4/17/2555

เจรจาโจรใต้ “ตัวจริง” คำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาความรุนแรงใน จชต.?


เจรจาโจรใต้ “ตัวจริง” คำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาความรุนแรงใน จชต.?



        เหตุระเบิดคาร์บอม 3 ตูมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค.55 ซึ่งสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตของประชาชนและทรัพย์สินจำนวนมาก นอกจากเสียงก่นด่าประณามการกระทำอันป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานของผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งจากประชาชนไทยพุทธและมุสลิมรวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศแล้ว    กระแสวิพากษ์จากหลายฝ่ายทั้งนักวิชาการและสื่อสำนักต่างๆ ถึงสาเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ล้วนมุ่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า    เกิดจากความพยายามบนความผิดพลาดของฝ่ายรัฐในส่วนงานต่างๆ ที่จะเจรจากับขบวนการ  ซึ่งเป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างทำ  กล่าวคือไม่มีการประสานงานหรือกำหนดทิศทางร่วมกันอย่างที่เรียกว่า “ไม่มีเอกภาพ”  หรือ “เจรจาไม่ถูกกลุ่ม”  หรือแม้แต่  “การดิสเครดิตกันเอง”
  ของฝ่ายรัฐทั้ง ศอ.บต. และฝ่ายความมั่นคง  ซึ่งก็เป็นมุมมองที่สามารถเห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์ได้ในประเทศเสรี


          อีกมุมมองที่หนักแน่นยิ่งกว่าและยังสรุปเท็จจริงไม่ได้   แต่มีเค้าโครงความเป็นไปได้คือ   เกมส์การเมืองของพรรคการเมืองหนึ่งที่พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา   ที่ได้อาศัยประเด็นนี้ในการชิงความได้เปรียบเพื่อปูทางสู่ถนนการเมืองที่สวยหรู   โดยหวังไกลไปถึงผลที่จะนำไปสู่การชนะเลือกตั้งครั้งต่อไปในพื้นที่ จชต. ด้วยความพยายามโดยใช้อดีตผู้บริหารประเทศของไทยที่คิดว่ามีบารมีเพียงพอ  แม้ว่าตอนนี้จะยังหลบหนีคดีอยู่นอกประเทศ และผู้มีอำนาจอีกคนที่กุมอำนาจการบริหารของฝ่ายพลเรือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งกำลังแสดงบทบาทนำในพื้นที่ จชต. โดยคิดว่าน่าจะเจรจาได้ผล  แอบย่องเข้าไปเจรจากับแกนนำโจรในมาเลเซีย   แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน  มิหน่ำซ้ำยังถูกเยาะเย้ยว่า  “เจรจาไม่ถูกคนถูกกลุ่ม”  บ้าง   หรือ  “ไม่ใช่ตัวจริง”  บ้าง   เลยทำให้   “ตัวจริง”  ต้องออกโรงมาสะกิดด้วยคาร์บอมทำนองว่า “ฉันอยู่นี่”



            หรืออีกนัยคือการแสดงออกถึงความไม่ต้องการเจรจาของขบวนการ 
            เพราะจุดยืนของขบวนการที่ฝ่ายความมั่นคงรู้มาโดยตลอดคือ  แกนนำใหญ่ของขบวนการไม่ต้องการเจรจา  ไม่ต้องการเขตปกครองพิเศษ  สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวคือ  “เอกราช”  ซึ่งหมายถึงการแบ่งแยกดินแดน

          การก่อเหตุระเบิดครั้งรุนแรงนี้จึงอาจเป็นการประกาศท่าทีว่า  "ตัวจริง"  ไม่เห็นด้วยกับการ  "พูดคุยสันติภาพ"  เพื่อมุ่งหาจุดยืนแห่งสันติโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ   หรือแม้แต่  "การเจรจา"  ที่อาจสามารถนำความต้องการของขบวนการมาสร้าง “ข้อต่อรอง”  กับฝ่ายความมั่นคงได้ก็ไม่ต้องการ

            ในกระแสการวิพากษ์ที่เชี่ยวกรากและยังหาข้อสรุปไม่ได้ข้างต้น  ก็ปรากฎเงาลางๆ  ของกลุ่มขบวนการเก่าคือ ขบวนการ  PULO   ซึ่งมีส่วนโยงใยกับกลุ่ม BRN. COORDINET ที่มีบทบาทนำในการก่อเหตุรุนแรงทารุณกรรมชาวบ้านในพื้นที่  โดยได้แสดงความเห็นแบบอ้อมแอ้มผ่านสื่อของตนว่า  PULO “ไม่ได้ร้องขอแต่ก็ไม่ปฏิเสธการเจรจา”   แต่กลุ่ม PULO นี้ทุกฝ่ายทั้งขบวนการด้วยกันและฝ่ายความมั่นคงทราบดีว่าเป็นเหมือน  “เสือกระดาษ” ที่คอยชุบมือเปิปแอบอ้างผลงานของกลุ่มโจรอื่นๆ     สร้างภาพการกดขี่พี่น้องมุสลิมในพื้นที่โดยรัฐบาลไทย โดยบิดเบือนเอาอย่างหน้าด้านๆ    ผ่านองค์กรมุสลิมในตะวันออกกลางและยุโรปเพื่อเรียกร้องเงินสนับสนุนจากประเทศในกลุ่มมุสลิม  มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มเป็นหลัก  และไม่ได้มีบทบาทนำ หรือเป็นกลุ่มอำนาจที่สามารถควบคุมสั่งการกองกำลังในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง 

            การออกมาแสดงความเห็นแบบคลุมเครือผ่านเว็บไซต์ของขบวนการเองถึงความต้องการเจรจาของ  PULO ครั้งนี้นัยว่ามีเจตนาแสดงตนเป็น “ตัวจริง”  เพื่อต่อรองกับรัฐไทย

            แต่เท่าที่สังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายความมั่นคงทุกฝ่ายแล้ว  งานนี้ฝ่ายรัฐคงจะรู้ดีว่าแผนการเล่น  “ปาหี่”  ชุบมือเปิปของ PULO  นั้นน่าจะไม่ได้ผล  เพราะไม่ว่าฝ่ายรัฐไทยหรือกลุ่มการเมืองฝ่ายใดที่ถูกนำมากล่าวอ้างว่าได้ไปเจรจากับขบวนการใดๆ มาแล้วก็ตาม  ถึงแม้ว่าความพยายามที่ผ่านมาท้ายที่สุดแล้วจะไม่ได้ผล  แต่ก็ยังไม่มีนามของ “เสือกระดาษผู้หิวโหย”  อย่าง PULO เลยซักคน 
              งานนี้จึงน่าจะกินแห้วไปตามระเบียบ  ก็โถ...ใครเค้าก็รู้กันลุ้ง

          นอกจากนี้พี่ใหญ่ฝ่ายความมั่นคงคือ  ผบ.ทบ. ยังออกโรงมาประกาศเปรี้ยงแบบฟันธงว่า  สำหรับกลุ่มโจรแล้วจะไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น  เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายและอาจเปิดช่องให้ต่อรองแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
           
            อย่างไรก็ดีการแสวงหาแนวทางสันติที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน  ในส่วนของซีกฝ่ายรัฐแล้วเป็นสิ่งยอดปรารถนาและยังคงมีความพยายามมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน  ไม่เฉพาะแค่เพียง 8 ปีที่ผ่านมาที่ไฟใต้เริ่มระอุขึ้นมาอีกครั้ง  

ข้างฝ่ายขบวนการนั้นเล่าก็ยังคงใช้แนวทางอุบาทว์เดิมๆ โดยการก่อเหตุร้ายเรียกร้องให้องค์กรจากประเทศต่างๆ เข้ามาแทรกแซงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแบ่งแยกดินแดน พร้อมๆกับการบิดเบือนข่าวสารเหตุการณ์ไปสู่ประชาคมโลก    ซึ่งในห้วงแรกๆ ของเหตุการณ์  ฝ่ายขบวนการนั้นดูจะได้เปรียบทุกประตู   แต่ช่วงหลังๆ เมื่อมีการก่อเหตุรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เลือกเป้าหมาย  ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น  ไม่มีการแสดงจุดยืนโดยการประกาศความรับผิดชอบ   และเนื่องจากขบวนการแบ่งเป็นหลายกลุ่มที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อเรียกรับเงินสนับสนุนของใครของมัน    จนบางครั้งแกนนำระดับสั่งการไม่สามารถควบคุมได้  ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์  ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกัน  

การสนับสนุนจากองค์กรมุสลิมต่างๆ เมื่อได้รับรู้ความเลวทรามของขบวนการมากขึ้น  ก็ทำให้การสนับสนุนหยุดชะงักลง  ล่าสุดจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ที่ผ่านมา  องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอาทิ  สหประชาชาติ  องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแม้แต่ องค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ OIC (Organization of Islamic Cooperation) ยังออกมาร่วมกันประณามการก่อเหตุของขบวนการอย่างพร้อมหน้า

พร้อมๆ กับกระแสการไม่เอาเหตุรุนแรงของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น  ซึ่งสวนทางกันกับผลที่ต้องการในสงครามแย่งชิงประชาชนที่ต่างฝ่ายต่างต้องการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุด  เพราะนั้นหมายถึง "ชัยชนะ"
            การเริ่มพูดถึงการเจรจาจึงเกิดขึ้น
           
            ถึงชั่วโมงนี้การเจรจาโดยไม่มีข้อต่อรองหรือเรียกว่าการ "พูดคุยเพื่อสันติภาพ" เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง    โดยการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพดูจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุดหากฝ่ายขบวนการนึกถึงความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นสำคัญ

            หากแต่การพูดคุยเพื่อสันติภาพนั้นตามหลักการคือการสร้างสมดุลย์เพื่อสร้างสันติภาพของสองฝ่ายโดยไม่มีข้อต่อรองของฝ่ายที่ต่อสู้กับฝ่ายรัฐ  ซึ่งหากฝ่ายหนึ่งคือขบวนการที่เป็นผู้สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด  จะด้วยข้ออ้าง (ที่ฟังไม่ขึ้น) ใดๆ ก็ตาม  การที่สันติสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่ขบวนการต้องยุติการก่อเหตุรุนแรงนั่นเอง   แล้วมาร่วมกันสร้างสรรค์ฟื้นฟูบ้านเมืองด้วยแนวทางสันติ  ซึ่งสามารถเริ่มได้ด้วยการ “พูดคุยเพื่อสันติภาพ”  มิใช่ “การเจรจา”  เหนือสิ่งอื่นใดฝ่ายรัฐต้องค้นหาและพูดคุยกับขบวนการ “ตัวจริง” เท่านั้น  มิใช่พูดคุยกับฝ่ายการเมืองที่เข้ามาสมอ้าง หรือ  “เสือกระดาษหิวเงิน” ซึ่งนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับกลุ่มคนที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้นด้วย

            แต่คำถามคือ....รู้รึเปล่าว่าใครล่ะที่เป็น....  “ตัวจริง” ?
             
ซอเก๊าะ  นิรนาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น