การเข่นฆ่าประหัตประหารกันระหว่างผู้ถืออาวุธทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายเจ้าหน้าที่ และขบวนการ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้นั้น หากเป็นสนามรบปกติและมองอย่างผิวเผินแล้วแน่นอนว่าผู้ที่บาดเจ็บล้มตายก็คือคนจากทั้งสองฝ่ายนั้นเอง แต่ที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยมีความแตกต่าง เพราะที่นี่ผู้ก่อเหตุมักยิงและวางระเบิดบนถนน ในเขตเมืองและทุกสถานที่ซึ่งแน่นอนว่าทุกที่นั้นไม่ได้มีเฉพาะคนสองฝ่าย แต่มีประชาชนที่ไม่รู้เรื่องราวใช้ชีวิตร่วมอยู่ด้วย และเป็นธรรมดาอยู่เองที่การต่อสู้ย่อมเปรียบเหมือนการสาดน้ำเข้าหากัน ใครก็ตามที่อยู่ในพื้นที่นั้นย่อมต้องเปียกปอนไปบ้างไม่มากก็น้อย และหากใครคนนั้นเป็นประชาชนที่บังเอิญมาอยู่ผิดที่ผิดเวลาการบาดเจ็บล้มตายอย่างไม่ควรจะเป็นก็ย่อมเกิดได้ และที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นมาโดยต่อเนื่อง
วันนี้บังเอิญได้พบกับสกู๊ปข่าวหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏนามผู้เขียน ได้นำเสนอในประเด็นเกี่ยวกับผลกระทบจากการปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายที่ส่งผลถึงประชาชนในพื้นที่ภายใต้วาทกรรม “การกระทำที่ผิดพลาด” ซึ่งได้ถูกร้อยเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และนำเสนออย่างเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างน่าชื่นชม พร้อมทิ้งคำถามถึงกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ชนิดที่อยากทราบเหมือนกันว่าจะตอบคำถามที่ว่าอย่างไร ลองพิจารณาดูกัน
ที่มา fatonionline : Wednesday , 21 มี.ค. 2555
‘ความรุนแรง’ ที่ชายแดนใต้ จาก ‘ ปุโละปุโย’ ถึง ‘ปิตูมุดี’ กับ 'คำถาม' ถึง ‘เอ็นจีโอ’??
ในรอบ 2 เดือนมานี้ สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ณ ปลายด้ามขวาน ซึ่งเป็นที่วิพากย์วิจารณ์กันหนักหน่วงรุนแรงหนีไม่พ้นกรณี ‘ปุโละปุโย’!!
เหตุเกิดในคืนวันที่ 29 ม.ค.2555 เมื่อกำลังพลของกองร้อยทหารพรานที่ 4302 ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 และอาก้ายิงใส่รถกระบะต้องสงสัย บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 418 ท้องที่บ้านกาหยี ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บอีก 4 ราย
ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่อยู่ในรถกระบะ ถึงวันนี้ผลสอบจาก ‘คณะกรรม การอิสระ’ ตรวจสอบข้อเท็จจริงปม 4 ศพปุโละปุโย ได้การันตีแล้วว่า ‘ชาวบ้านเป็นผู้บริสุทธิ์’ไม่พบประวัติเชื่อมโยงก่อความไม่สงบ และไม่มีหลักฐานการใช้อาวุธ ส่วนทหารพราน “สำคัญผิด” ทำให้เกิดความสูญเสียขึ้น ต้นเหตุจากเสียงปืนนัดแรกที่หาที่มาไม่ได้ ส่วนปืนในรถชาวบ้านยังคงเป็นปริศนา
ความหมายของคำว่า “สำคัญผิด” ในรายงานของ ‘คณะกรรมการอิสระ’ นั้นหนีไม่พ้นคำว่า ‘ผิดพลาด’ อันเกิดจากปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐที่ส่งผลให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งหลังจากนี้คงจะมีการเยียวยาหรือดำเนินการตามขั้นตอนกันต่อไป และจากเหตุการณ์ครั้งนี้คงเป็นอุทาหรณ์ครั้งสำคัญที่จะทำให้ ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ ระมัดระวังมากขึ้นในยามที่ต้องใช้ ‘กำลัง’
กระนั้น ‘เหตุรุนแรง’ อันเกิดจากการใช้กำลังที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน ‘ผู้บริสุทธิ์’ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ต้องมาบาดเจ็บล้มตายนั้นก็มิใช่มาจากฝีมือ ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ แต่เพียงฝ่ายเดียว
เพราะในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ยังมี ‘กองกำลัง’ ของ ‘ขบวนการ’ อีกฝ่ายหนึ่งที่เป็น ‘ผู้ถืออาวุธ’ ด้วยเช่นกัน
อีกทั้งการที่ ‘ขบวนการ’ ใช้รูปแบบสงคราม ‘กองโจร’ คอยซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ปฏิบัติการใน ‘เมือง’ หรือในชุมชน ดังนั้นจึงยิ่งส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ล่าสุด ผลจากปฏิบัติการที่ ‘ผิดพลาด’ ของฝ่ายขบวนการฯ ได้คร่าชีวิตของ ‘อาปือเสาะ สาเด๊ะ’ อายุ 19 ปี นักเรียนหญิงจากโรงเรียน ‘ประสานวิทยามูลนิธิ’ จากเหตุระเบิด เมื่อวันเสาร์ที่ 17 มี.ค.2555 เวลาประมาณ 11.15 น.บนถนนสายบาซาเอ-คลองใหม่ บริเวณบ้านเกาะแน หมู่ 4 ต.ปิตูมุดี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
แน่นอนว่า ‘ระเบิดแสวงเครื่อง’ ที่คนร้ายนำมาวางซุกซ่อนไว้ริมถนนนั้น ‘เป้าหมาย’ ย่อมมิใช่นักเรียนที่กำลังจะเดินทางกลับบ้าน หากแต่เป็นกำลังพลจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 44 ที่กำลังเดินทางโดยรถบัสเพื่อไปร่วมพิธีพระราช ทานดินฝังศพ ‘ดาโอ๊ะ บอฮอ’ เพื่อนอาสาสมัครทหารพราน เสียชีวิตจากเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่กูโบร์โต๊ะการี บ้านกอตอรานอ หมู่ 1 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
แต่เมื่อระเบิดทำงานก่อนที่รถบัสจะแล่นผ่าน ผู้ที่รับเคราะห์จึงเป็นเด็กนักเรียนหญิงที่กำลังเดินทางกลับบ้านและขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี ถูกสะเก็ดระเบิดจนเสียชีวิต 1 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 4 คน !!
อีกทั้งก่อนหน้านั้นเพียง 2 วัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มี.ค.เวลา 09.50 น.ฝ่ายขบวนการก็ปฏิบัติการผิดพลาดมาแล้วหนหนึ่ง ทำให้ชาวบ้านที่ขี่รถจักรยานยนต์สัญจรผ่านไปมาเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 1 ราย
เมื่อระเบิดที่ติดตั้งไว้ในรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์บอมบ์) บริเวณหน้ากุโบร์บ้านกาฮง ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ท้องที่บ้านกาฮง หมู่ 4 ต.บาราเฮาะ อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยเป้าหมายคือ หวังสังหารเจ้าหน้าที่ทหาร กองร้อยทหารราบที่ 1311 หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 21 ที่กำลังเดินทางกลับจากซื้อเสบียงในพื้นที่ อ.เมืองปัตตานี มุ่งหน้ากลับฐาน
เมื่อรถทหารแล่นผ่านบริเวณหน้ากุโบร์บ้านกาฮง คนร้ายได้จุดชนวนระเบิด แต่ปรากฏว่านายแวอับดุลอาซิส และนายเปาซี ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี ทำให้โดนแรงอัดของระเบิดจนนายเปาซีเสียชีวิต ส่วนนายแวอับดุลอาซิสได้รับบาดเจ็บ ส่วนกำลังพลของทหารปลอดภัย
ดังนั้น ระหว่างเหตุ ‘ปุโละปุโย’ ที่ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตไปถึง 4 คน บาดเจ็บอีก 4 คน กับเหตุที่ ‘ปิตูมุดี’ ที่ทำให้นักเรียนหญิงเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บอีก 4 คน และเหตุหน้ากุโบร์บ้านกาฮงนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายไหนแต่ก็ล้วนทำให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องมารับกรรม
จึงกล่าวได้ว่าทั้ง 3 เหตุการณ์นี้ แม้จะเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ มีทั้งความ ‘เหมือน’ และความ ‘ต่าง’
...แต่ก็มีบางแง่มุมที่มีความเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน !!
เหตุ ‘ปุโละปุโย’ นั้นเกิดจากฝีมือ ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ ส่วนเหตุที่ ‘ปิตูมุดี’ และหน้ากุโบร์บ้านกาฮง นั้นเป็นฝีมือของ ‘ขบวนการ’ กระนั้นในความ ‘ต่าง’ ของผู้ลงมือ ก็มีความ ‘เหมือน’ ในผลงานซึ่งก็คือ ‘ความผิดพลาด’ ในปฏิบัติการ !!และผลจากความผิดพลาดนั้น ก็ส่งให้ ‘ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์’ ต้องมาบาดเจ็บล้มตาย ‘เหมือนๆ’ กัน !!
ซึ่งความจริงแล้ว ไม่ว่าความผิดพลาดนั้นจะเกิดจากน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือฝ่ายขบวนการ ต่างสมควร
ถูกก่นด่าด้วยกันทั้งสิ้น!!
เพราะทุกครั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นล้วนไปตกกับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อยู่ร่ำไป!!
แล้วยิ่งสำหรับภาค‘ประชาสังคม’ หรือ ‘เอ็นจีโอ’ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนชาวบ้านในการต่อสู้ เรียกร้องสิทธิต่างๆ นั้น ก็จำเป็นต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทตนเองอย่างจริงจังด้วยเช่นกันเพราะตลอดระยะที่ผ่านมา แว่วเสียงเพรียกหา ‘ความเป็นธรรม’ และเรียกร้อง ‘ความรับผิดชอบ’ ที่ดังกระหึ่มมาจากภาค ‘ประชาสังคม’ หรือ ‘เอ็นจีโอ’ นั้น ประหนึ่งว่าจะพุ่งเป้าไปยัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ มากกว่าฝ่าย ‘ขบวนการ’ !!
สังเกตุได้จากกรณี ‘ปุโละปุโย’นับตั้งแต่คืนแรกที่เกิดเหตุ ก็ยังมีกระบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องมาจนถึงวันนี้
แต่กลับกันในกรณี ‘ปิตูมุดี’ และ ‘กุโบร์บ้านกาฮง’ เสียงจาก ‘เอ็นจีโอ’ กลับ ‘เงียบหาย’ ไปเฉยๆ !!
ทั้งที่ 2 กรณีนี้ก็เป็นความ ‘ผิดพลาด’ อันเกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงที่ทำให้ชาวบ้านต้องมาเสียชีวิตและบาดเจ็บ ไม่ต่างไปจากกรณี ‘ปุโละปุโย’ ??
แต่ทำไมโทนเสียงเรียกร้อง ‘ความเป็นธรรม’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ จึงแตกต่างกัน??
นัยคำถามสำคัญนี้จึงพุ่งไปยังบทบาทของ ‘ประชาสังคม’ หรือ ‘เอ็นจีโอ’ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในชายแดนภาคใต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะความจริงก็คือ การมุ่งโจมตีหรือประณามเจ้าหน้าที่รัฐแต่ฝ่ายเดียวโดยละเว้นที่จะกล่าวถึงการกระทำของฝ่ายขบวนการนั้น ย่อมไม่อาจสร้าง ‘สันติภาพ’ ใน ‘จินตนาการ’ ของ ‘เอ็นจีโอ’ ให้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน คือ กดดัน ทั้ง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’ และ ‘ขบวนการ’ ให้เลิกใช้ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อลดการกระทำอันส่งผลกระทบต่อชาวบ้านผู้บริสุทธิ์...นั่นจึงจะเป็นการเริ่มต้นสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนกว่า !!
ขอปรบมือให้ยาวๆ สำหรับบทวิเคราะห์ที่ได้แสดงออกถึงความเป็นกลางซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนมีจรรยาบรรณและจิตวิญาณของสื่อมวลชนอย่างล้นเปี่ยมที่หาได้ยากยิ่งในสงครามข่าวสารบนเวทีแห่งนี้ แม้จะถูกทิ้งท้ายว่าเป็นความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับกองบรรณาธิการ
ขอเพิ่มเติมซักนิดว่า “ความผิดพลาด” ที่เกิดขึ้นนั้น ในส่วนของกรณี “ปุโละปุโย” หากมองอย่างเป็นธรรมก็น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้ภาวะกดดัน ทั้งจากสัญชาตญาณการป้องกันตัวและการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องทำ เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็น “ความสำคัญผิด” ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานทำให้เกิดความผิด พลาดขึ้น แต่ในส่วนกรณี “กุโบร์บ้านกาฮง’ และ เด็กหญิงที่เสียชีวิต เป็นการกระทำที่ได้มีการวางแผนเตรียมการมาเป็นอย่างดี มุ่งเป้าหมายเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ แต่ด้วยความผิดพลาดที่อาจเกิดจากความอ่อนหัดของขบวนการทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้ก็น่าคิดว่าหากนำมาหักล้างกันแล้ว นักสิทธิมนุษยชนจะยังคงตั้งหน้าตั้งตาด่าเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างผลงานฝ่ายเดียวต่อไปหรือไม่
ฝากถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ซึ่งที่เห็นแสดงบทบาทนำก็มีอยู่เพียง 2 องค์กรหลักคือ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ที่มีจุดยืนเป็นกระต่ายขาเดียวที่เป็นปากเป็นเสียงให้ฝ่ายขบวนการและประณามอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็คือฝ่ายความมั่นคงอย่างชัดเจน ลองออกมาตอบคำถามนี้ให้กระจ่างหน่อยเป็นไร อย่าเดินเอียงเอาข้างเข้าถู หลับหูหลับตาด่าปาวๆ อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชนโดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงเพียงเพื่อหวังสร้างผลงานและขอเงินสนับสนุน ลืมไปแล้วหรือว่าบทบาทที่สำคัญในฐานะ NGOs ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรคืออะไร หรืออะไรมันบังตาจนมองเห็นแต่กำไรอย่างเดียว กำไรที่ได้จากชีวิตคนน่ะ ระวังนะ บาปกรรมมันจะตามทัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น