สองศาสนา สองวัฒนธรรมผสานสัมพันธ์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
-----------------------------------------------------------------
โดย..บินหลา ปัตตานี
ในห้วง ๔ เดือน โดยประมาณตั้งแต่ เดือน
มิ.ย.-ก.ย. จะเป็นห้วงเดือนแห่งบุญของทั้งศาสนาอิสลาม และศาสนาพุทธ
กล่าวคือของศาสนาอิสลามจะเป็นห้วงของการบวชหรือถือศีลอด ของศาสนาพุทธจะเป็นห้วงของการเข้าพรรษาซึ่งศาสนิกของทั้งสองศาสนา
จะบำเพ็ญบุญมุ่งกระทำความดีอยู่ในหลักปฏิบัติของแต่ละศาสนา
ในปี
ฮ.ศ.๑๔๓๕ เดือนรอมฎอนอยู่ในห้วง ๒๙ มิ.ย.-๒๗ พ.ค.๕๗ ผู้นับถือศาสนาจะถือศีลอดหรือปอซอและปฏิบัติตามหลักของศาสนาอิสลามใน ๒๘ ก.ค.๕๗
จะเป็นวันฮารีรายออีดิลฟิตรี หรือวันอีดเป็นวันออกจากการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม
จะมีการจัดงานรื่นเริงฉลองกัน ซึ่งมีประเพณีปฏิบัติกัน ๓ วัน คือวันแรก จะเป็นวันพบปะ
พี่น้องมุสลิมจะเดินทางกลับบ้านหาครอบครัว วันที่ ๒ เป็นวันหาญาติ
จะเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ในวันที่
๓ จะเป็นวันฉลอง จะเดินทางไปท่องเที่ยวกัน ในวันรายอ อีดิลฟิตรี จะมีการปฏิบัติสำคัญอีกประการหนึ่ง
คือการจ่ายซะกาตหรือการจ่ายภาษีศาสนา เพื่อนำไปให้กับผู้มีสิทธิได้รับ ๘ ประเภท
อาทิ คนจน และคนขัดสน หลังวันรายออีดิลฟิตรีจะมีการถือศีลอดต่ออีก ๖ วัน
ในหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องปฏิบัติแต่ถ้าผู้ใดสามารถปฏิบัติได้ต่ออีก
๖ วัน จะถือว่าถือศีลอดทั้งปีเป็นประเพณีที่ พี่น้องมุสลิมปฏิบัติกันไม่มีระบุในหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลาม ในวันที่
๗ จะเป็นวันออกจากศีลอดเรียกว่า รายอแน อิสลามิกชน จะทำอาหารเลี้ยงกัน ทำบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ไปเยี่ยมและทำความสะอาดที่ฝังศพหรือกุโบร์และอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน
หลังจากวันรายอแน จะเป็นห้วงของการเดินทางไปอมเราะห์และ ประกอบพิธีฮัจญ์ ณ
นครเมกกะ ถือเป็นความฝันสูงสุดของผู้นับถือศาสนาอิสลาม หลังจากห้วงการทำพิธีฮัจญ์
จะเป็นวันรายออีดิลฮัฎฮา เป็นการเฉลิมฉลองในการทำฮัจญ์ ซึ่งในปี ๒๕๕๗ ตรงกับวันที่
๔ ต.ค.๕๗ จะมีการทำ กุรบ่าน หรือการเชือดสัตว์พลี เพื่ออัลลอฮ
เนื้อสัตว์ที่ทำกรุบ่านจะแจกจ่ายแก่คนยากจน และเพื่อนบ้านซึ่งจะทำหลังละหมาดอีดิลอัฎฮาแล้ว
โดยสามารถทำกุรบ่านได้อีก ๓ วัน หลังวันอีดอัฎฮา เรียกว่าวันตัชรีท
ในห้วงเดียวกันของศาสนาพุทธ
จะมีวันสำคัญคือ อาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาซึ่งในปี พ.ศ.๒๕๕๗ ในวันที่ ๑๑ ก.ค.๕๗ ตรงกับวันอาสาฬหบูชา
เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาพุทธ
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกแก่ปัญจวัคคีย์
ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๘ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย เป็นวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นครั้งแรก
ทำให้มีพระรัตนตรัยครบสมบูรณ์เป็นครั้งแรกคือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ สำหรับเทศกาลเข้าพรรษาอยู่ในห้วงวันที่ ๑๒ ก.ค.- ๘
ต.ค.๕๗ โดยวันที่ ๑๒ ก.ค. เป็นวันเข้าพรรษาวันที่ ๘ ต.ค. เป็นวันออกพรรษา
เป็นห้วงที่พระสงฆ์จะจำพรรษาอยู่กับวัด ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา ๓ เดือน
พระสงฆ์จะประพฤติปฏิบัติธรรมและศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
ศาสนิกชนผู้นับถือศาสนาพุทธ จะมุ่งในการบำเพ็ญกุศล อยู่ในศีลในธรรม ทำบุญตักบาตร
เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม และนำบุตรหลานเพศชายที่อายุครบ ๒๐ ปี บวชในห้วงนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่สำคัญเช่นการถวายผ้าอาบน้ำฝน
การหล่อเทียนพรรษา การถวายเทียนพรรษา และการตักบาตรเทโว สำหรับใน จชต.
ในวันออกพรรษาจะมีประเพณี ชักพระหรือ ลากพระซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันเรื่อยมา
จะเห็นว่าห้วงรอมฎอนของศาสนาอิสลาม
และห้วงเข้าพรรษาของศาสนาพุทธอยู่ในห้วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน
มีการปฏิบัติที่สอดคล้องกันคือ มุ่งให้ศาสนิกชนตั้งอยู่ในการทำความดี
ปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา รู้จักเสียสละและให้ทานกับผู้ที่ด้อยกว่า แม้สองศาสนา
วิธีการและรายละเอียดอาจต่างกัน แต่เป้าหมายสุดท้ายเหมือนกันคือสั่งสอนให้คนเป็นคนดี
จะเห็นว่าคนโบราณหรือบรรพบุรุษของพวกเราทั้งสองศาสนา
ได้มีวิสัยทัศน์หรือกุศโลบายที่ดีที่จะให้พี่น้องไทยพุทธและมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจของแต่ละศาสนาที่สอดคล้องกัน
ถึงแม้จะต่างศาสนาและวัฒนธรรมแต่ก็ประสานกลมกลืนกันอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
จะเห็นว่าในอดีตพี่น้องไทยพุทธ และมุสลิมจะไปร่วมงานบุญกันโดยตลอด เช่น พี่น้องไทยพุทธนำของหวานและอาหารไปมอบให้พี่น้องมุสลิมในการเปิดปอซอและรับประทานอาหารร่วมกัน
พี่น้องมุสลิมมาร่วมงานบุญพรรษา เป็นต้น นอกจากนี้ยังร่วมกิจกรรมทางวัฒนธรรมและวันสำคัญของพี่น้องทั้งสองศาสนาอย่างสม่ำเสมอซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็น
วิถีชีวิตที่ผสมผสานกลมกลืนบรรยากาศและภาพความสุขของพี่น้องทั้งสองศาสนาได้ผ่านพ้นไป
เมื่อกลุ่มขบวนการเข้ามาปลุกระดมบ่มเพาะ สร้างความแตกแยกระหว่างพี่น้องไทยพุทธและมุสลิมตลอดจนใส่ร้าย
จนท.รัฐ โดยใช้อัตลักษณ์ ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์,ภาษาและศาสนามาบิดเบือนสร้างเงื่อนไขให้เกิดความแตกแยกในสังคม
และก่อเหตุสร้างสถานการณ์เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธและมุสลิมตลอดจนผู้นำศาสนาอิสลามที่ให้การสนับสนุน
จนท.รัฐ เพื่อให้เกิดความหวาดกลัวไม่กล้าสนับสนุนหรือให้ข่าวสารกับ จนท.
และในบางครั้งยังบิดเบือนว่า จนท. กระทำเพื่อให้ประชาชนเกลียดชัง จนท.
ในเรื่องของพี่น้องไทยพุทธและมุสลิมไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาและร่วมงานประเพณีวัฒนธรรมของกันและกันนั้น
สอบถามจากผู้นำศาสนาหลายๆ ท่านและจากคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดในหลายๆ จังหวัด แล้วยืนยันว่าไม่ผิดหลักศาสนาอิสลาม ในหลายๆ
เรื่องสามารถปฏิบัติร่วมกันได้ เช่น พี่น้องมุสลิมใส่บาตรพระสงฆ์
ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ในหลักศาสนาอิสลามถือว่าเป็นการบริจาคทานหรือ ศอดาเกาะฮ
ตัวอย่างดีๆ
ในปัจจุบันที่สื่อให้เห็นว่าสองศาสนาอาจมีความแตกต่างกัน แต่ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกเพราะทุกศาสนาสอนให้ทำความดี
ไม่เข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น ไม่เบียดเบียนและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นมีความเมตตาปราณี และเสียสละต่อผู้อื่นเหมือนกัน
ตัวอย่างการอยู่ร่วมกันแบบพหุสังคมวัฒนธรรม เช่น พระครูโสภิต โพธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ จ.ปัตตานี กับ ยะโก๊ะ มิหนา
อิหม่าม ประจำมัสยิดบ้านสามยอด ม.๘ ต.โคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
เพื่อนรักกัน ไม่มีแยกศาสนา อยู่ร่วมกันบนความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมและร่วมกันทำความดีในการพัฒนาพื้นที่และอบรมสั่งสอนให้ประชาชนในพื้นที่เป็นคนดีของสังคม
และกรณีของ
พระวีระ สิทธิฤทธิ์กวิน พระลูกวัดตานีนรสโมสร อ.เมือง จ.ปัตตานี กับคุณตา อุเส็ง
เจ๊ะหลา จิตอาสาชาวไทยมุสลิม อายุ ๗๘ ปี อาศัยอยู่ที่ อ.เมือง จ.ปัตตานี กิจวัตรประจำของคุณตาอุเส็ง
จะนำสามล้อคู่ใจคอยตามรับ-ส่งพระวีระออกบิณฑบาต และช่วยเหลือในการยกสิ่งของต่างๆ
ด้วยความสมัครใจโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
เป็นการเชื่อมมิตรภาพของทั้งสองศาสนา ซึ่งไม่มีใครตำหนิติเตียน
ชาวบ้านรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจต่อภาพที่เห็นแม้ทั้งสองอาจฟังกันไม่รู้เรื่องบ้าง
เพราะถนัดคนละภาษา แต่สื่อกันได้ด้วยการทำความดี การปฏิบัติของคุณตาอุเส็งฯ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ทำได้
ไม่ได้ขัดต่อหลักศาสนา
เพราะศาสนามุสลิมสอนให้มุสลิมเรียนรู้ศาสนารอบข้างและวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ปิดกั้นตนเอง
ศาสนาอิสลามถือว่าความเมตตาเป็นสิ่งที่สำคัญ
ภาพความปรองดองของสองศาสนาระหว่างศาสนาพุทธและอิสลามซึ่งมีอยู่ทั่วไปในสังคม จชต.
เพราะการอยู่ในสังคม การอยู่ในความดีงาม ความเมตตาไม่ได้จำกัดเฉพาะศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
และปฏิบัติต่อคนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น สามารถกระทำความดีและมีเมตตาต่อคนศาสนาอื่นๆ
ได้ด้วยเช่นกัน แต่ปัจจุบันเรามักไม่ค่อยเห็นภาพเช่นนี้ เนื่องจากประชาชนได้แต่คิดแต่ไม่กล้าทำเพราะกลัวอันตรายจาก
ผกร. ถ้า ผกร.หมดไป มิตรภาพและความสงบสุขจะกลับคืนมาสู่พี่น้องใน จชต. อีกครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น