‘แบดิง โกตาบารู’
ตอน: BRN ขบวนการฝักใฝ่ความรุนแรงก่อเหตุคาร์บอมบ์….
เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันอังคารที่
23 ส.ค.59 ได้เกิดเหตุระเบิดอย่างน้อย 3 จุดในเขตเมืองปัตตานีและบริเวณใกล้เคียง โดยหนึ่งในนั้นเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นเหตุคาร์บอมบ์
ระเบิดลูกแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ
23.00 น.
คนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่วางไว้บริเวณห้องน้ำข้างลานจอดรถหลังเซาท์เทิร์นผับ
ในบริเวณโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ซึ่งเปิดเป็นสถานบันเทิงหลายรูปแบบ ตั้งอยู่หมู่ 3 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี จุดนี้ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
ถัดมาอีกไม่กี่นาที
เกิดระเบิดขึ้นอีก 1 ครั้ง บริเวณหน้าร้านนวดแผนโบราณ ตั้งอยู่หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว
จุดนี้เจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นคาร์บอมบ์ (ระเบิดที่บรรทุกในรถยนต์)
แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน
ข้อมูลบางแหล่งระบุว่ายอดผู้ได้รับบาดเจ็บอาจพุ่งสูงถึง 28
คน
เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเบื้องต้นว่า
คนร้ายจุดระเบิดลูกแรกขึ้น เพื่อสร้างความตื่นตกใจให้กับประชาชนและนักเที่ยว
ล่อให้วิ่งหนีออกมาด้านหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว ก่อนจุดระเบิดลูกที่ 2 ที่ซุกไว้ในรถยนต์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้รุดไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลปัตตานี
ทราบจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งหมดว่ามี 29 ราย อาการสาหัส 5 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ
น.ส.อรพรรณ ศรีเรือนหัด อายุ 35 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่
จ.อุบลราชธานี ทำงานร้านอาหารหน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว
สำหรับแรงระเบิดจากระเบิดลูกสองที่เป็นคาร์บอมบ์นั้น
ทำให้ร้านค้าหน้าโรงแรมซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น
มีทั้งร้านคาราโอเกะ ร้านนวดแผนโบราณ ร้านขายอาหาร ร้านขายของเบ็ดเตล็ด
และที่อยู่อาศัย รวมทั้งโกดังเก็บของ ได้รับความเสียหาย มีเพลิงไหม้ แต่เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้
ส่วนโรงแรมเซาท์เทิร์น วิว สูง 10 ชั้น
ได้รับความเสียหายเช่นกัน
เช่นเดียวกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่จอดหน้าโรงแรมจำนวนหลายสิบคัน
หลังจากนั้นไม่นานยังเกิดระเบิดบริเวณถังขยะหน้าตลาดนัดบ่อทอง
พื้นที่หมู่ 6 ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานีด้วย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
โดยจุดเกิดเหตุอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีมากนัก เหตุระเบิดทั้ง 3 จุดสร้างความปั่นป่วนให้กับพื้นที่เมืองปัตตานีอย่างมาก
คาร์บอมบ์ลูกที่
4 ของปี 59
สำหรับเหตุระเบิดในรูปแบบคาร์บอมบ์
นับเฉพาะปี 2559 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27
ก.พ.ด้านหลังฐานปฏิบัติการหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 11 (นปพ.11)
ปัตตานี อ.เมืองปัตตานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 11 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย ประชาชน 4 ราย
ครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิ.ย. ที่ อ.สุไหงโก-ลก ถนนด้านข้าง
นปพ.ที่ 33 นราธิวาส
ครั้งที่ 3 เมื่อวันอังคารที่ 5 ก.ค.
บริเวณด่านตรวจเกาะหม้อแกง ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน
และล่าสุดครั้งที่
4 คือที่หน้าโรงแรมเซาท์เทิร์น อ.เมืองปัตตานี เมื่อกลางดึกวันอังคารที่ 23 ส.ค.
ทั้งนี้เมื่อนับรวมเหตุระเบิดในลักษณะคาร์บอมบ์
ตั้งแต่ปี 2547
ถึงวันที่ 23 ส.ค.59 พบว่ามีคาร์บอมบ์เกิดขึ้นมาแล้วถึง
50 ครั้ง!
การปฏิบัติการของกลุ่มขบวนการ
BRN
ที่ทำการก่อเหตุคาร์บอมบ์ ชี้ให้เห็นว่าเป็นการฝักใฝ่ความรุนแรง
มุ่งหมายเอาชีวิตของประชาชนโดยไม่แยกแยะและเลือกเป้าหมาย ทำลายระบบเศรษฐกิจโดยรวม
การจัดตั้งกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น เมื่อปี 1960 (พ.ศ. 2503) คือความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายของเหล่าคนลวงโลกบางกลุ่มที่ต้องการจะปกป้องประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของบุคคลบางกลุ่ม ด้วยการสร้างความไว้วางใจของกลุ่มขบวนการต่อประชาชนปาตานีที่
ส่งผลให้พวกนอกรีตนอกกฎหมาย นำไปเป็นข้ออ้างทำการก่อวินาศกรรม
สร้างความเดือดร้อน มีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ปาตานีเพื่อหลอกลวงประชาชน สร้างภาพลักษณ์ให้องค์กรดูดี
ทำการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ เพื่อมนุษยธรรม และเพื่อประชาชน แต่ในความเป็นจริงมีการซ่อนเร้นปิดบังอำพรางตัวตนที่แท้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น
6 ปี ให้หลังนับจากการก่อตั้งองค์กรขึ้นมาในปี 2503
วัตถุประสงค์หลักของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ได้ทำการโน้มน้าวชักจูงพี่น้องปาตานีโดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา กลุ่มขบวนการจะชักจูงกลุ่มบุคคลเหล่านี้เพราะง่ายต่อการหลอกใช้งานให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก
มีการสร้างค่านิยมใหม่ขึ้นมาด้วยการส่งเสริมบุตรหลานของพี่น้องปาตานีให้ร่ำเรียนวิชาศาสนา
ไม่ให้เรียนสายสามัญ แต่กับบุตรหลานญาติมิตรตัวเองกลับส่งเสียให้เรียนในระดับสูงๆ
เพื่อจะกลับมาปกครองควบคุมคนที่ไม่รู้หนังสือต่อไป
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น
เดินหน้าสร้างเรื่องราวนิยายน้ำเน่าขึ้นมาว่าปาตานีเป็นเอกราช แต่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐสยาม ถูกกดขี่ข่มแหงรังแก
กวาดต้อนเป็นเชลยศึก ใส่สีตีไข่เข้าไปเพื่อให้คนปาตานีหลงเชื่อ และเกลียดชังรัฐบาลไทย
สุดท้ายยอมกระทำตามในสิ่งที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นต้องการ และที่สำคัญได้มีการสร้างประวัติศาสตร์เวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมาให้กับปาตานี
ด้วยการปลุกระดมให้ผู้คนเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นรัฐอิสลามมาก่อน โดยไม่เคยนับถือศาสนาอื่นใดเลย
จนกระทั่งสยามได้เข้ามายึดครองปาตานี
จากบัดนั้นเวลาได้ล่วงเลยมาหลายสิบปี
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นยังคงหลอกลวงคนปาตานีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญ
กลุ่มขบวนได้ชักจูงให้พวกเขาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาตานีให้เป็นรัฐอิสลาม โดยให้เหตุผลว่ารัฐบาลไทยกีดกันการนับถือศาสนา
รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ ของศาสนาอิสลาม กลุ่มขบวนการสร้างค่านิยมให้คนปาตานีไม่ต้องไปเรียนหนังสือ
และกีดกันไม่ให้คนปาตานีรับความช่วยเหลือใดๆ จากทางภาครัฐ เนื่องจากไม่ต้องการให้ประชาชนรู้ความจริงว่าถูกหลอกใช้
ยุทธศาสตร์ของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น จึงมุ่งทำร้ายครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำการเผาโรงเรียน
เพื่อไม่ให้การศึกษาได้เข้าถึงคนในพื้นที่ เมื่อไม่ได้รับการศึกษาประชาชนจะได้ไม่มีงานทำ
คุณภาพชีวิตก็จะพลอยตกต่ำ จากนั้นจะใช้ข้ออ้างนี้ในการจุดประเด็นกล่าวหา “รัฐบาลไทยจัดคนปาตานีเป็นชนชั้น 2 ของประเทศ”
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น พยายามใช้คำว่าสันติภาพบังหน้า แต่ในความเป็นจริง กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นหลอกลวงคนปาตานีให้ออกมาเรียกร้องสิทธิการกำหนดใจตนเอง
มีสิทธิเลือกรูปแบบการปกครองและรัฐบาลของตน กลุ่มขบวนการหลอกลวงให้คนปาตานีเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาจะดีขึ้นหากเปลี่ยนแปลงการปกครอง
โดยให้กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้นำ แต่สิ่งที่กลุ่มขบวนการไม่เคยกล่าวถึงคือ “ดีขึ้นอย่างไร?” กลุ่มขบวนการปกปิดความจริงของตนเองมาโดยตลอด
เพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ และมีความเป็นเผด็จการ
จนถึงปัจจุบันนี้สิ่งที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นกระทำมาโดยตลอดคือการเข่นฆ่า
และลอบทำร้ายคนปาตานีที่มีความคิดต่างกับขบวนการ วาทกรรมเด็ดที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเคยกล่าวไว้
“เป้าหมายการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการคือเจ้าหน้าที่เท่านั้น
แต่ประชาชนอาจจะโดนลูกหลงนั้นเป็นการไม่ตั้งใจ”หลายต่อเหตุการณ์ด้วยกันที่กลุ่มขบวนการโจรชั่วบีอาร์เอ็น
ได้ทำการก่อเหตุโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของประชาชนเพียงเพื่อจุดประสงค์สร้างสถานการณ์ให้เป็นข่าวรายวันโดยไม่มีการแยกแยะกลุ่มเป้าหมาย
เด็กเล็ก สตรี รวมทั้งผู้นำศาสนา และตัวบ่งชี้ยืนยันความสุดโต่งล่าสุดของขบวนการ คือเหตุการณ์ที่ตลาดเทศบาลอำเภอยี่งอ
จังหวัดปัตตานีที่ผ่านมา เป็นความตั้งใจที่จะวางระเบิดต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิม
เพราะในห้วงเวลาดังกล่าว พี่น้องชาวไทยพุทธไม่อยู่ เนื่องจากไปทำบุญตามประเพณีวันสารทเดือนสิบกันหมด
ดังนั้นกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น จะต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียของพี่น้องชาวไทยมุสลิมกว่า
6,000 ราย
ที่เสียชีวิตจากการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น ตลอดห้วงระยะเวลา 10
ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลนี้พวกเราจะเชื่อใจให้กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นผู้นำพี่น้องปาตานีได้อย่างไร?
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นไม่เคยยอมรับว่าแท้จริงแล้วคือตัวปัญหาหลักและปัญหาเดียวของปาตานี
ไม่เคยยอมรับว่าคนปาตานีไม่ถึง 1% สนับสนุนพวกเขา
และคนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย แต่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น กลับยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำโดยปราศจากความเห็นชอบของคนส่วนใหญ่
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นให้คนไทยมุสลิมเรียกตนเองว่า “ปาตานีมาเลย์” โดยไม่ได้คำนึงถึง คนไทยมุสลิมอีกหลายกลุ่มที่มีหลากหลาย เช่น มุสลิมจีน
มุสลิมตะวันออกกลาง ไทยมุสลิม และกลุ่มคนไทยพุทธดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินนี้
กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นลืมไปว่า
“ศาสนาคือความเชื่อ” ไม่ใช่เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ จึงเป็นเรื่องที่โง่เขลาเบาปัญญาเป็นอย่างมากที่จะทำให้คนเชื่อว่าคนมุสลิมเป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน
เพราะทุกคนสามารถเปลี่ยนศาสนาได้แต่ไม่สามารถเปลี่ยนชาติกำเนิดได้ ศาสนาได้ถือกำเนิดมานมนานก่อนที่กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นจะก่อตั้งเสียอีก
แล้วกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นจะพูดได้เต็มปากได้อย่างไรว่ารู้ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของปาตานี
อีกทั้งยังปฏิเสธต่อหลักฐานต่างๆ ที่มีอยู่จริง ทุกสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้
เราสามารถสรุปได้เลยว่า กลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นเป็นพวกนอกรีตนอกกฎหมาย
เชื่อถือไม่ได้ และเป็นองค์กรเผด็จการลวงโลก จัดตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลเพียงบางกลุ่มเท่านั้น...ซึ่งไม่มีกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็น
ปาตานีก็จะได้รับสันติภาพที่แท้จริงได้….
----------------------