7/04/2557

“รอมฎอน” เดือนแห่งความดีงาม ไม่ใช่เดือนแห่งการก่อการร้าย และ การเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์

        

  

           ข้อเท็จจริงเดือน รอมฎอนเป็นเดือนแห่งความบริสุทธิ์ เป็นเดือนแห่งความดีงามของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่จะต้องใช้เวลาในการปฏิบัติศาสนกิจในเดือน รอมฎอนอย่างเคร่งครัด ตามบทบัญญัติของศาสดา ที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นในเดือนรอมฎอนจึงไม่ควรที่จะมีการทำลายล้าง และเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เกิดขึ้น อย่างที่ได้เกิดขึ้นแล้วในทุกๆปีของเดือนแห่งความดีงาม
             เหตุที่เกิดมาจาก แกนนำได้ปฏิบัติการ ฝังชิปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ แนวร่วมหลงผิด โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการบิดเบือน ใช้ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ เป็นเครื่องมือปลุกเร้าให้ แนวร่วมหลงผิด และเข้าใจว่า การทำลายล้าง เข่นฆ่า ผู้ที่เป็น ปริปักษ์กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน ในเดือนรอมฎอน จะได้บุญมากกว่าปกติถึง 10 เท่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการทำให้ แนวร่วมหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ จนนำมาถึงการปฏิบัติการการก่อการร้ายด้วยความรุนแรง และโหดเหี้ยม อย่างที่เป็นอยู่ โดยอาศัย สัญลักษณ์ความสำคัญของศาสนา คือ เดือน รอมฎอนนั่นเอง
              และตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ผ่านมา ที่หน่วยงานของรัฐปล่อยให้มี คาร์บอมและปล่อยให้มีการใช้เดือน รอมฎอนซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของศาสนา เป็น เครื่องมือในการก่อการร้าย เนื่องจากหน่วยงานของ รัฐละเลยในเรื่องสำคัญ 2 ประการ
                 ประการแรก เป็นที่รู้กันนานแล้วว่า  รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนนำมาใช้ในการก่อการร้าย ทั้งใช้เป็นยานพาหนะในการปฏิบัติการโจมตีเจ้าหน้าที่และประชาชน มาจากอู่รถยนต์และเต็นท์รถยนต์ส่วนหนึ่งในพื้นที่ 3 จังหวัด ซึ่งใน 3 จังหวัด มีเต็นท์รถยนต์มือสองและอู่ซ่อมรถยนต์เป็นจำนวนหลายร้อยแห่ง ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน ตำบล และ ตัวอำเภอ และส่วนหนึ่งของอู่ของเต็นท์เป็นเครือข่ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและค้ายาเสพติด แต่ กอ.รมน. และ ศชต. ไม่เคยมีแผนในการจัดระเบียบ ควบคุม อู่รถและเต็นท์รถเหล่านี้ เพื่อมิให้เป็นที่ดัดแปลง เป็นที่ซุกซ่อน ของรถยนต์ที่มาใช้ทำคาร์บอม และใช้เป็นยานพาหนะในการเข่นฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชน รวมทั้งไม่มีแผนควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิด ไม่ว่าจะเป็นถังแก๊สและอุปกรณ์อื่นๆ
                 ประการที่สอง กอ.รมน. ไม่ประสพความสำเร็จในการขอความร่วมมือ หรือขอความช่วยเหลือ จากผู้นำศาสนา จากผู้รู้ศาสนา และ ผู้สอนศาสนา ในการรณรงค์เผยแพร่ข้อเท็จจริงในเรื่องของศาสนา เพื่อให้มีการเข้าใจที่ถูกต้องว่า การก่อเหตุร้ายในช่วงเดือน รอมฎอนเป็นเรื่องผิด ทั้งในหลักของศาสนา กฎหมาย ศีลธรรม และ มนุษยธรรม 8 ปี ผ่านไป หน่วยงานของรัฐขาดความร่วมมือจากผู้นำศาสนา ผู้สอนศาสนา และ ผู้รู้เรื่องของศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานที่รัฐผิดชอบในการแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ กอ.รมน. จนถึงหน่วยงานอื่นๆ ต้องกลับไป พิจารณานโยบายของหน่วยใหม่อีกครั้งว่า ทำไมจึงไม่ทำ หรือ ทำไมจึงทำไม่สำเร็จ และหาวิธีการในการทำให้ได้ เพราะ หากยังปล่อยให้ แกนนำโฆษณาชวนเชื่อ โดยการนำหลักคำสอนศาสนามาบิดเบือนอย่างได้ผล ทุกปีที่เข้าสู่เดือนรอมฎอนที่เป็นเดือนแห่งความบริสุทธิ์ ความดีงาม ก็จะกลายเป็นเดือนแห่งความ โหดร้ายอย่างไม่จบสิ้น
                สิ่งที่จะต้องทำ คือ หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะผู้นำศาสนา ต้องกล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็น คัดค้าน แกนนำนอกศาสนา ที่ปลุกระดมให้มีการสร้างความรุนแรงว่าจะได้บุญ 10 เท่าว่าเป็นสิ่งที่ผิด เป็น บาปและต้องร่วมกันประณามการกระทำของ แนวร่วมที่ออกมาก่อความไม่สงบอย่างพร้อมเพรียงกัน อย่าปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐทำแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ฝ่ายศาสนาต่างนิ่งเฉย ทั้งที่รู้ดีว่า สิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก
              สุดท้าย รัฐบาลและ กองทัพต้องยอมรับความจริงว่า วันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องการก่อความไม่สงบ แต่เป็นเรื่อง การก่อการร้ายอย่าได้ ปิดฟ้าด้วยฝ่ามืออีกต่อไป และเมื่อสถานการณ์ คือ การก่อการร้าย ยุทธวิธีที่ใช้ต้องเป็น ยุทธวิธีที่รับมือการก่อการร้าย จึงจะสามารถควบคุมสถานการณ์ และเปิด เกมรุกตอบโต้ขบวนการอย่างได้ผล แต่หากทุกฝ่ายยังปกปิดความจริง เกรงการเปิดเผยความจริง และไม่ยอมรับความจริง อย่างที่เป็นอยู่ อีกไม่ช้า คาร์บอมจะเกิดขึ้นในทุกย่านเศรษฐกิจ การค้า เพราะ ธงของขบวนการ คือ การ ทำลายพื้นที่เศรษฐกิจ ขับไล่ พ่อค้า นักธุรกิจ นักลงทุน ที่เป็นไทยพุทธ และ คนไทยเชื้อสายจีน ออกจากพื้นที่ เพื่อการมีอิทธิพลเหนือประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาค ใต้ตาม ยุทธศาสตร์การแบ่งแยกดินแดนนั่นเอง

ไชยยงค์ มณีพิลึก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น