4/26/2559

ย้อนเหตุการณ์ระเบิดจะนะ..สู่เทพา โจรใจบาปสารภาพหลักฐานมัดตัว

 ‘Ibrahim’


เหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีทีท่าจะดับมอดนับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน หากดูย้อนดูสถิติความสูญเสียและการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดต่อเจ้าหน้าที่หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะเห็นได้ว่าสถิติการก่อเหตุของขบวนการในบางช่วงจะมีจำนวนครั้งค่อนข้างสูง และบางช่วงมีจำนวนครั้งในการก่อเหตุน้อย ผลกระทบและความสูญเสียที่เกิดขึ้น ต้องอิงปัจจัยและรูปแบบการก่อเหตุเป็นหลัก
          การก่อเหตุด้วยการลอบวางระเบิดถือได้ว่ามีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนค่อนข้างสูง เนื่องจากการก่อเหตุของกลุ่มคนร้ายด้วยระเบิด อำนาจการทำลายไม่สามารถจำกัดจำเพาะเจาะจงคนใดคนหนึ่งได้ ฉะนั้นประชาชนผู้บริสุทธิ์จึงต้องตกเป็นเป้าในการกระทำความรุนแรงของกลุ่มขบวนการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
          ข่าวการลอบวางระเบิดของกลุ่มคนร้ายที่สร้างผลกระทบต่อประชานมีให้เห็นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อเด็กซึ่งไร้เดียงสาไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยกับความขัดแย้งของผู้ใหญ่แต่กลับมารับผลกรรมและการกระทำที่สุดโต่งอย่างน่าใจหาย
          ความรุนแรงล่าสุดจาก 2 เหตุการณ์ใน 2 พื้นที่ซึ่งอยู่ใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา อำเภอจะนะ เทพา ที่ไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงเท่าใดนัก แต่ปัจจุบันกลับมีการก่อเหตุที่รุนแรงเสมือนหนึ่งเป็นตัวบ่งชี้นัยสำคัญในการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการ หรืออาจจะสอดรับผสานอะไรบางอย่างกับการเคลื่อนไหวการต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างมีเลศนัย
          เหตุระเบิดบริเวณหน้าสถานีรถไฟจะนะ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมานั้น เด็กได้ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงของกลุ่มขบวนการ นำมาซึ่งความเศร้าสลดหดหู่หัวใจของประชาชนคนไทยทั้งประเทศอีกครั้ง รับไม่ได้กับการกระทำเยี่ยงสัตว์ร้ายเมื่อมีเด็กอายุ 4 ขวบ ต้องมาจบชีวิตอย่างไม่น่าให้อภัย อีกทั้งเจ้าหน้าตำรวจยศร้อยตำรวจเอกเสียชีวิต 1 นาย มีประชาชนได้รับบาดเจ็บรวม 15 ราย และเมื่อวันที่ 1 9 เมษายน ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกระลอกหนึ่งหน้าร้านขายของชำหลังสถานีรถไฟบ้านตาแปด อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนได้รับบาดเจ็บ 15 ราย และหนึ่งในนั้นมีเด็กอายุ 11 ขวบได้รับบาดเจ็บอีกด้วย
          ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครพึงปรารถนา แต่จากพฤติกรรมของกลุ่ม ผกร.ที่ผ่านมาไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะต่อเด็ก การก่อเหตุมุ่งแต่ผลประโยชน์และสร้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าผู้คนให้กับฝ่ายตน สร้างผลงานเพื่อเป็นอำนาจต่อรองในการพูดคุยสันติสุข ไม่เคยมีการออกมากล่าวแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำ
          ผลกระทบจากการก่อเหตุที่มีต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรับได้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กทั้งที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ต้องพิการตัดแขนขา กรณีบิดามารดาต้องเสียชีวิต เด็กต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเป็นภาระต่อสังคม แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมธาตุแท้ของโจรใต้ฟาตอนีที่ไม่มีความปราณีและแยกแยะเป้าหมายในการก่อเหตุ มุ่งทำลายชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนทั้งชาวไทยพุทธ มุสลิมกันถ้วนหน้า ที่ผ่านมาอำเภอจะนะ อำเภอเทพา พี่น้องชาวไทยพุทธ และมุสลิม อยู่อาศัยร่วมกันอย่างปกติสุข อยู่อย่างพหุวัฒนธรรม เหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นบ้างประปรายแต่ไม่รุนแรงเหมือนในครั้งนี้
          ความเชื่อมโยงเหตุการณ์ลอบระเบิดหน้าสถานีรถไฟจะนะ..สู่ร้นขายของชำหลังสถานีรถไฟบ้านตาแปด อำเภอเทพา จะเป็นการก่อเหตุของกลุ่มโจรใต้กลุ่มเดียวกันหรือไม่? คงต้องรอคอยการกระชากหน้ากากของกลุ่มโจรชั่วออกมาเปิดเผยให้สังคมร่วมกันประณาม  
และล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้สนธิกำลังเพื่อติดตามจับกุมและบังคับใช้กฎหมายผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าสถานีรถไฟจะนะ ซึ่งก่อนหน้านี้มีความคืบหน้าในการติดตามคนร้ายมาตามลำดับ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ได้มีกาขอความร่วมมือประชาชน ในการแจ้งข้อมูลและเบาะแสของคนร้ายที่มีลักษณะตรงกับภาพกล้องวงจรปิด และในส่วนการปฏิบัติเจ้าหน้าที่ได้ให้ความสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายติดตามจับกุมคนร้ายเพื่อนำตัวมาลงโทษดำเนินคดีตามสั่งการของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4
จากผลการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้น บ้านไม่มีเลขที่ ม.3  บ.ท่าล้อ ต.สะพานไม้แก่น อ.จะนะ จ.สงขลา สามารถควบคุมตัวบุคคลเป้าหมาย จำนวน 2 ราย  ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุลอบวางระเบิดจนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินและเป็นประเด็นข่าวสารที่ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองมีหมายจับ ป.วิอาญา โดย นายอิบรอเฮม สุไหงบารู มีหมายจับ ป.วิอาญา 3 หมาย และนายอารง มีหมายจับ ป.วิอาญา 4 หมาย รวมถึงเป็น 1 ใน 7 เป้าหมายหลักที่ทำการเคลื่อนไหวก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา
จากการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้งสองคนยังพบว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการและสมาชิกปฏิบัติการ ส่วนการสอบสวนเบื้องต้น นายอิบรอเฮม และนายอารง ได้สารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิดหน้าสถานีรถไฟจะนะจริง..และนี่คือการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อนำตัวคนร้ายมาลงโทษดำเนินคดี..และคอยติดตามจุดจบของโจรใต้ทั้งสองรายจะได้รับโทษทัณฑ์กับกรรมที่ตัวเองได้ก่อจะสาสมกับคำประณามก่นด่าของประชาชนเพียงใด.

------------------------

4/18/2559

Beberapa ketika dahulu, adalah menjadi bukti Taveesak Pi editor berita Wartani dan stesen radio Media Selatan.


‘Bang Din Kota Baru’.

Tanggungjawab Taveesak Pi yang merosakan kepada tentera dan memusnahkan imej Pegawai tentera pada kes penjenayah menyerang Hospital Jok Airong. Dia telah disiarkan dengan panduan idea di Facebook privasi dengan tertuduh pegawai ialah yang mewujudkan keadaan dan ada orang yang dikongsi secara meluas. Sesetengahnya menuduh tempat kejadian sebagai untuk mendapatkan semula bajet. Tetapi apabila kebenaran itu keluar dia memohon maaf dengan mesej pendek di Facebook privasi, ini apakah maknanya? ....

          Menjejaki semula post imej perbandingan selendang pegawai dengan gambar penjenayah dari CCTV oleh Taveesak Pi editor berita Wartani dan stesen radio Media Selatan sekali lagi bahawa tingkah lakunya sebagai sengaja atau tanpa niat.

          Taveesak Pi telah mengepos mesej “sarung peluru di hospital sebagai sarung peluru standard yang ditemui di M-60 mesingan ringan bagi pihak tentera. Dan daripada bersiasat berita dahulu di media - media terdapat tidak pernah dilaporkan bahawa ini jenis mesingan ringan dirompak dari tentera. Oleh itu telah di syakan bahawa mana – mana kumpulan yang di gunakan senjata yang tersebut”.

          kemudiannya Kolonel Pramoth Bhomin Jurucakap Pejabat Keselamatan Dalam Negari Kawasan 4 (Bahagian Dihadapan) mengumumkan mendedah Taveesak Pi orang di Pejabat berita Wartani dan stesen radio Media Selatan ia telah cuba untuk memutarbelitkan fakta-fakta yang disiarkan dalam social media bahawa peristiwa itu dicipta oleh pegawai kerajaan.

          Taveesak Pi orang ini telah disiarkan di Facebook privasi sekali lagi yang berisi dengan ringkas, katanya “Saya menyiarkan gambar pihak berkuasa dengan penjenayah dari kamera pengawasan dalam perbandingan kerana selendang yang kelihatan mirip”. Dan menggunakan Facebook sebagai ruang untuk bertukar-tukar pandangan mengenai isu-isu utama yang berlaku didalam pagar Patani yang perlu diadakannya kerana kawasan konflik adalah terhad. sosial media adalah salah satu cara dalam mengambil pertukaran.

          Dan baru – baru ini pada25 Mac 59 B, selepas penjenayah mencerobohkan akan Hospital Jok Airong 13 hari berlalu. Taveesak Pi, baru di luar mengutuk sekumpulan jenayah secara makeshift kerana bukti yang telah menjelaskan bahawa kumpulan orang di CCTV di hospital Jok Airong bukan pegawai awam (Akan ada post lagikah bahawa terpaksa daripada pihak berkuasa untuk keluar mengutuk).

          Kandungan yang menarik yang Taveesak Pi telah disiarkan dengan alasan bermuka tebal tanpa malu. Gambar-gambar yang saya posted ia "Untuk menetapkan anggapan" kes pencorobohan Hospital Jok Airong tetapi imej tersebut diberikan dengan bahagian yang berikutnya. Ramai orang membuat faham kesilapan bahawa keadaan itu dicipta oleh pihak berkuasa.

          Ingatlah Taveesak Pi adalah editor berita Wartani dan stesen radio Media Selatan. Yang anda siarkan apa-apa untuk Facebook privasi. Topeng yang anda pakai adalah media yang mesti melaporkan fakta-fakta. Oleh itu kandungan yang anda telah menyiarkan siaran itu pengguna berita dari anda, mereka akan percaya kerana mendapat maklumat dari media.

          Tabiat umum orang Thai lebih sanggup mempunyai lupa yang sukar di ingatkan. Dan daripada tingkah laku Taveesak Pi yang lalu dan golongan yang lain, yang merupakan rangkaian yang sama. Jika kita tidak menangkap kesalahannya. Kumpulan ini tidak boleh dieja dengan "kesedaran" dan tanggungjawab walaupun menerima bersalah dan memohon maaf atas apa yang telah dilakukan tiada ada sekali yang terkumpul menjadi sifat berakar umbidalam darah yang sukar untuk disembuh.

          Bayangkan bermain dengan baik. Jika ini adalah satu tindakan pihak berkuasa untuk mewujudkan keadaan. Setakat ini Taveesak Pi terus membalut santapan tidak dikeluarkan. Sekumpulan besar ternakan musang akan     membawa perkara ini dilanjutkan kepada organisasi antarabangsa.


          mencari ikhlas dari kumpulan ini? Kekal amat berat kerana sentiasa mereka menggigitkan. Mencari kelemahan yang terhasil daripada prestasi pegawai-pegawai untuk membesarkan luka. ini acara yang disebabkan oleh perompak selatan ia berani diputarbelitkan, Melemparkan keselahan kepada pihak berkuasa, Muka orang - orang ini sangat tebal yang sesetengah haiwan memalukannya ...marilah kita memerhatikan tingkah laku Taveesak Pi bahawa apalagi yang akan datang daripadanya. Tetapi sudah tentu dia tidak menghentikan penganiayaan pihak berkuasa. Dia menggali luka lama pada masa lalu untuk menghantui masyarakat kepada tidak lupa. amat sukarlah untuk kumpulan ini menghentikan kebiasaan dan tabiat yang tersebut. Jika tiada langkah-langkah mehukumkan dia kita perlu menerima tawaran akhir. Terdapat hanya satu cara yaitu membiarkan dirinya mati dengan sendiri.


-----------------------------------

4/16/2559

บทพิสูจน์ “กลุ่มด้วยใจ”

ซอเลาะห์ บินคอลีฟ
จากความเคลื่อนไหวใน เฟสบุ๊ค ของนางอัญชนา หีมมีน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ ในสื่อสังคมออนไลน์ จะเห็นได้ว่ามักจะเป็นการหยิบยกเอาประเด็นที่เจ้าหน้าที่รัฐได้ดำเนินการเข้าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นการสร้างความยากลำบากให้กับครอบครัวผู้ต้องสงสัย เนื่องจากคนที่ถูกเชิญตัวเป็นคนที่คอยหาเงินมาดูแลครอบครัว เมื่อเสาหลักของครอบครัวถูกเชิญตัวไปซักถาม ทำให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ตกต่ำลง สร้างความลำบากเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีการเสนอข่าวสารเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การซ้อมทรมานผู้ต้องหา มาโดยตลอด โดยปราศจากการค้นหาความจริงว่า เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติ เช่นนั้นจริงหรือไม่

          จะเห็นได้ว่านางสาวอัญชนา หีมมีน๊ะ ได้เสนอข้อมูลที่มีความบิดเบือนปราศจากการพิสูจน์ โดยมักจะใช้คำกล่าวอ้างจากคำสัมภาษณ์ ของญาติผู้ถูกควบคุมตัว และผู้ถูกควบคุมตัว ยกตัวอย่างเช่นกรณี การเปิดตัวหนังสือ รายงานสถานการณ์การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2557 - 2558”  ซึ่งเป็นการนำข้อมูลเก่า ๆ และบิดเบือนข้อเท็จจริงมานำเสนอ เพื่อที่จะโน้มน้าว และสื่อให้คนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ยังไม่มีข้อมูลที่แท้จริง เห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม  ไร้มนุษยธรรม

          จากเหตุการณ์ล่าสุด กรณีที่มีกลุ่มคนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง นางสาวอัญชนา ฯ ก็ได้กล่าวอ้างว่าจากการสัมภาษณ์ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวที่มาร้องเรียนกับตนเองว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่มีการเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมีบางอย่างที่ทำให้ ชาวบ้านไม่สบายใจ และกังวลใจ สร้างความลำบากให้กับครอบครัว และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การซ้อมทรมานผู้ต้องหา ในกรณีต่างๆ ซึ่งถ้าผู้อ่านได้ติดตามมาโดยตลอด พอจะลองวิเคราะห์ได้ว่าก็จะเป็นกรณีเดิมๆ เช่น แช่ห้องเย็น อยู่ห้องมืด ให้คำพูดข่มขู่ ซึ่งจากคำพูดเหล่านี้ ได้ยินมานานมาก และทุกๆครั้งที่มีการนำมาเผยแพร่ก็จะมี ข้อความเช่นนี้อยู่เสมอ



          ในหลาย ๆ ครั้ง ที่นางสาว อัญชณา ฯ ได้ออกมาประณามการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่รัฐที่มีผลกระทบกับสิ่งที่ นางสาวอัญชณา ฯ กล่าว ก็ไม่ได้ออกมาโต้เถียง เพียงแต่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการเชิญนักข่าว สำนักต่างๆ เข้าไปดูในศูนย์ซักถามว่าไม่ได้เป็นจริงตามที่ นางสาว อัญชนา ฯ กล่าวอ้าง และทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่อง เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความเห็น แต่ถึงคราวนี้ทางเจ้าหน้าที่ คงจะทนไม่ไหว จึงได้จัดกิจกรรมให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวกรณีเหตุการณ์โรงพยาบาลเจาะไอร้อง และกลุ่มด้วยใจได้พบกับผู้ถูกเชิญตัวที่ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อที่จะได้สอบถามความเป็นอยู่ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ถูกเชิญตัว และเป็นการสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ภายใต้อำนาจ หน้าที่และกฎหมายที่ถูกต้อง ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่อย่างใด


          เมื่อ นางสาวอัญชนา ฯ ได้เข้าพบปะกับครอบครัว และผู้ถูกเชิญตัว แล้วคงมีความเข้าใจมากขึ้น จึงได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับข้อมูลที่ออกไปโดยไม่ได้มีการตรวจสอบ ผ่าน เฟสบุ๊คของตนว่า

          เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2559 กลุ่มด้วยใจได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อแจ้งให้ทราบว่าจะมีการจัดกิจกรรมให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวกรณีเหตุการณ์โรงพยาบาลเจาะไอร้อง และกลุ่มด้วยใจได้พบกับผู้ถูกเชิญตัวที่ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร ทางกลุ่มด้วยใจก็ตอบตกลงในทันทีเพราะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่เจ้าหน้าที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวของผู้ถูกเชิญตัวที่มีความทุกข์ ความห่วงกังวล กับการพลัดพรากจากผู้นำครอบครัว หรือ ลูกๆ ได้พบทั้งผู้ถูกเชิญตัวและเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ภายใต้อำนาจ หน้าที่และกฎหมาย

       
          ย้อนไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2559 กลุ่มด้วยใจได้พบกับครอบครัวผู้ที่ถูกเชิญตัวจำนวนหนึ่งมาพูดคุยถึงสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัวของพวกเขา หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 ทางกลุ่มด้วยใจจึงได้ไปเก็บข้อมูลและให้ความรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาที่พวกเขาเจอ คือ การบังคับใช้กฎอัยการศึก พรก.ฉุกเฉิน กฎหมายอาญา และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ผลจากการพูดคุยแลกเปลี่ยน และสอบถามทำให้ทราบว่ามีผู้ที่ถูกควบคุมจากการให้ข้อมูลของชาวบ้านที่มาในวันนั้น จำนวน  23 คน
          - การควบคุมตัวมีบางครอบครัวที่ถูกควบคุมเป็นพี่น้องกัน มี 3 คน 1 ครอบครัว และ 2 คน มี 1 ครอบครัว เป็น น้าและ หลาน 1 ครอบครัว
          - บางกรณีถูกเคยถูกควบคุมตัวมาแล้ว 4 ครั้ง 3 ครั้ง ลดหลั่นกันมา
          - สถานที่ที่ควบคุมตัวมีที่เขาตันหยง จังหวัดนราธิวาส ค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี และ ศชต จังหวัดยะลา และมีประเด็นที่ครอบครัวกังวลใจ คือ
          - การแจ้งสถานที่ควบคุมตัว และ การเคลื่อนย้าย ผู้ถูกเชิญตัว บางกรณีมีการแจ้งให้ครอบครัวทราบ บางกรณีไม่ได้แจ้งให้ครอบครัวทราบ
          - บางกรณีเมื่อไปเยี่ยมสามีพบว่าเขามีอาการมือสั่น
          - บางกรณีบอกว่า ถูกอยู่ในห้องที่มืด
          - บางกรณีอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 9 ชั่วโมง
          - บางกรณีเพิ่งจะไปเยี่ยมและพบว่า สามีไม่มีแรงที่จะเดินหรือยืนเลย
          - บางกรณีได้พบหรือเยี่ยมเจ้าหน้าที่บอกว่าได้แค่สลาม และบอกว่ากำลังสอบสวนอยู่
          - บางกรณีบอกว่า เจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้าน และวางกระสุนปืนในบ้านตอนที่เข้ามาตรวจค้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามา 5 คน แต่ให้เจ้าบ้านพาตรวจแค่คนเดียวทำให้พวกเขาเกิดความกลัวถึงความโปร่งใสในการทำงาน        
          - เวลาที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นในบ้านที่มีเด็กและผู้หญิง มีการจี้ปืนไปที่ศีรษะของผู้หญิงที่นำเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น หรือจี้ปืนตามหลังเขา

ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2559 กลุ่มด้วยใจจึงได้เชิญครอบครัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวจำนวน 28 ครอบครัว มาพูดคุยและยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อห่วงกังวลที่ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวได้รับทราบ และพูดคุยกับสื่อมวลชนถึงความสภาพปัญหาที่ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวเผชิญหลังผู้นำครอบครัวถูกควบคุมตัว จึงได้รับทราบถึงข้อห่วงกังวลเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้
- การเซ็นเอกสารโดยที่ไม่ได้อ่านหรือตรวจทานเพราะ เจ้าหน้าที่บอกให้เซ็นแล้วจะได้รับการปล่อยตัว
- บางกรณีเจ้าหน้าที่ที่เขาตันหยงได้บอกภรรยาผู้ที่ถูกควบคุมตัวว่า 3 วันนี้ไม่ต้องมาเยี่ยมเพราะเขาจะดำเนินการสอบสวน

วัตถุประสงค์ที่ทางกลุ่มด้วยใจได้พบปะ พูดคุย กับ ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัว ก็เพื่อ สร้างความเข้าใจในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และจำแนกแยกแยะถึงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับการบังคับใช้กฎหมาย และ เพื่อ ให้ครอบครัวผู้ถูกเชิญตัวได้มีกำลังใจ พลังใจ ในการเผชิญกับการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเข้าใจและไม่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่ขับเคลื่อนความรุนแรงให้คงอยู่


เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 เวลาประมาณ 13:30 น กลุ่มด้วยใจจึงเดินทางไปถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร และได้พบกับเจ้าหน้าที่ทหารที่ติดต่อมา และได้พบกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการเยี่ยมญาติ ซึ่งสถานที่ที่ให้ครอบครัวได้พบกับผู้ที่ถูกควบคุมตัวนับได้ว่ามีการพัฒนาไปในทางที่ดีมาก มีห้องน้ำที่เพียงพอ มีสถานที่ละหมาดแยก ชายหญิง และมีห้องเยี่ยมญาติที่ทางญาติและครอบครัวได้พบกันอย่างเป็นส่วนตัว ที่นี้เราได้พบกับผู้ต้องที่ถูกเชิญตัวด้วยกรณีเจาะไอร้องเพิ่มอีก 1 ราย ซึ่งเขามีความเป็นอยู่ที่ดี แต่อยากกลับบ้านเพราะเป็นห่วงภรรยาและลูกที่ยังไม่ถึง 1 ขวบ


หลังจากนั้นจึงได้เดินทางเข้าไปในอาคารที่เรียกว่าห้องมหาราชซึ่งอยู่ด้านในสุด และได้พบกับผู้ที่ถูกเชิญตัวและครอบครัวจำนวน 7 คน เพราะบางคนได้ถูกส่งตัวไปยัง ศชต. บางคนยังอยู่ที่เขาตันหยง และบางคนได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งในโอกาสนี้เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงถึง
- ความจำเป็นในการควบคุมตัวและขั้นตอนในการเยี่ยมญาติให้กับกลุ่มด้วยใจและญาติได้รับทราบและในประเด็นนี้ ทางเจ้าหน้าที่และผู้ที่ถูกเชิญตัวได้ร่วมกันชี้แจงถึงข้อกังวลใจที่ในประเด็นการเยี่ยมญาติคือ
- กรณีที่ญาติไม่ทราบถึงการย้ายตัวไปของผู้ที่ถูกเชิญตัวอาจมีสาเหตุมาจาก เบอร์โทรศัพท์ที่ญาติได้แจ้งไว้ไม่สามารถติดต่อได้
- เวลาในการเยี่ยมซึ่งยังมีกรณีที่ครอบครัวได้แค่สลามจริงแต่เกิดขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากนั้นก็ได้รับความสะดวกสบายในการเยี่ยมญาติ
          - สำหรับกรณีที่ควบคุมตัวที่เขาตันหยงและเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ต้องมาเยี่ยม 3 วัน นั้น ทางกลุ่มด้วยใจจะแจ้งรายชื่อให้เจ้าหน้าที่ทราบและทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป
          - ในกรณีที่บอกว่า ถูกอยู่ในห้องที่มืด นั้น ในจำนวนที่ได้พูดคุยทุกคนปฏิเสธว่าไม่ได้อยู่ในห้องมืด
          - และในกรณีอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 17 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 9 ชั่วโมงนั้นผู้ที่ถูกเชิญตัวที่มาในวันนี้  ก็ได้ปฏิเสธเช่นเดียวกันว่าไม่มี
          - สำหรับกรณีที่พบว่าสามีไม่มีแรงที่จะเดินหรือยืนเลยนั้นเนื่องจากบางคนที่ถูกเชิญตัวเป็นโรคแขนขาอ่อนแรงจึงทำให้ไม่มีแรงแต่ก็สามารถมาพบปะกับญาติได้ทุกวัน
          - ในกรณีที่บอกว่า เจ้าหน้าที่เข้ามาในบ้านและวางกระสุนปืนในบ้านตอนที่เข้ามาตรวจค้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามา 5 คน แต่ให้เจ้าบ้านพาตรวจแค่คนเดียวทำให้พวกเขาเกิดความกลัวถึงความโปร่งใสในการทำงานนั้นทางกลุ่มด้วยใจจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบอีกครั้งว่าเกิดขึ้นกับกรณีไหนและจะมีการตรวจสอบเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อไป
          - เวลาที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นในบ้านที่มีเด็กและผู้หญิง เจ้าหน้าที่ไปตรวจค้น หรือจี้ปืนตามหลังเจ้าบ้าน ในกรณีนี้ผู้ที่ถูกเชิญตัวที่พบในวันนี้ได้เล่าว่าในวันนั้น เขานอนอยู่ในบ้านกับน้องๆซึ่งเป็นเด็กๆหลายคน เพราะแม่ไปทำงานที่มาเลเซีย เจ้าหน้าที่จึงได้ให้น้องๆออกไปนอกบ้านและใช้ปืนจี้ที่หลังของเขาผ่านโล่ในมือเจ้าหน้าที่เพื่อค้นบ้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้อธิบายถึงความจำเป็นในปฏิบัติการ เพื่อป้องกันความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้กล่าวขอโทษต่อครอบครัวของเขาที่ปฏิบัติการได้สร้างความตกใจให้กับเด็กๆ ในบ้าน


          นอกจากนี้ทางครอบครัวผู้ที่ถูกเชิญตัวก็ได้แสดงออกถึงความรู้สึกและได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ได้จัดกิจกรรมในวันนี้อีกทั้งได้จัดรถเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง และเป็นความน่ายินดี อีกประการเมื่อเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่าในวันนี้จะมีการปล่อยตัวผู้ที่ถูกเชิญตัวจำนวน 7 คน

ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้สอบถามถึงข้อมูลเรื่องกรณีทรมานจำนวน 54 รายที่ปรากฏในรายงานร่วมของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กลุ่มด้วยใจ และ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชน ปาตานี เพื่อนำไปตรวจสอบ และทางกลุ่มด้วยใจก็จะได้นำไปเสนอต่อองค์กรร่วมจัดทำรายงานต่อไป ซึ่งจากกรณีข้อร้องเรียนเรื่องการทรมานได้มีข้อเสนอร่วมกันดังนี้
          - ทางองค์กรร่วมจัดทำรายงานสถานการณ์การทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้จะดำเนินการในการสนับสนุนการตรวจสอบข้อร้องเรียนต่างๆที่ปรากฏในรายงานโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ให้ข้อมูลและความยินยอมของผู้ให้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
          - เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและองค์กรร่วมจัดทำรายงานสถานการณ์ฯ จะดำเนินการกำหนดมาตรการและกลไกการร้องเรียนและการป้องกันการกระทำทรมานในระดับพื้นที่ต่อไป

  นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างมาก  สำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในการป้องกันการทรมาน และการปฏิบัติที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี ในจังหวัดชายแดนใต้

          กลุ่มด้วยใจขอแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ทหารที่อำนวยความสะดวกให้กับครอบครัวและผู้ที่ถูกเชิญตัวได้พบปะกัน เพื่อลดความกังวลใจและสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การสร้างกลไกในการตรวจสอบข้อร้องเรียนเรื่องการทรมาน และ การสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนในการยุติการทรมานในจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป

          จากคำยืนยันของนางสาว อัญชนา ฯ ประธานกลุ่มด้วยใจ ที่ได้เคยเผยแพร่ข้อมูลว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การซ้อมทรมานผู้ต้องหา ทำให้สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนมั่นใจว่านางสาวอัญชนา ฯ ไม่ได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐ ข่มขู่ บังคับให้ลงข้อมูลแต่อย่างใด สังเกตได้จากสีหน้าที่ยิ้มแย้มของนางสาวอัญชนา ฯ

          ผู้เขียนจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ญาติ และครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ อย่ากังวลหรือหวาดวิตก ต่อกระบวนการซักถามผู้ต้องสงสัย ในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในปัจจุบันนี้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งพิสูจน์ได้จากคำยืนยันจาก นางสาว อัญชนา และสื่อมวลชน องค์กรภาคประชาสังคมที่เคยเข้าเยี่ยมชมศูนย์ซักถามแล้วว่าไม่มีการทำร้ายผู้ต้องสงสัย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการซ้อมทรมานแต่ประการใด ส่วนผู้ต้องสงสัยเมื่อผ่านขั้นตอนวิธีการแล้วพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่จะทำการปล่อยตัวเพื่อกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวโดยเร็วที่สุด ส่วนคนผิดก็ต้องว่าไปตามผิดต้องรับโทษทัณฑ์กับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อขึ้น ทั้งนี้หน่วยงานภาครัฐยังได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังหลบหนีอยู่ สามารถเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน โดยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ภูมิลำเนาของท่าน หรือผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*****************


4/02/2559

เปิดข้อมูล “ลับ” กลุ่ม ผกร. ต่อสู้แบบไร้อุดมการณ์

‘Ibrahim’

เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  นับตั้งต้นปี 2547 จุดเริ่มของการจุดไฟใต้มาจนถึงปัจจุบันได้ผ่านมาร่วมสิบกว่าปีไม่มีทีท่าว่าจะดับมอด มีการคอยเติมเชื้อไฟให้ลุกโหมอยู่เป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายพยายามได้ร่วมกันดับ

          การก่อเหตุความรุนแรงได้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และสังคมไทยในภาพรวม การดำเนินนโยบายดับไฟใต้มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ผู้นำรัฐบาลแต่ละยุคแต่ละสมัยย่อมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับปัจจัยภัยแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันจากภายนอกประเทศ

          การก่อเหตุของกลุ่ม ผกร.ในปัจจุบันนี้ที่ยังคงเดินหน้าสร้างสถานการณ์ไม่เว้นวัน หลายเหตุการณ์ หลายพื้นที่ยังคงวนเวียนคอยทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมสมาชิก ผกร.ทำการขยายผลตรวจพบฐานปฏิบัติการ แหล่งผลิตวัตถุระเบิด รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก

          ผู้เขียนมีความสงสัยใคร่รู้ว่าสมาชิก ผกร.ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมมีแรงจูงใจอะไรในการเข้าร่วมขบวนการ และเมื่อเข้าไปแล้วอยากทราบสมาชิกเหล่านั้นมีทัศนคติ ความคิดเห็นอย่างไร? ต่อแนวทางการต่อสู้ของขบวนการในปัจจุบัน และประการสุดท้ายที่ใคร่รู้คืออุดมการณ์ของกลุ่มขบวนการยังคงมีอยู่หรือไม่? อย่างไร เพราะจากพฤติกรรมในการก่อเหตุได้เปลี่ยนไป

          คำถามหากไร้คำตอบก็เหมือนตะโกนไปในป่าใหญ่แต่ไม่มีใครได้ยิน เช่นเดียวกันเมื่อความอยากรู้กลุ่ม ผกร.จำนวนมากที่มีการจับกุมเนื่องจากมีการซักถามเคยมีการเก็บข้อมูลเหล่านี้หรือไม่ เพื่อตอบปัญหาคาใจของใครอีกหลายคน

          ผู้เขียนได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่าสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเข้าร่วมขบวนการของผู้หลงผิดเหล่านั้นคือเกิดจากการถูกชักชวนให้เข้าร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ โดยอ้างต่อสู้เพื่อพี่น้องชาวมุสลิมที่ไม่ได้รับความยุติธรรม มีส่วนน้อยที่คิดแก้แค้นเจ้าหน้าที่ด้วยความรุนแรง และส่วนมากไร้อุดมการณ์ในการต่อสู้ มีส่วนน้อยมากที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์เพื่อปลดปล่อยรัฐฟาตอนี

          ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ในปัจจุบันพบว่ามีกลุ่มเยาวชนเป็นจำนวนมาก ที่เข้าเป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเมื่อผ่านกระบวนการดื่มน้ำสาบาน และทำพิธีซูมเปาะแล้วไม่สามารถถอนตัวออกจากองค์กรได้ เมื่อหลงผิดและเข้าร่วมขบวนการแล้วแทบหมดโอกาสกลับมาสู่สังคมปกติได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะร่วมทำการก่อเหตุแต่เมื่อไม่ร่วมมือกลับถูกแกนนำข่มขู่ หากจะหนีไปก็ไม่รอดเพราะทุกพื้นที่ที่มีพี่น้องมุสลิมอาศัยอยู่นั้น ย่อมหมายถึงทุกแห่งจะมีคนของขบวนการแฝงตัวอยู่ และจะมีคนคอยติดตามหมายปองเอาชีวิตเพื่อปิดปากในที่สุด

สาเหตุและแรงจูงใจให้ผู้หลงผิดตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ

          สาเหตุและแรงจูงใจให้ผู้หลงผิดตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ สาเหตุใหญ่เกิดจากบ่มเพาะโดยการบิดเบือนความเชื่อทางด้านศาสนา มีการปลูกฝังแนวความคิด การปลุกระดมการทำสงครามญิฮาด ผูกมัดด้วยการสาบานตน (ซูมเปาะ) และเหตุผลที่ใช้ได้ตลอดคือการถูกสยามรุกรานศาสนา และแผ่นดินเกิด ในเมื่อผู้ที่ถูกปลุกระดมไม่ทราบถึงหลักการที่แท้จริง จึงหลงผิดเข้าร่วมกับขบวนการในที่สุด เนื่องจากกลัวเกรงถ้าไม่ปฏิบัติตามพระเจ้าจะลงโทษ เมื่อเข้าร่วมแล้วจะได้รับผลบุญ และสามารถสร้างบารมีให้กับตนเองด้วยการลงมือทำการเข่นฆ่าคนต่างศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาวไทยพุทธ

          การปลุกจิตสำนึกสร้างความเป็นอัตลักษณ์ชาวมลายู กลุ่ม ผกร.ใช้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างความแปลกแยกของคนในพื้นที่ อ้างชนชาติพันธุ์มลายูปาตานี กระตุ้นให้มีความรู้สึกอันแรงกล้าในการลุกขึ้นมาปกป้องอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ และศาสนาของคนในพื้นที่ร่วมกัน

          การกล่าวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ถูกครอบงำทางการเมือง ถูกเลือกปฏิบัติทางสังคม ถูกกดขี่ข่มแหงรังแกจากเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ปกครอง และคนมลายูคือผู้อยู่ภายใต้การปกครอง

          การคอยตอกย้ำบาดแผลในอดีตระหว่างรัฐสยามกับรัฐปัตตานี มีการส่งต่อไปยังลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยการบ่มเพาะบิดเบือนประวัติศาสตร์ นับแต่สยามได้ปัตตานีเป็นเมืองขึ้นได้มีการรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียว คือชาติไทย ที่มีความแตกต่างกับมลายูในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมและจารีตประเพณี ความคิดความเชื่อต่างๆ

          สร้างความเชื่อมั่นว่ากลุ่มขบวนการสามารถแบ่งแยกดินแดนได้จริง จากการต่อสู้จะนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดนปัตตานีออกจาการปกครองของรัฐไทย เมื่อสำเร็จจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน และสิทธิต่างๆ เพิ่มมากขึ้นและดีกว่าอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐไทย

          เกิดจากภาวะจำยอม สภาพแวดล้อม เมื่อเครือญาติสามีภรรยาเป็นสมาชิก ผกร.รวมทั้งหากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดตั้ง สภาพความเป็นอยู่ได้บังคับให้ต้องเข้าร่วมหรือสนับสนุนขบวนการโดยปริยาย

          เกิดจากความเกรงกลัวจากการข่มขู่ของสมาชิกระดับแกนนำในหมู่บ้าน เมื่อสมาชิกถูกจับกุมตัวมีการซักถาม เมื่อให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่มีการรับรองความปลอดภัยใดๆ ต่อตนเองและครอบครัว เพราะกลุ่มขบวนการกลัวผู้ที่ถูกจับกุมจะเปิดเผยความลับ สุดท้ายเมื่อถูกกดดันจะกลับเข้าร่วมขบวนการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แรงจูงใจให้สมาชิก ผกร.ทำการก่อเหตุ

          การกลัวเกรงต่อโทษที่ได้รับซึ่งมีหัวหน้าชุดปฏิบัติการเป็นผู้กำหนดเป้าหมายในการก่อเหตุ เมื่อมีการสั่งการหากไม่มีการปฏิบัติใดๆ หัวหน้าชุดจะเป็นผู้รับผิดชอบในการถูกลงโทษด้วยการถือศีลอด การถูกตำหนิอย่างรุนแรง หรือการสั่งการอย่างใดอย่างหนึ่งจากแกนนำระดับสูง รวมทั้งได้มีการปลุกระดมเพิ่มขวัญกำลังใจ โดยใช้การบิดเบือนหลักศาสนาเกี่ยวกับ ชะอีดคือความตายที่เกิดจากการต่อสู้ มีการให้สมาชิกบริจาคเงินให้กับขบวนการวันละ 1 บาทต่อคน เพื่อต้องการให้สมาชิกระลึกอยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพื่อแนวทางการต่อสู้และความสำเร็จของขบวนการ

          ปัญหาภัยแทรกซ้อนในพื้นที่จากการค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน สินค้าลักลอบหนีภาษี สมาชิก ผกร.จะเข้าไปมีบทบาทหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสำคัญ และจะนำเงินบางส่วนจากรายได้เหล่านี้ส่งสนับสนุนกลุ่มขบวนการเพื่อใช้ในการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่

          ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าจากการก่อเหตุของกลุ่ม ผกร.ไม่ว่าจะเป็นกรณีบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง แล้วทำการก่อเหตุกราดยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน จะเห็นได้ว่าจากพฤติกรรมดังกล่าวของกลุ่ม ผกร.มีการละเมิดและขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ขัดกับหลักการอิสลาม เพราะหลักสิทธิมนุษยชนในอิสลาม แม้ในช่วงสงคราม สถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องได้รับการคุ้มครอง

          ในวันเดียวกันกับการบุกยึดโรงพยาลเจาะไอร้องของกลุ่ม ผกร. ยังมีการแต่งกายเลียนแบบสตรีมุสลิม เพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ด้วยการใช้ปืนกลเบาอูซี่ยิงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นความผิดตามหลักศาสนาอิสลาม

          นั่นคือเหตุการณ์ตัวอย่างที่ กลุ่ม ผกร.ทำการเคลื่อนไหวอย่างที่ผิดทั้งหลักศาสนาและกติกาสากล นอกจากที่ยกตัวอย่างมายังมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่สิ่งที่ยืนยันจากผู้ที่ถูกจับกุมเมื่อมีการซักถามได้ให้ข้อมูลว่า แนวทางในการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการยังไร้ทิศทาง และไร้อุดมการณ์ในการต่อสู้ แต่ละครั้งในการก่อเหตุยังมีการถามตัวเองทำไปเพื่ออะไร? และเพื่อใคร? นั่นคือคำสารภาพที่ออกจากปากของสมาชิก ผกร.ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว....

------------------------

4/01/2559

'Essence' Kasturi Mahkota Presiden PULO.



Bang Din Kota Baru.


Ia adalah sukar di percayai bahawa seseorang seperti Kasturi Mahkota mendedahkan sifat sebenar dengan menyetujui terima" Roket-letupan" adalah bagi kumpulan PULO dan dia memberi amaran orang ramai supaya mereka berhati-hati !! dan dia tiada pensi jilan keselamatan. dan dia gunakan halamans wasta untuk membangkitkan barisan bersatu menyatukan sebagai satu dan mencari jalan untuk mencapai matlamat memerangi pemisahan negara.

Orang-orang seperti Kasturi Mahkota, gerakan dengan ketara dan mempunyai Taktik Machiavellian bernas dan licik yang tidak boleh dipercayai. Setiap kali terdapat perbincangan untuk proses damai dengan kumpulan kemerdekaan sama ada BRN atau PULO bagi Kasturi Mahkota dia pergerakan mengambil kesempatan daripada psikologi.

Diharapan daingat kes pada 28 Jan 2559 B, Pegawai polis dan tentera dan pasukan pemusnahan bahan letupan atau EOD, Unit Tertentu Anothai mengesan objek mencuri gakan dalam sebuah parit di jalan raya 43 Had Jai–Pattani Tempat 6 Mukim Bo Thong  Daerah NongJik Wilayah Pattani.

Dari pemeriksaan awal mendapati objek yang mencuri gakan 2 kepingyai tupaip keluli dia meter 2.5 - inci dan panjang 120 cm. dan hujungnya bulat seperti roket. Kemudiannya Kasturi Mahkota Presiden PULO MKP telah menyiarkan status di Facebook dengan Bahasa melayu rumi dan Bahasa Inggeris yang di kenali sebagai Kasturi Mahkota yang berisi bahawa dia menerimanya bahawa mendapati“ roket-letupan” di tempat kejadian pada 28 terak hir bulan Januari itu sebagai keganasan kerana ulang tahun ke-48 penubuhan organisasi PULO tetapi bomitu telah di temui dahulu oleh pihak berkuasa.

maka tidak ada apa-apa kejadian yang tidak di ingini. Di samping itu, Kasturi Mahkota telah memberi amaran kepada orang ramai sama ada orang melayu atau Thai Buddha untuk jauh dari berek sekarang. Jika kejadian buruk berlaku semasa ini PULO tidak bertanggungjawab.

dari pergerakan Kasturi Mahkota, ini kah pihak kerajaan kepada bercakap dengannya, dia usaha pembinaan kawasan berita sepanjang masa, Tujuannya saya tidak tahu tetapi tingkah laku Kasturi Mahkota walaupun masa mengubah tetapi tabiat lamanya Never Change.

Jika ini benar, sebagai Presiden PULO katakan itu menunjukkan bahawa kumpulan ini masih berdiri radikalis medengan menggunakan cara lama untuk menuntut perhatian orang awam. Beberapa kali, dia cuba untuk menjadikan dirinya peranan penting untuk di minta untuk menyertai perundingan damai.

Sudah tiba masanya orang Melayu Patani akan menjadi terang sekali tertakluk kepada keganasan dan ketidak selamatnya wa dan harta benda rakyat dari bertindak oleh yang berbeza pendapat akan kerajaan sama ada mana – mana kumpulan bertipu, pendusta, kejam, menipu, fib, merasa yang samakannya.

dan penyembelihan harian orang yang tidak bersalah sekarang kumpulan PULO bagi Kasturi Mahkota di lakukan !!! ... atau tidak?

bertanya-tanya kanmen gapada mai tidak berlahir lagi kerana kumpulan hara mini mencari untuk digunakan orang ramai sebagai alat dalam usaha untuk kuasa.
Badan pedal dan pengebumian itu tangga. tida kambil peduli kepada air mata orang ramai turun dengan kerugian yang berlaku berulang-ulang kali ...

Thailand ikhlas dalam pering katpem bukaan untuk bercakap damai dengan semua kumpulan yang berbeza pendapatakan kerajaan dan pembangunan infrastruktur di kawasan itu membuat kemajuan yang mewujudkan kesejahteraan bagi rakyat. Agensi kerajaan tempatan di dorong projek bersatuhati rakyat dan kerajaan bersama – sama membina keamanan di 37 Daerah supaya semua sektor memberikan sumbangan kepada penyelesaian masalah dengan memberi peluang bagi yang berbeza pendapat kepada peserta projek membawa orang pulang kerumah dan telah melepaskan untet hered untuk mengembali kepada keluar gaserta dengan mempercepatkan penciptaan ruang yang selamat bagi orang-orang di kawasan itu untuk berkehidupan sehari-hari yang aman.

Apakah yang kumpulan penyamun selatan lakukan bagi orang-orang Melayu Patani?... hanya membuat masalah sepanjang masa, mengambil kehidupan, mengambil kekasih dari keluarga.. Musnah dan hancure konomi, memusnah kewuju dan bersama di bawah pelbagai budaya, Memusnahkan masyarakat dan negara... memadakah dengan pelampau dan tidak bertamadun. Itulah hakikat semua kumpulan kemerdekaan khususnya, seseorang yang di namakan Kasturi Mahkota Presiden PULO penyamun selatan yang kurang ajar yang melarikan diri di luar negara ..


                                  
                                   ------------------------