10/20/2559

ศาลฎีกาสั่งจำคุกตลอดชีวิต มือระเบิด 7 ศพ ร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น

 ‘แบมะ ฟาตอนี


กฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย จากนโยบายของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาไฟใต้ ใครกระทำความผิดจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย เสมอภาค เท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หรือเต๊ะโซ๊ะหรือซัน  หะยีมามุ  ในฐานความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย อั่งยี่ 
ซ่องโจร ลอบวางระเบิด ตามหมายเลขคดีดำที่ 2374/2557 คดีแดงที่ 810/2558 เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.เมืองปัตตานี

นายมูฮำหมัดซอบรี หรือ เต๊ะโซ๊ะ หรือซัน  หะยีมามุ ได้ทำการก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านน้องเฟิร์น ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550

การต่อสู้ทางคดี นายมูฮำหมัดซอบรี หรือ เต๊ะโซ๊ะ หรือซัน  หะยีมามุ โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาคดีก่อการร้าย เลขคดี 2374/57 เมื่อ 27 มีนาคม 2558 สั่งให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนในศาลอุทรณ์ ได้มีการพิจารณาคดียกฟ้อง จนกระทั่งศาลฎีกาจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 เป็นอันปิดฉากอิสรภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ต้องเข้าไปชดใช้ความผิดกับผลที่ตัวเองได้ก่อไว้ในเรือนจำ

จากสถานการณ์ไฟใต้ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังคงเป็นประเด็นลำดับต้นๆ ที่ทุกคนต่างโหยหา อยากจะให้เหตุการณ์สงบ นำพาสันติสุขกลับคืนมาในเร็ววัน แต่กลุ่มกระบวนการยังคงเดินหน้าทำการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ และเป้าหมายอ่อนแออยู่อย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ มานี้ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายต่อความรุนแรง เอือมระอาต่อการกระทำที่สุดโต่ง ไร้มนุษยธรรม ไม่มีความปราณีของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อ้างตัวว่าเป็นนักรบฟาตอนี RKK โดยจะเห็นได้ว่าประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ผกร. มากขึ้นตามลำดับส่งผลให้การติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้จำนวนหลายสิบรายในห้วงที่ผ่านมา

การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนามาใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งยังยึดหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายยังคงมีมาตรการปฏิบัติเชิงรุกในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้กับผู้ที่ละเมิด



นายมูฮำหมัดซอบรี หยีมามุ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเมื่อ 7 พฤษภาคม 2557 โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ณ บริเวณบ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 2 ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

พฤติกรรมของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการในการลอบวางระเบิด และเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ที่ 15/51 ลง 4 มกราคม 2551 สภ.เมืองปัตตานี ข้อหาร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จากเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550

จากผลการซักถาม นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าระหว่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมศึกษา ตนเองได้ทำการซูมเปาะ โดย อุซตาซ พร้อมกับผู้ก่อเหตุรุนแรงคนสำคัญหลายคน  อย่างเช่น นายมะซอเร ดือรามะ และได้ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว


นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าตนเองก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์นจริง โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดยังที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังให้การที่เป็นประโยชน์ ทำการซัดทอดผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้อีก 3 คนด้วยกัน คือ นายสุริยา พินนาคบุตร, นายอัสมีน กาเด็นมาตี และนายฮากีม ดอเลาะ ซึ่งบุคคลทั้งหมดที่ถูกซัดทอดเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้เมื่อ 6 ธันวาคม 2550
จากคำรับสารภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ดังกล่าว หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ได้ประสานพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานีมาบันทึกคำให้การ ต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนา รวมถึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังสถานที่เกิดเหตุ

ในเวลาต่อเจ้าหน้าที่ได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งตัวนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ไปควบคุมตัวยังศูนย์พิทักษ์สันติฯ และในเวลาต่อมานายมูฮำหมัดซอบรีฯ ได้กลับคำให้การ และยังทำหนังสือร้องเรียนว่าตนเองโดนเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ซ้อมทรมานจนกระทั่งตนเองต้องยอมรับสารภาพ แต่ศาลไม่รับคำฟ้อง

ในเวลาต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ดำเนินคดีแต่เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธในทุกชั้นศาล จนกระทั่งศาลฎีกาจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559

จากคำตัดสินของศาลจังหวัดปัตตานี ทุกขั้นตอนของกระบวนยุติธรรมมีความโปร่งใส ซึ่งได้ตัดสินกันไปตามพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาคดี แต่ที่สำคัญคือการยอมรับสารภาพในขั้นตอนการซักถามของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีการบันทึกคำให้การพร้อมกับบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนาโดยไม่มีการบังคับขู่เข็นใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้จะกลับคำให้การในตอนหลังเพื่อลบล้างการรับสารภาพก็ไม่เป็นผลใดๆ

การก่อเหตุของนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย มีหลายชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวต้องเจ็บปวด บ้างขาดเสาหลักขาดผู้นำในครอบครัวไป ที่สำคัญต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...คำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลได้ลงอาญาเหมาะสมแล้วกับการกระทำ แต่ผู้เขียนคิดว่าศาลยังให้ความปราณีต่อผู้ต้องหาอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 7 ชีวิตที่ตายจากน้ำมือการกระทำของเขา...

แล้วเมื่อไหร่ความสันติสุขที่ทุกคนใฝ่หาจะเป็นจริงสักที!!! ในเมื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงเดินหน้าก่อเหตุสร้างสถานการณ์อยู่เช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชนปาตานี ต้องมารับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของโจรใต้ฟาตอนีอยู่เนืองๆ อีกฝากฝั่งหนึ่งครอบครัวโจรใต้ฟาตอนีก็เช่นเดียวกันได้รับความเดือดร้อนไม่หยิ่งหย่อน และแตกต่างกับครอบครัวผู้ที่ถูกกระทำเท่าไหร่นัก!! 
เนื่องจากเกิดการปะทะถูกวิสามัญ บ้างถูกจับกุมโดนคุมขังในเรือนจำ ต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าต้องเป็นภาระของสังคม  แล้วถามโจรใต้ฟาตอนีเหล่านี้สิ!!! ทำไปเพื่ออะไร?...และเพื่อใคร? กันแน่...คนสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอก ส่งลูกหลานตัวเองศึกษาต่อยังต่างประเทศ ย้อนกลับมามองครอบครัวสมาชิกแนวร่วมดูละกัน!!!..ทุกวันนี้ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร..ยิ่งผู้นำครอบครัวถูกคุมขังจะอยู่กันอย่างไร!!!..คุ้มค่าแล้วหรือที่ทุ่มเทเพื่อขบวนการ....

------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น