8/30/2559

อนุมัติหมายจับ“อัสมีน กาเต็มมาดี”คดีบึ้มหัวหิน

ศาลมณฑลทหารบกที่ 15 จ.เพชรบุรี อนุมัติหมายจับ "อัสมีน กาเต็มมาดี" คดีลอบวางระเบิดหัวหิน


เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 29 สิงหาคม 2559 ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 15 จ.เพชรบุรี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคดีก่อวินาศกรรม วางระเบิดและวางเพลิงในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ได้เดินทางขออนุมัติหมายจับจากศาล โดยศาลใช้เวลาพิจารณาประมาณ 20 นาที


พล.ต.อ.ศรีวราห์ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลทหารอนุมัติหมายจับ นายอัสมีน กาเต็มมาดี 29 ปี อยู่ที่ 6 ซอย 5 ถนนนาเกลือ ตำบลอาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี ในข้อหาร่วมกันมีระเบิดซึ่งใช้เฉพาะแต่การสงครามฯ และพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น โดยนายอัสมีน เคยถูกศาลจังหวัดยะลาออกหมายจับ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558 ในความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และศาลจังหวัดเกาะสมุย ออกหมายจับ ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีไว้ครองครองและใช้วัตถุระเบิด และร่วมกันกระทำการให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2558


รองผบ.ตร.กล่าวว่า จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ผู้ต้องหารายนี้ทำหน้าที่วางระเบิดทุกจุดใน พื้นที่ อ.หัวหิน โดยพบว่าในหัวหิน มีผู้ก่อเหตุเพียง 3 คน ตามที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ โดยก่อนหน้านี้ออกหมายจับนายรุสลัน ใบมะ ชาวอ.จะนะ จ.สงขลา ไปแล้ว ยังเหลือชายตามภาพวงจรปิดอีกราย ที่ยังรอการยืนยันรูปพรรณสัณฐาน เทียบส่วนสูง หากได้รับการยืนยันก็จะขออนุมัติหมายจับในเร็ววันนี้
จากการสืบสวนสอบสวนพบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้จะแบ่งพื้นที่จังหวัดกันก่อเหตุหนึ่งจังหวัดก็หนึ่งทีมแต่ละทีมก็พบความเชื่อมโยงกันนอกเหนือจากการมีภูมิลำเนาในสามจังหวัดใช้แดนภาคใต้เหมือนกันแล้วยังพบความเชื่อมโยงอื่น แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในชั้นนี้ อย่างไรก็ตามยังไม่สามารถสืบมูลเหตุของการก่อเหตุว่าเกิดจากอะไรจะเป็นการเมืองหรือไม่ก็ตอบไม่ได้ตนสืบสวนสอบสวนไปตามพยานหลักฐาน


พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวด้วยว่า จากการสืบสวนพบว่าผู้ต้องหารายนี้ เคลื่อนไหวก่อเหตุในจังหวัดชายแดนใต้ เคยก่อเหตุคาร์บอมที่สมุยมาก่อนแล้วมาก่อเหตุครั้งนี้อีกสะท้อนว่าเป็นมืออาชีพ แต่เรื่องแนวคิดการก่อเหตุจะเกี่ยวข้องกับแนวคิดของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ยังไม่สามารถบอกได้แต่โดยปกติแล้วกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบแนวร่วมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะก่อเหตุในพื้นที่ตัวเองเท่านั้นทำให้ ทำให้ต้องหาคำตอบว่าการออกมาก่อเหตุต่างพื้นที่มีวัตถุประสงค์ใด


ที่มา: คมชัดลึก

8/29/2559

คืบหน้า! คาร์บอมบ์เซาท์เทิร์นวิว เผยรู้ตัว 2 คนร้ายแล้วเตรียมออกหมายจับ


ปัตตานี - คืบหน้า! คาร์บอมบ์เซาท์เทิร์นวิว ผู้การฯ ปัตตานีเผยรู้ตัว 2 คนร้ายแล้ว รอหลักฐานให้ชัดเจนเพื่อเตรียมออกหมายจับ

จากกรณีคนร้ายได้ขโมยรถของ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลปะกาฮารัง ก่อนจะนำระเบิดมาใส่แล้วขับไปจอดหน้าประตูทางเข้าของโรงแรมเซาท์เทิร์นวิวปัตตานี จากนั้นจึงหลบหนีไป แล้วทำการจุดชนวนระเบิดทำให้เกิดความเสียหายต่อโรงแรมอย่างหนัก รวมไปถึงบ้านเรือน ร้านค้าละแวกใกล้เคียง และมีประชาชนเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 23 ส.ค.2559 ที่ผ่านมา


สำหรับความคืบหน้าล่าสุด พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผบก.ภ.จ.ปัตตานี เปิดเผยว่า หลังที่ได้มีการแบ่งการทำงานของชุดสืบสวนสอบสวน ทั้ง สภ.เมือง และภูธรจังหวัด เพื่อเร่งคลี่คลายคดี โดยเฉพาะการไล่ล่า 2 คนร้ายตามภาพวงจรปิดที่มีลักษณะ และบุคลิกตามข้อมูลประวัติของผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง ขณะนี้ยืนยันว่า คดีมีความคืบหน้าไปมาก และรู้ตัวผู้ที่ก่อเหตุแล้ว ซึ่งเป็นกลุ่มตันหยงเป่าเชื่อมโยงกับคดีคาร์บอมบ์หลายพื้นที่ แต่ขอไม่เปิดเผยในตอนนี้ เพราะกำลังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน และตรงกับวัตถุพยานอื่นๆ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะทำการขออนุมัติออกหมายจับ

ส่วนแนวทางการสืบสวนสอบสวนนั้น เจ้าหน้าที่มีข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางก่อน และหลังก่อเหตุ รวมไปถึงตัวรถกระบะที่คนร้ายขโมยมาว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไร รวมไปถึงผลการซักถาม 1 ใน 2 พนักงานขับรถของ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลปะกาฮารัง ที่ถูกคุมตัวที่ศูนย์ซักถามค่ายอิงคยุทธบริหารปัตตานี เบื้องต้น ยังไม่ได้ฟันธงว่าทั้งสองจะเป็นผู้ร่วมก่อเหตุหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐาน 


โดยคนร้ายกลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญพื้นที่ และชำนาญในการประกอบระเบิดมาก ซึ่งการก่อเหตุลอบวางระเบิดด้วยรถยนต์ที่ผ่านมาก็เป็นกลุ่มเดียวกัน ที่มีลักษณะการประกอบระเบิดโดยมีน้ำมันเป็นตัวช่วยขยายระเบิดเป็นวงกว้าง

8/24/2559

BRN ขบวนการฝักใฝ่ความรุนแรง

แบดิง โกตาบารู


ตอน: BRN ขบวนการฝักใฝ่ความรุนแรงก่อเหตุคาร์บอมบ์….

เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันอังคารที่ 23 ส.ค.59 ได้เกิดเหตุระเบิดอย่างน้อย 3 จุดในเขตเมืองปัตตานีและบริเวณใกล้เคียง โดยหนึ่งในนั้นเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นเหตุคาร์บอมบ์

ระเบิดลูกแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่วางไว้บริเวณห้องน้ำข้างลานจอดรถหลังเซาท์เทิร์นผับ ในบริเวณโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ซึ่งเปิดเป็นสถานบันเทิงหลายรูปแบบ ตั้งอยู่หมู่ 3 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี จุดนี้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ


ถัดมาอีกไม่กี่นาที เกิดระเบิดขึ้นอีก 1 ครั้ง บริเวณหน้าร้านนวดแผนโบราณ ตั้งอยู่หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว จุดนี้เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นคาร์บอมบ์ (ระเบิดที่บรรทุกในรถยนต์) แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน ข้อมูลบางแหล่งระบุว่ายอดผู้ได้รับบาดเจ็บอาจพุ่งสูงถึง 28 คน

เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเบื้องต้นว่า คนร้ายจุดระเบิดลูกแรกขึ้น เพื่อสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนและนักเที่ยว ล่อให้วิ่งหนีออกมาด้านหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ก่อนจุดระเบิดลูกที่ 2 ที่ซุกไว้ในรถยนต์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก


ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้รุดไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลปัตตานี ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งหมดว่ามี 29 ราย อาการสาหัส 5 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ น.ส.อรพรรณ ศรีเรือนหัด อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี ทำงานร้านอาหารหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว


สำหรับแรงระเบิดจากระเบิดลูกสองที่เป็นคาร์บอมบ์นั้น ทำให้ร้านค้าหน้าโรงแรมซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น มีทั้งร้านคาราโอเกะ ร้านนวดแผนโบราณ ร้านขายอาหาร ร้านขายของเบ็ดเตล็ด และที่อยู่อาศัย รวมทั้งโกดังเก็บของ ได้รับความเสียหาย มีเพลิงไหม้ แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ส่วนโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว สูง 10 ชั้น ได้รับความเสียหายเช่นกัน เช่นเดียวกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จอดหน้าโรงแรมจำนวนหลายสิบคัน

หลังจากนั้นไม่นานยังเกิดระเบิดบริเวณถังขยะหน้าตลาดนัดบ่อทอง พื้นที่หมู่ 6 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานีด้วย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ โดยจุดเกิดเหตุอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีมากนัก เหตุระเบิดทั้ง 3 จุดสร้างความปั่นป่วนให้กับพื้นที่เมืองปัตตานีอย่างมาก
คาร์บอมบ์ลูกที่ 4 ของปี 59

สำหรับเหตุระเบิดในรูปแบบคาร์บอมบ์ นับเฉพาะปี 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ด้านหลังฐานปฏิบัติการหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 11 (นปพ.11) ปัตตานี อ.เมืองปัตตานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 11 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย ประชาชน 4 ราย

ครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิ.ย. ที่ อ.สุไหงโก-ลก ถนนด้านข้าง นปพ.ที่ 33 นราธิวาส

ครั้งที่ 3 เมื่อวันอังคารที่ 5 ก.ค. บริเวณด่านตรวจเกาะหม้อแกง ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน
และล่าสุดครั้งที่ 4 คือที่หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น อ.เมืองปัตตานี เมื่อกลางดึกวันอังคารที่ 23 ส.ค.

ทั้งนี้เมื่อนับรวมเหตุระเบิดในลักษณะคาร์บอมบ์ ตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันที่ 23 ส.ค.59 พบว่ามีคาร์บอมบ์เกิดขึ้นมาแล้วถึง 50 ครั้ง!

การปฏิบัติการของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ทำการก่อเหตุคาร์บอมบ์ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการฝักใฝ่ความรุนแรง มุ่งหมายเอาชีวิตของประชาชนโดยไม่แยกแยะและเลือกเป้าหมาย ทำลายระบบเศรษฐกิจโดยรวม

การจัดตั้งกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อปี 1960 (พ.ศ. 2503) คือความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายของเหล่าคนลวงโลกบางกลุ่มที่ต้องการจะปกป้องประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของบุคคลบางกลุ่ม ด้วยการสร้างความไว้วางใจของกลุ่มขบวนการต่อประชาชนปาตานีที่ ส่งผลให้พวกนอกรีตนอกกฎหมาย นำไปเป็นข้ออ้างทำการก่อวินาศกรรม สร้างความเดือดร้อน มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ปาตานีเพื่อหลอกลวงประชาชน สร้างภาพลักษณ์ให้องค์กรดูดี ทำการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ เพื่อมนุษยธรรม และเพื่อประชาชน แต่ในความเป็นจริงมีการซ่อนเร้นปิดบังอำพรางตัวตนที่แท้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น

6 ปี ให้หลังนับจากการก่อตั้งองค์กรขึ้นมาในปี 2503 วัตถุประสงค์หลักของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ได้ทำการโน้มน้าวชักจูงพี่น้องปาตานีโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา กลุ่มขบวนการจะชักจูงกลุ่มบุคคลเหล่านี้เพราะง่ายต่อการหลอกใช้งานให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก มีการสร้างค่านิยมใหม่ขึ้นมาด้วยการส่งเสริมบุตรหลานของพี่น้องปาตานีให้ร่ำเรียนวิชาศาสนา ไม่ให้เรียนสายสามัญ แต่กับบุตรหลานญาติมิตรตัวเองกลับส่งเสียให้เรียนในระดับสูงๆ เพื่อจะกลับมาปกครองควบคุมคนที่ไม่รู้หนังสือต่อไป

กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น เดินหน้าสร้างเรื่องราวนิยายน้ำเน่าขึ้นมาว่าปาตานีเป็นเอกราช แต่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐสยาม ถูกกดขี่ข่มแหงรังแก กวาดต้อนเป็นเชลยศึก ใส่สีตีไข่เข้าไปเพื่อให้คนปาตานีหลงเชื่อ และเกลียดชังรัฐบาลไทย สุดท้ายยอมกระทำตามในสิ่งที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นต้องการ และที่สำคัญได้มีการสร้างประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมาให้กับปาตานี ด้วยการปลุกระดมให้ผู้คนเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นรัฐอิสลามมาก่อน โดยไม่เคยนับถือศาสนาอื่นใดเลย จนกระทั่งสยามได้เข้ามายึดครองปาตานี

จากบัดนั้นเวลาได้ล่วงเลยมาหลายสิบปี กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นยังคงหลอกลวงคนปาตานีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญ กลุ่มขบวนได้ชักจูงให้พวกเขาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาตานีให้เป็นรัฐอิสลาม โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลไทยกีดกันการนับถือศาสนา รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ ของศาสนาอิสลาม กลุ่มขบวนการสร้างค่านิยมให้คนปาตานีไม่ต้องไปเรียนหนังสือ และกีดกันไม่ให้คนปาตานีรับความช่วยเหลือใดๆ จากทางภาครัฐ เนื่องจากไม่ต้องการให้ประชาชนรู้ความจริงว่าถูกหลอกใช้ ยุทธศาสตร์ของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น จึงมุ่งทำร้ายครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำการเผาโรงเรียน เพื่อไม่ให้การศึกษาได้เข้าถึงคนในพื้นที่ เมื่อไม่ได้รับการศึกษาประชาชนจะได้ไม่มีงานทำ คุณภาพชีวิตก็จะพลอยตกต่ำ จากนั้นจะใช้ข้ออ้างนี้ในการจุดประเด็นกล่าวหา รัฐบาลไทยจัดคนปาตานีเป็นชนชั้น 2 ของประเทศ
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น พยายามใช้คำว่าสันติภาพบังหน้า แต่ในความเป็นจริง กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นหลอกลวงคนปาตานีให้ออกมาเรียกร้องสิทธิการกำหนดใจตนเอง มีสิทธิเลือกรูปแบบการปกครองและรัฐบาลของตน กลุ่มขบวนการหลอกลวงให้คนปาตานีเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นหากเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยให้กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้นำ แต่สิ่งที่กลุ่มขบวนการไม่เคยกล่าวถึงคือ ดีขึ้นอย่างไร? กลุ่มขบวนการปกปิดความจริงของตนเองมาโดยตลอด เพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ และมีความเป็นเผด็จการ

จนถึงปัจจุบันนี้สิ่งที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นกระทำมาโดยตลอดคือการเข่นฆ่า และลอบทำร้ายคนปาตานีที่มีความคิดต่างกับขบวนการ วาทกรรมเด็ดที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเคยกล่าวไว้ เป้าหมายการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการคือเจ้าหน้าที่เท่านั้น แต่ประชาชนอาจจะโดนลูกหลงนั้นเป็นการไม่ตั้งใจหลายต่อเหตุการณ์ด้วยกันที่กลุ่มขบวนการโจรชั่วบีอาร์เอ็น ได้ทำการก่อเหตุโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชนเพียงเพื่อจุดประสงค์สร้างสถานการณ์ให้เป็นข่าวรายวันโดยไม่มีการแยกแยะกลุ่มเป้าหมาย เด็กเล็ก สตรี รวมทั้งผู้นำศาสนา และตัวบ่งชี้ยืนยันความสุดโต่งล่าสุดของขบวนการ คือเหตุการณ์ที่ตลาดเทศบาลอำเภอยี่งอ จังหวัดปัตตานีที่ผ่านมา เป็นความตั้งใจที่จะวางระเบิดต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิม เพราะในห้วงเวลาดังกล่าว พี่น้องชาวไทยพุทธไม่อยู่ เนื่องจากไปทำบุญตามประเพณีวันสารทเดือนสิบกันหมด ดังนั้นกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น จะต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียของพี่น้องชาวไทยมุสลิมกว่า 6,000 ราย ที่เสียชีวิตจากการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ตลอดห้วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลนี้พวกเราจะเชื่อใจให้กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้นำพี่น้องปาตานีได้อย่างไร?

กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นไม่เคยยอมรับว่าแท้จริงแล้วคือตัวปัญหาหลักและปัญหาเดียวของปาตานี ไม่เคยยอมรับว่าคนปาตานีไม่ถึง 1% สนับสนุนพวกเขา และคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย แต่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น กลับยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำโดยปราศจากความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่ กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นให้คนไทยมุสลิมเรียกตนเองว่า ปาตานีมาเลย์ โดยไม่ได้คำนึงถึง คนไทยมุสลิมอีกหลายกลุ่มที่มีหลากหลาย เช่น มุสลิมจีน มุสลิมตะวันออกกลาง ไทยมุสลิม และกลุ่มคนไทยพุทธดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินนี้

กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นลืมไปว่า ศาสนาคือความเชื่อ ไม่ใช่เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ จึงเป็นเรื่องที่โง่เขลาเบาปัญญาเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนเชื่อว่าคนมุสลิมเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน เพราะทุกคนสามารถเปลี่ยนศาสนาได้แต่ไม่สามารถเปลี่ยนชาติกำเนิดได้ ศาสนาได้ถือกำเนิดมานมนานก่อนที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นจะก่อตั้งเสียอีก แล้วกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นจะพูดได้เต็มปากได้อย่างไรว่ารู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของปาตานี  อีกทั้งยังปฏิเสธต่อหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่จริง ทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เราสามารถสรุปได้เลยว่า กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นพวกนอกรีตนอกกฎหมาย เชื่อถือไม่ได้ และเป็นองค์กรเผด็จการลวงโลก จัดตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลเพียงบางกลุ่มเท่านั้น...ซึ่งไม่มีกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ปาตานีก็จะได้รับสันติภาพที่แท้จริงได้….

----------------------

8/22/2559

จุดจบ สันติ ดอเลาะ นักเลงคีบอร์ด

"แบมะ ฟาตอนี"


#‎แอดเตือนแล้วว่าอย่าโพสสร้างความแตกแยกข่มขู่เจ้าหน้าที่ กรณี‎ผู้ใช้ Facebook สันติ ดอเลาะ และ พุทธควยสยามบาบีถูกนำตัวซักถาม
#‎เตือนผู้ใช้ facebook ทุกท่านไม่ควรตั้งชื่อดูหมิ่นศาสนาทุกศาสนา


เมื่อ 17 สิงหาคม 2559 เวลา 17.00 น. นปพ.ร่วม ชร./ฉก.ทพ.41 ร่วมกับ นปพ.ร่วม ประจำ จว.ย.ล., ฉก.ทพ.42, ชุดนิติวิทยาศาสตร์ และกองข่าวภัยแทรกซ้อน สขว.กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้เชิญตัวนายสันติ ดอเลาะ ที่อยู่ 52 หมู่ 1 ต.มะนังยง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี. พร้อมด้วย นายการียา แลเย๊าะ (บิดา) และนางคอลีเย๊าะ สมาแห ( มารดา) มาทำการซักถาม ณ ฉก.ทพ.42 และต่อมาได้นำตัวนายสันติ ดอเลาะ ไปทำการตรวจค้นบ้านของนางมือแย สะมาแห (ยาย) ณ บ้านเลขที่ 31/1 ม.1 ต.สาบัน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ผลการปฏิบัติ สามารถตรวจยึดโทรศัพท์ จำนวน 2 เครื่อง และนายสันติ ดอเลาะ ได้ให้การยอมรับดังนี้

1.ตนเองเป็นคนโพสต์ Facebook ดังกล่าวจริง (Facebook ชื่อ สันติ ดอเลาะจำนวน 9 เฟส และ พุทธควย สยามบาบี”) ซึ่งพบพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ที่ซุกซ่อนและตรวจค้นได้ภายในบ้านของนางมือแย สะมาแห (ยาย) บ้านเลขที่ 31/1 ม.1 ต.สาบัน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี


2.นายสันติ ดอเลาะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งยาเสพติด และเป็นผู้ประสานงานเครือข่ายยาเสพติด ในเรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี โดยได้รับการชักจูง จากนายหะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ ในขณะถูกควบคุมตัว ณ เรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี

8/11/2559

รวบโจรใต้คดีติดตัวคาบ้านพักในอำเภอธารโต


ยะลา เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงใน จ.ยะลา สนธิกำลังจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับคดีความมั่นคงในพื้นที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ก่อนส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ จ.ยะลา ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีสำคัญ ศชต.ได้สนธิกำลังร่วมกันติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีความมั่นคง โดยได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายมูฮำมัดยูซุฟ ตือนง อายุ 28 ปี หมายเลขประจำตัวประชาชน 1-9410-00116-49-3 อยู่บ้านเลขที่ 42 ถนนสุขยางค์ ต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา


เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา นายมูฮำมัดยูซุฟ ตือนง ให้ทราบว่าได้ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามหมายจับศาลจังหวัดยะลาที่ 64/55 ลง 22 มี.ค.55



อีกทั้ง นายมูฮำมัดยูซุฟ ตือนง ยังมีคดีร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะที่จะกระทำหรือได้กระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน  มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว  ตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่  จส.345  /57 ลง  24 ก.ย.57 พร้อมทั้งควบคุมตัวผู้ต้องหาประกอบหมายจับ  นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ธารโต  เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.

8/09/2559

ขบถประชามติชายแดนใต้


เกิดอะไรขึ้นที่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้?...นี่คือคำถามแรกๆ ที่มีการถามกันอย่างเซ็งแซ่ ภายหลังนับคะแนนเสียงประชามติไปได้ไม่นาน ซึ่งก็พอทราบผลอย่างไม่เป็นทางการจากหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ปรากฏว่ามีคะแนนเสียง ไม่รับทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงแบบต้องจับตาใกล้ชิด

ทั้งนี้คะแนนไม่รับหรือ โหวตโนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลาและ นราธิวาส ปรากฏว่าได้มาอย่าง ถล่มทลายกล่าวคือ มากกว่าคะแนนเสียงที่รับแบบ ครึ่งต่อครึ่ง

ทั้งที่ก่อนการลงประชามติครั้งนี้ไม่มีวี่แววจะเกิดปรากฏการณ์แสดงออกซึ่ง ขบถด้วยผลประชามติแบบนี้มาก่อน โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กับ ศอ.บต. รวมถึง ศชต. และฝ่ายปกครอง ต่างต้อง สำเหนียกถึงความผิดปกติในพื้นที่เยี่ยงนี้

โดยเฉพาะก่อนหน้าที่จะถึงวันลงประชามติ ประมาณ 1 สัปดาห์ หน่วยงานในพื้นที่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ หน่วยข่าวยังยืนยันด้วยความเชื่อมั่นว่า การลงประชามติ ครั้งนี้ ผ่านตลอดและแม้แต่ในวันที่มีการรณรงค์ครั้งสุดท้ายของ กกต.ที่โรงแรม ซีเอส ปัตตานี ที่มี สมชัย ศรีสุทธิยากร 1 ใน 5 เสือจาก กกต.มานั่งสั่งการเอง วันนั้นก็ยังเชื่อว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสียงที่ออกมาจะไม่ พลิกผัน

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เสียงไม่รับร่างรัฐธรรมนูญใน 3 จังหวัดเป็นเสียงที่ท่วมท้น ทั้งที่พื้นที่ 3 จังหวัดนี้ไม่ใช่ พื้นที่เสื้อแดงอย่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือและภาคเหนือ

และหากนับเอาที่นั่งของ ส.ส.มาเปรียบเทียบก็จะพบว่า ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์มีมากกว่า ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และที่สำคัญ ลุงกำนันก็มี แฟนคลับในพื้นที่ 3 จังหวัดนี้ ซึ่งที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย

ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวของ ผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาตั้งแต่มีการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่าคนในพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าวต่าง ข้องใจในประเด็นของเรื่อง ศาสนาและเรื่อง การศึกษาในรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะใน กลุ่มผู้นำศาสนาและใน กลุ่มเจ้าของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามตลอดจนถึง ปอเนาะได้หยิบเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นของพูดคุย และนำเข้าสู่ สภาซูรอเพื่อถกถึงประเด็นดังกล่าว และรวมถึงการ คุตบะห์ในวันศุกร์ก็มีการหยิบประเด็นดังกล่าวเป็นหัวข้อของการสนทนา เพียงแต่หน่วยงานของรัฐ ไม่ได้สำเหนียกถึงความเข้าใจและความรู้สึกของผู้คนในพื้นที่เท่านั้น

ประเด็นอ่อนไหวอีกประเด็นหนึ่งคือ ผู้ที่ข้องใจในเรื่องดังกล่าวไม่เคยได้เห็น ตัวจริงของร่างรัฐธรรมนูญว่า เขียนกันอย่างไร มีเนื้อหาและสาระแบบไหน มีแต่การออกมากล่าวถึง สิ่งดีงามของรัฐธรรมนูญเพื่อ โน้มน้าวให้มีการรับร่างและรับคำถามพ่วงเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อมี ผู้สั่งการให้ บิดเบือนข้อความในร่างรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการง่ายที่จะให้คนที่ รับสารที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ทั้งในประเด็นของศาสนา และในประเด็นของการศึกษา ซึ่งถูก บิดเบือนว่ารัฐธรรมนูญจะส่งเสริมและปกป้องเฉพาะศาสนาพุทธ และจะตัดสิทธิ์การศึกษาจาก 15 ปีเหลือเพียง 12 ปี

บังเอิญว่าผู้ที่มี ต้นทุนทางสังคมที่สูงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ ผู้นำศาสนา รวมถึงเจ้าของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามและปอเนาะ และทั้ง 2 ประเด็นที่ถูกนำมาเป็น เงื่อนไขของการไม่รับ ล้วนมี ความสำคัญสำหรับคนในพื้นที่ เพราะทั้งเรื่องศาสนาและการศึกษาคือ หัวใจของทุกผู้คน

และคงเป็นเหตุบังเอิญเหมือนกันที่ ครู ก.” “ครู ข.และ ครู ค.ที่เป็นผลผลิตของ มหาดไทยเป็นครูที่ ไม่มีทั้ง ตำราและ ไม้เรียวอยู่ในมือ จึงไม่สามารถที่จะสร้างความเข้าใจให้กับผู้คนที่คิดและเชื่อโดยใช้ ความรู้สึกเป็นองค์ประกอบ

ส่วนประเด็นที่ไม่รับเพราะ ไม่ชอบใจทหารเป็นเพียงประเด็นเสริม ที่ถูกหยิบยกมาเพื่อการไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้น
แต่การที่ผู้คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ออกมาโหวตโนอย่างถล่มทลาย จนทำให้หลายหน่วยงาน ขายหน้าไปตามๆ กันในในครั้งนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามีคนอีก 2 ส่วนที่อยู่ เบื้องหลังในการวางเกมและการเดินหมากเพื่อการ เข้าฮอส

นั่นคือ นักการเมืองในพื้นที่ บางส่วนที่ยัง มีพลังในการสั่งและชี้นำคนในพื้นที่ให้ทำตามในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งมี ใบสั่งจากผู้ที่มีบารมีทางการเมือง

และที่ขาดไม่ได้ ซึ่งแสดงบทบาทของ ผู้ร้ายในการก่อกวนก่อเหตุร้ายเพื่อสร้างความหวาดกลัว และเพื่อดิสเครดิต รัฐบาลและ กองทัพนั่นก็คือ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นที่รู้จัก ฉกฉวยโอกาสหาคะแนนทั้งใน ทางการเมืองและ การทหาร
คอลัมน์นี้เคยเขียนมาหลายครั้งแล้วว่า สิ่งที่ ทางการมองเห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมาสถานการณ์ดีขึ้น องค์กรภาคประชาชนหลายๆ องค์กรมีความสงบเสงี่ยมนั้น นั่นเป็นเพียง ผิวพื้นเพราะผู้นำองค์กรต่างๆ เขาสงบเพื่อที่จะ รอโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการทำ เพื่อเป็นการ สั่งสอนหรือให้ บทเรียนกับใครต่อใคร

เช่นเดียวกับเรื่องของการลงประชามติในครั้งนี้ เมื่อวัน ว. เวลา น. ของเขามาถึง เขาก็ไม่รีรอในการแสดงออก ซึ่งเป็นการ ส่งสารไปสู่ ผู้มีอำนาจให้ได้สำเหนียกว่า พวกเขาคิดอย่างไร

เพราะหน่วยงานของรัฐเชื่อมั่นใน พลังอำนาจของตนเอง และเพราะ ไม่สำเหนียกถึงความผิดปกติ ดังนั้นกลุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการ คว่ำร่างรัฐธรรมนูญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงใช้เวลา 3 วันสุดท้ายก่อนถึงวันทำประชามติ วางแผนในการก่อความไม่สงบ และการสร้างความเข้าใจผิดต่อผู้คน เพื่อให้ไปโหวตโนอย่างได้ผล

ผลสะเทือนที่ติดตามมาในครั้งนี้ โดยเฉพาะในเกมของบีอาร์เอ็นที่ต้องการให้หน่วยงานของรัฐเห็นว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือ ขบวนการและนักการเมืองที่ถูก หมายหัวให้เป็น แกนนำของบีอาร์เอ็น โดยบีอาร์เอ็นยังสามารถ ชี้นำมวลชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้

หากผู้มีอำนาจและหน่วยงานด้านความมั่นคงคิดอย่างนี้ เข้าใจไปได้อย่างนี้ ก็เท่ากับเป็นการ เพิ่มปุ๋ยเพื่อสร้างความ เติบโตให้กับบีอาร์เอ็น อีกทั้งอาจจะเป็นการ ผลักคนในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งให้กลายเป็นมวลชนของบีอาร์เอ็นมากขึ้น

ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานของรัฐต้องทำหลังการลงประชามติคือ การประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วน เพื่อใช้เป็น บทเรียนในการแก้ปัญหา เพราะ ปรากฏการณ์ครั้งนี้ที่เหมือนกับสิ่งที่ สั่งได้อาจจะส่งผลกับการแก้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอนาคต


โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก

เบื้องหลังการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’

แบดิง โกตาบารู
กลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานี เป้าหมายกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เพื่อต้องการให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้สนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับหลายปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช

มูลเหตุของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของขบวนการ BRN อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดความคิดต่อสู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี 8 ประการด้วยกันกล่าวคือ

1) เกิดจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ค่อนข้างล้าหลัง ส่งผลให้คนที่มีความคิดชาตินิยมทางด้านเชื้อชาติบางส่วนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกครอบงำทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้คือแกนนำสำคัญของขบวนการ BRN Co – ordinate

2) เกิดจากการกระจุกตัวอย่างหนาแน่นของกลุ่มคนชาติพันธุ์มลายูที่มีวัฒนธรรมจำเพาะ แตกต่างจากคนไทยในสังคมใหญ่โดยทั่วไป

3) พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตติดต่อกับบางรัฐของประเทศมาเลเซีย และรัฐเหล่านั้นปกครองโดยกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ทำให้มีโอกาสเกิดความคิดต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนสูงกว่าพื้นที่อื่นของประเทศ

4) คนในพื้นที่โดยเฉพาะพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานี มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของตนเอง

5) แรงจูงใจร่วมของคนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม

6) ความสามารถของกลุ่มชาวมลายูมุสลิมเองที่จะปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกัน ทั้งที่มาจากการสนับสนุนของมวลชนในพื้นที่ และกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมจากต่างประเทศ

7) เงื่อนไขทางการเมืองของสังคมใหญ่ที่เอื้ออำนวย เช่น การแตกแยกทางความคิดของกลุ่มสีต่างๆ ในสังคมใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอย ความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวมลดลง และระบบราชการย่อหย่อนอ่อนแอ

8) พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ และบาดแผลของปาตานีในครั้งอดีต
เหตุปัจจัยทั้ง 8 ประการดังกล่าว พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นปัจจัยปลุกเร้าที่กลุ่มขบวนการได้ใช้ในการปลูกฝัง ปลุกระดมมวลชนเชื้อสายมลายูเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้อย่างทรงพลังที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริม มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมดังกล่าวไปสู่คน รุ่นต่อรุ่นมานานนับร้อยปี

กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate

ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น ฟัรดูอีน ปาตานี ไม่ใช่ ดารุลกุฟร์ หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม

เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียอำนาจให้กับคนไทย มีการกดขี่ประชาชนปาตานีซึ่งๆ หน้า หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยไม่ต้องอาศัยประวัติศาสตร์ใดๆ มาคอยย้ำเตือน หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของคนมลายูมุสลิมปาตานี

เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น
รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา
ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง
ตัวอย่างที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือฝาผนังห้องน้ำโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”

ส่วนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าว

จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนมะหัดดารุลมูฮายีรีน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านบาโงสะโต ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า นักรบฟาตอนีดารุสลาม มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี ส่วนกรัดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า บาบีอายิง แปลว่า หมูหมา

นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า กูรักฟาตอนี มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า ฟาตอนี

โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน
ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล

ตราบใดที่การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปล่อยให้ขบวนการ BRN Co – ordinate ปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อไป มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความสงบสุขที่ทุกคนต่างเรียกหาก็ยังไม่เกิด ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่ศพ แต่อย่างน้อยผู้เขียนพยายามสื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการปลูกฝังความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงรัฐไทยมีการปูพื้นมาตั้งแต่เล็กในโรงเรียนสอนศาสนาที่ยากต่อการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ที่มีอยู่หลายพันโรงกระจายเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate

-----------------------------------------

8/03/2559

เบื้องหลังความชั่ว อัสมีน กาเต็มมาดี มือระเบิดตำรวจดับเดือนรอมฏอน

"Ibrahim"

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2559 เวลาประมาณ 19.05 น. คนร้ายทำการลอบวางระเบิด  บริเวณม้าหินอ่อนระหว่างหน้าร้านศรีปุตรี เลขที่ 84 กับ หจก.อัลฮิจญ์เราะฮ ถนนยะรัง ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี ผลจากแรงระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ราษฎรได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ทรัพย์สินได้รับความเสียหายหลายรายการ

รายละเอียดของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 ก.ค.59 เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่ จนท.ตำรวจจราจร สภ.เมืองปัตตานี ซึ่งเป็นชุดบริการจราจร โดยมี ร.ต.ต.มยูนุ  จูเฮง เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ให้กับผู้ที่เดินทางมาละศีลอดและละหมาดดอรอเวียะ ที่มัสยิดกลางปัตตานี และระหว่างที่ประชาชนร่วมรับประทานอาหารในบริเวณมัสยิดกลาง จนท.ตำรวจจราจรก็ไปรอให้บริการประชาชน จึงไปนั่งที่บริเวณม้าหินอ่อนระหว่างหน้าร้านศรีปุตรี เลขที่ 84 กับ หจก.อัลฮิจญ์เราะฮ ถนนยะรัง ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี ซึ่งอยู่ห่างจากมัสยิดกลางปัตตานี ประมาณ 17 เมตร จากนั้นได้เกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย และได้รับบาดเจ็บ จำนวน 3 ราย 

ซึ่งผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในครั้งนั้นประกอบด้วยเจ้าหน้าที่และประชาชนโดย จ.ส.ต.อนุรักษ์ รักบุตร อายุ 34 ปี ได้เสียชีวิต ส.ต.ต.วิชชากร เอกกุน อายุ 27 ปี, ส.ต.ต.สุรศักดิ์ปาสังข์ ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งราษฎรได้รับบาดเจ็บ 1 ราย คือ นายยา  มอลอ อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/1 ม.4 ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บแผลถลอกบริเวณศีรษะ

เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานที่ตรวจพบจากที่เกิดเหตุได้แก่ ชิ้นส่วนท่อเหล็ก(ภาชนะบรรจุ) สะเก็ดระเบิด (เหล็กตัดท่อนคละขนาด) ชิ้นส่วนวิทยุสื่อสาร ชิ้นส่วนวงจร DTMF ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ขนาด 1.5 และ 9 โวลต์

ความเสียหายต่อทรัพย์สินรถจักยานยนต์ จำวนวน 3 คัน (คันของเจ้าหน้าที่ทีบาดเจ็บ) ร้าน หกจ.อัลฮีจญ์เราะ และร้านศรีปุตรี


ความคืบหน้าของคดี เมื่อวันที่ 22 ก.ค.59 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี ได้รวบรวมพยานหลักฐานและได้ขอออกหมายจับ พรก.ฉุกเฉินฯ นายอัสมีน กาเต็มมาดี อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ซอย 5 ถนนนาเกลือ ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี ตามหมายจับ ที่ ฉฉ.71/59 ลง 22 ก.ค.59

การออกหมายจับในครั้งนี้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานีได้ให้พยานดูภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ พยานจำได้ยืนยันว่านายอัสมีนฯ เป็นหนึ่งในคนร้ายที่ทำการก่อเหตุลอบวางระเบิด
นายอัสมีนหรือมีน  กาเต็มมาดี หมายเลขบัตรประจำตัว 1-9499-00081-74-9 เกิดเมื่อ 18 ก.ค. 2530  อายุ 20 ปี  ภูมิลำเนา 6 ซ.5 ม.5 ถ.นาเกลือ ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี

พฤติกรรมนายอัสมีนหรือมีน  กาเต็มมาดี ที่ผ่านมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดร้านน้องเฟิร์น เมื่อ 4 ธ.ค. 50 เวลาประมาณ 18.40 น. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บ 25 ราย


นายอัสมิน กาเต็มมาดี เป็นผู้ชักชวน นายซุกรี  สุหลง ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 59 ตามหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานีที่ 204/2559 โดยนายสุกรีฯ ให้การ ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 เวลา 14.10 น. เหตุลอบยิง ร.ต.ต.วัลลภ เจษฎารมย์ เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณ ถ.กะลาพอ ต.อาเนาะรู อ.เมือง จ.ปัตตานี