เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จุดเริ่มสร้างความโหดร้าย เมื่อ 4 ม.ค. 47 ซึ่งเป็นต้นเสียงปืนแตกตลอด ในระยะเวลา 13 ปี และจะเข้าย่างปีที่ 14 แล้ว
ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
อันนำมาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งยังทำลายเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่โดยเฉพาะ
การอยู่ร่วมสังคมพหุวัฒนธรรมอันดีงาม
ขณะที่ปัจจุบันฝ่ายเจ้าหน้าที่เองก็เร่งแก้ไขปัญหาโดยใช้นโยบาย
กฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ มากมาย
ในการช่วยเหลือพัฒนาพื้นที่ สร้างอาชีพสร้างงานสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน
ซึ่งก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์เหมือนจะดีขึ้น แต่ผู้ก่อเหตุรุนแรงก็ยังคอยฉวยโอกาสทีเผลอทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ในพื้นที่ตลอดเวลาเมื่อสบโอกาส
ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่าแล้วเราสู้อยู่กับใคร สู้กับกลุ่มไหนอยู่
สู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน กลุ่มการเมืองเก่า
กลุ่มผู้เสียประโยชน์ทางการค้าน้ำมันเถื่อนของหนีภาษี สู้กับกลุ่มค้ายาเสพติด
สู้กับผู้ก่อเหตุรุนแรง ทำไมเหตุการณ์ผ่านมาจะเข้าสู่ปีที่ 14 ปีแล้วยังไม่สงบ แล้วตกลงเราสู้อยู่กับใคร?
จากการรวบรวมข้อมูลความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
ผู้เขียนขอฟันธงเลยว่า เราสู้อยู่กับ กลุ่มขบวนการ BRN ที่มีท่อน้ำเลี้ยงจากกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ให้การหนุนหลัง
ผู้เขียนขอหยิบยกเล่าความเป็นมาของ BRN
ดังนี้ BRN คือ
ประชาชนมลายูกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกับรัฐบาลไทย พูดง่ายๆ
ก็คือกลุ่มของตนเสียผลประโยชน์ทางการเมือง จึงจัดตั้งกองกำลังขึ้นต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง
โดยอ้างว่าทำเพื่อพี่น้องมลายูในพื้นที่ โดยแบ่งออกเป็น 3
ยุค คือ รุ่นที่ 1 (รุ่นปู่) ปี 2503 – 2512 มีมะบง เป็น แกนนำพร้อมบาบอของปอเนาะสำคัญใน 3 จชต.
รุ่นที่ 2 (รุ่นพ่อ) มีการิม รอมลีและอามีนเป็นแกนหลัก ปี 2512
– 2527 และรุ่นที่ 3 (รุ่นลูก) 2527 - ปัจจุบัน มีดุลเลาะ แวมะนอ
และเด็ง กะแวจิ เป็นแกนนำ
แต่ละยุคจะพัฒนาการต่อยอดในการต่อสู้มาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันนี้รัฐสู้อยู่กับรุ่นลูก นั้นก็คือ
ดุลเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่โรงเรียนญิฮาดวิทยา ที่ถูกศาลสั่งยึดที่ดินเป็นของรัฐเนื่องจากใช้พื้นที่ฝึกอาวุธให้กับผู้ก่อการร้าย
การพัฒนาของกลุ่ม BRN
รุ่น 1 (รุ่นปู่) เป็นการรวบรวบประชาชนมลายูตั้งตนเป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่ทุกรูปแบบ
รวมเป็นกองกำลังต่อสู้กับรัฐบาล มีการตกลงแบ่งเขตพื้นที่อิทธิพลกับกลุ่มอื่น ๆ
BRN รุ่น 2 (รุ่นพ่อ)
มีการแบ่งกลุ่มทำหน้าที่ คือ 1.คอโอดิเนท (ฝ่ายการเมือง) 2.คองเกรส (ฝ่ายการทหาร) 3.อูลามา (ฝ่ายการศาสนา)
โดยรุ่นนี้ได้เริ่มส่งสมาชิกไปเรียนยังต่างประเทศโดยเฉพาะอินโดนีเซีย
และปรับเป็นกองกำลังติดอาวุธ มีฐานสู้รบอยู่บนภูเขามีการเก็บเงินจากประชาชนและเรียกค่าไถ่ค่าคุ้มครอง
และยังแบ่งเขตอิทธิพลกับกลุ่มอื่นๆ โดยไม่มีมวลชนให้การสนับสนุนแต่อย่างใด
BRN รุ่น 3 (รุ่นลูก)
หรือยุคปัจจุบันที่รัฐต่อสู้อยู่ ยุคนี้ถูกพัฒนามาจากยุค BRN 2 (ยุคพ่อ) ปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้จากบนเขามาต่อสู้ในหมู่บ้านโดยใช้ประชาชนมลายูในหมู่บ้าน
เป็นกองกำลังรบ เป็นฝ่ายสนับสนุนกำลังรบ ให้ทั้งที่พักอาศัย การกินการอยู่
พร้อมทั้งสละเงินวันละบาททุกวัน (ทุกวันนี้เก็บ 2–3 บาท
หรือตามพื้นฐานอาชีพของประชาชน)
และที่สำคัญนำลูกหลานเยาวชนมลายูในหมู่บ้านมาฝึกเป็นกำลังรบต่อสู้กับเจ้าหน้าที่อยู่ในขณะนี้
BRN ใช้เวลาเตรียมการต่อสู้ในครั้งนี้รวมระยะเวลา
20 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ห้วง คือ
ห้วงที่ 1 ระหว่าง 2527–2537
เป็นเวลาเตรียมการปลุกระดมบ่มเพาะให้กับคนเชื้อสายมลายูทุกหมู่เหล่าทุกเพศทุกวัย โดยอาศัยแอบอ้างบิดเบือนประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และศาสนา
เพื่อให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังระหว่างคนมลายูกับคนไทยอย่างกว้างขวาง
สำหรับห้วงที่ 2 ระหว่าง 2537 – 2547
เป็นการจัดตั้งและฝึกกำลังรบที่รัฐเรียกว่า RKK และจัดตั้งกรรมการบริหารเฉพาะหมู่บ้านมลายในรูปแบบการปกครองของ
BRN ซ้อนการปกครองของรัฐบาลไทยเอาไว้อย่างลับๆ
เพื่อง่ายต่อการประสานงานและการต่อสู้นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน
ทั้งนี้ผลการจากการจัดตั้งกรรมการบริหารในหมู่บ้านของ
BRN
ซึ่งกระจายไปทั่วในสามจังหวัดชายแดนใต้ส่งผลให้ BRN มีอิทธิพลอย่างลับๆ
ต่อกลุ่มนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย
น้ำมันเถื่อน
ค้ายาเสพติดและสินค้าหนีภาษี
รายได้ส่วนหนึ่งจากการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายจะส่งให้กับ BRN
เพื่อเป็นทุนสำหรับการก่อเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการจับกุม
กลุ่มขบวนการก็จะก่อเหตุตอบโต้เจ้าหน้าที่ทันที
ผลประโยชน์ที่เชื่อมโยงกันหลายมิติจากอดีตจนปัจจุบันกลายเป็นรากเหง้าของปัญหาของการก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
จากข้อมูลข้างต้นพอจะเป็นคำตอบได้ว่าขณะนี้รัฐสู้กับใครสู้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนหรือสู้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย
ผลประโยชน์ที่แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ของ BRN และ
ธุรกิจมืดผิดกฎหมาย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฟใต้ทำไมจึงดับลงไม่ได้ หากเหตุการณ์ใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบลงก็จะทำให้กลุ่มอิทธิพลที่มีผลประโยชน์มหาศาล
ประกอบการธุรกิจผิดกฎหมายดังกล่าวไม่สะดวกใช่ไหมจึงจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์รุนแรงให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเหตุรุนแรงเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่จนทำให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังสร้างความหวาดระแวงระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม
สร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่ม BRN ให้ประชาชนตกเป็นแนวร่วมคล้อยตาม
เพื่อขับไล่ทหารออกจากพื้นที่จะได้เข้าทางกลุ่ม BRN ที่ขุดหลุมพรางดักไว้
ถ้าหากกำลังทหารออกไปจากพื้นที่ซะ
กลุ่มพวกตนก็จะได้ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายได้สะดวกสบาย
และมีอิทธิพลในพื้นที่แต่ผู้เดียวสร้างความร่ำรวยอย่างมหาศาล
บนซากศพและคราบน้ำตาของประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างง่ายดาย
โดย…ก๊ะเจ๊าะแจ๊ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น