12/02/2559

จับกระแสและท่าที“มาราปาตานี”ต่อการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้!!

"Ibrahim"


นายอาบู ฮาฟิซ อัลฮากิม โฆษกของมาราปาตานี ได้ให้สัมภาษณ์แก่สำนักข่าว เบนาร์นิวส์ ในเมืองโกตาบารู เมืองหลวงของรัฐกลันตัน เมื่อวันที่ 18 พ.ย.59 วัตถุประสงค์ของขบวนการต่างๆ คือ การแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขบวนการต่างๆ ต่อสู้ให้ได้มา จากในอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราต้องทบทวนเรื่องนี้
เราต้องทบทวนเรื่องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ บางทีอาจขอเป็นเขตปกครองตนเอง เขตบริหารตนเอง หรือเขตที่สามารถกำหนดความต้องการของตนเองได้ ซึ่งจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ชื่อเรียกขานเขตเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่เนื้อหาสาระ และชาวมลายูปาตานีต้องใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข
ย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ.2547 ก่อนวันเสียงปืนแตกประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินชีวิตไม่ปกติสุขหรอกหรือ? ถามไปยัง นายอาบู ฮาฟิซ อัลฮากิม รัฐหรือกลุ่มขบวนการที่  จุดคบไฟใต้เหตุการณ์ความรุนแรงถึงได้ลุกลามมาจวบจนทุกวันนี้

การที่ นายอาบู ฮาฟิซ อัลฮากิม กล่าวถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเคยเป็น ปาตานีดารุสลามประกอบด้วยจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนนัก แต่ตามหลักฐานเชิงประจักษ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีความหลากหลายในความเป็นมลายู ในที่นี้ความเป็นมลายูมิได้หมายความว่าจะมีเฉพาะมลายูมุสลิม ยังได้หมายรวมถึงมลายูชาวไทยพุทธ คนไทยเชื้อสายจีนอีกด้วย
เพราะฉะนั้นการกล่าวอ้างว่าพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นปาตานีดารุสลามจึงไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ เป็นแค่นิทานหลอกเด็ก บิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อให้มวลสมาชิกและประชาชนในพื้นที่หลงเชื่อไปตามคำโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มขบวนการเท่านั้น
ส่วนสถิติเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จนกลายเป็นเหตุร้ายรายวัน แม้ว่าสถิติของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร ของตำรวจ หรือแม้กระทั่งสถิติที่รวบรวมโดยศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ตัวเลขจะไม่ค่อยตรงและสอดคล้องกันสักเท่าไหร่แต่ไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาสาระหลักของสถิติต่างหากที่บ่งบอกถึงความสูญเสียความรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยเป้าหมายหลักตกอยู่ที่ประชาชน เมื่อย้อนดูตัวเลขนับตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2547 วันเสียงปืนแตก ไฟใต้ ถูกจุดโดยกลุ่มขบวนการ มีเหตุการณ์ทั้งสิ้นมากกว่า 15,000 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตกว่า 6,700 คน
นั่นคือผลของการใช้ความรุนแรงที่มีผลกระทบแทบทุกด้าน เสียงระเบิด เสียงแผดจากลำกล้องปลายปืน เสียงไซเรนรถเจ้าหน้าที่กู้ภัยลำเลียงผู้บาดเจ็บ บาดใจแทบทุกครั้งที่ได้ยิน!! วันนี้จะมีผู้ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่รายอีกนะ!!

ขอยกคำกล่าวของ ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตประธานเบอร์ซาตู ในวัย 76 ปี ผู้ที่เคยเคลื่อนไหวต่อสู้กับรัฐบาลไทยมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสถานีโทรทัศน์ดิจิทัลช่อง NOW26 โดยเขาบอกว่าแนวคิดแยกดินแดนหมดสมัยไปแล้ว การใช้ความรุนแรงเข่นฆ่ากันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร นอกจาก ตายเปล่า
การพยายามของรัฐบาลไทยที่หลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรง หาทางออกของปัญหาด้วยการเจรจาเพื่อสร้างสันติสุขชายแดนใต้อย่างแท้จริง กับกลุ่มที่คิดต่างจากรัฐยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน และยังมีความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลไทยได้พูดคุยอยู่กับตัวจริงหรือไม่?
เป็นที่น่าประหลาดใจ นายอาบู ฮาฟิซ ได้แสดงความเชื่อมั่นในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข และพร้อมที่จะยอมรับผลการพูดคุย แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นเอกราชซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดก็ตาม
นายอาบู ฮาฟิซ ยังยอมรับการต่อสู้อันดับแรก วัตถุประสงค์ของขบวนการต่างๆ คือ การแยกตัวออกมาเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขบวนการต่างๆ ต่อสู้ในอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราต้องทบทวนเรื่องนี้ โดยมองพื้นฐานของสถานการณ์ปัจจุบัน สถานการณ์โลก เขตแดนไม่ใช่เรื่องที่มีสาระมาเกี่ยวข้องใดๆ และยุคนี้เป็นยุคของการพูดคุยกัน
ดังนั้น เราต้องทบทวนเรื่องการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ บางทีอาจขอเป็นเขตปกครองตนเอง เขตบริหารตนเอง หรือเขตที่สามารถกำหนดความต้องการของตนเองได้ ซึ่งจะเป็นไปได้มากกว่า แต่ชื่อเรียกขานเขตเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่เนื้อหาสาระ และชาวมลายูปาตานีต้องใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข
จะเห็นได้ว่ากลุ่มคิดต่างจากรัฐมีท่าทีในการปรับเปลี่ยนข้อเรียกร้องของตัวเอง ภายใต้การเปลี่ยนไปของสถานการณ์โลก รวมกระทั่งสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งโยนการต่อสู้ในเรื่องเอกราชให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ในการต่อสู้ตามวิถีทางการเมือง พร้อมทั้งกล่าวอ้างหากประชาชนมีความพอใจต่อผลการพูดคุย เรื่องเอกราชไม่ใช่เรื่องสำคัญ
นายอาบู ฮาฟิซ ยังกล่าวถึงสิ่งที่ประชาชนปาตานีต้องการสิ่งต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อชีวิตประจำวัน ไม่ว่า อาชีพ การศึกษา ความมั่นคงในชีวิต ศาสนา สิทธิในการตัดสินอนาคตของตนเอง
สิ่งที่ นายอาบู ฮาฟิซ ได้กล่าวมาทั้งหมดว่าเป็นความต้องการของประชาชน ในความเป็นจริงรัฐบาลไทยได้สนับสนุนและเร่งขับเคลื่อนโดยได้มีการสั่งจ่ายงบประมาณผ่านโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อมุ่งมั่นให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีความมั่นคงในชีวิต มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สนับสนุนการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ปูทางการศึกษานำไปสู่การจ้างงาน จ้างอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน”และอีกหลายโครงการที่รัฐได้ดำเนินการอยู่
ส่วนประเด็นในเรื่องศาสนา ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาอยู่แล้ว อีกทั้งรัฐบาลไทยได้สนับสนุนในการประกอบศาสนกิจของแต่ละศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพี่น้องชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นโครงการส่งเสริมพี่น้องชาวไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ส่วนสิทธิในการตัดสินอนาคตของตนเอง หรือการกำหนดใจตนเองที่กลุ่มและองค์กรเรียกร้องคงไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับบัญญัติไว้ในมาตรา 1 ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

-----------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น