ญาติ และครอบครัว
รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ อย่ากังวลหรือหวาดวิตก ต่อกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัย ในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งในปัจจุบันนี้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งพิสูจน์ได้จากคำยืนยันจาก นางสาว
อัญชนา และสื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคมที่เคยเข้าเยี่ยมชมศูนย์ซักถามแล้วว่าไม่มีการทำร้ายผู้ต้องสงสัย
ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการซ้อมทรมานแต่ประการใด
ส่วนผู้ต้องสงสัยเมื่อผ่านขั้นตอนวิธีการแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
เจ้าหน้าที่จะทำการปล่อยตัวเพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวโดยเร็วที่สุด ส่วนคนผิดก็ต้องว่าไปตามผิดต้องรับโทษทัณฑ์กับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้น
ทั้งนี้หน่วยงานภาครัฐยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังหลบหนีอยู่
สามารถเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ภูมิลำเนาของท่าน
หรือผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*****************