"กะ กันดา"
เพจ: Patani Peace สันติภาพปาตานี หากใครติดตามและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวในการโพสต์น่าสนใจเลยทีเดียว
ที่กล่าวว่าน่าสนใจก็คือ การที่เพจนี้บิดเบือนความจริงอย่างหน้าซื่อๆ จากหน้ามือเป็นหลังมือกล่าวอ้างอย่างมั่วๆ
ล่าสุดกับการกล่าวถึงกองกำลังทหารพราน ชุดดำ ไม่ทราบหน่วย ไม่แสดงตัว เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่บ้านท่าด่าน อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี
และได้คุมตัวชาวบ้านคนหนึ่งไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อวันอาทิตย์ที่
1 เมษายน 2561
อีกทั้งยังได้ทำการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทหารว่ามักจะคุกคามชาวบ้านท่าด่านอยู่บ่อยครั้ง
เพจดังกล่าวคิดเองเออเองว่าชาวบ้านรู้สึกไม่ปลอดภัย
และรู้สึกเกลียดชังกองกำลังทหารมากยิ่งขึ้น เพราะมักใช้อำนาจพิเศษคุกคามชาวบ้าน
แม้ไม่มีเหตุการณ์หรือไม่มีสาเหตุ ก็มักชอบมาคุมตัวชาวบ้านที่นี่ตลอด
ขณะที่รัฐบาลกำลังเจรจาสันติภาพกับองค์กร MARA Patani แต่กองกำลังในพื้นที่ปฏิบัติไม่เป็นมิตรกับประชาชน
สวนทางกับการเจรจาสันติภาพ
การเคลื่อนไหวดังกล่าวของ
เพจ: Patani Peace สันติภาพปาตานี หากพิจารณาข้อความที่ใช้มุ่งสร้างความสับสนของข้อมูล
กองกำลังที่ไม่ทราบหน่วย คุมตัวชาวบ้านโดยไม่ทราบสาเหตุ
เป็นการคุกคามจนชาวบ้านรู้สึกไม่ปลอดภัย
เกลียดชังเจ้าหน้าที่ทหารในการใช้กฎหมายพิเศษอีกทั้งเจ้าหน้าที่ทหารไม่เป็นมิตรกับประชาชน
และสวนทางกับกระบวนการเจรจาสันติภาพ ถามว่าข้อความทั้งหมดที่ทำการโพสต์ เพื่อ.....
ข้อมูลที่ทำการสื่อออกไปได้สร้างความรู้สึกเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่
หากผู้ที่บริโภคข่าวสารรับรู้ข้อมูลเพียงด้านเดียวจะทำให้เกิดการต่อต้านอำนาจรัฐ
รู้สึกว่ามีการคุกคามและไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าวพบว่า
เป็นการบังคับใช้กฎหมายในการพิสูจน์ทราบบุคคลเป้าหมาย สืบเนื่องมาจากผลการซักถาม
ซึ่งกระบวนการขั้นตอนในการเข้าทำการพิสูจน์ทราบนั้นมีการแสดงตนต่อเจ้าของบ้านที่ทำการตรวจค้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ที่สำคัญมีบันทึกการตรวจค้น โดยให้ หัวหน้าชุดตรวจค้น ผู้ตรวจค้น และเจ้าของบ้าน จะต้องลงลายมือชื่อในการตรวจค้นทุกครั้ง
การบังคับใช้กฎหมายในการพิสูจน์ทราบบุคคลเป้าหมายในวันดังกล่าว
ทราบว่าเป็นการปฏิบัติภารกิจของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 42 ไม่ใช่แค่บ้านท่าด่าน
เพียงที่เดียวเท่านั้น แต่พื้นที่ปฏิบัติการในวันนั้น เป็นพื้นที่ใน อ.ยะหริ่ง 6 เป้าหมายด้วยกัน
ไม่ใช่ อ.ปะนาเระตามที่เพจ: Patani Peace สันติภาพปาตานีได้ทำการโพสต์
และสามารถควบคุมตัวบุคคลเป้าหมายได้ 1 ราย คือ นายสุไลมาน ยาแล ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 244 ม.3
ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ควบคุมตัวลงบันทึกประจำวัน
ที่ สภ.ยะหริ่ง และส่งตัวต่อให้กับ หน่วยซักถาม
ขกท.สน.จชต.เพื่อดำเนินกรรมวิธีซักถามต่อไป
การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการเข้าทำการตรวจค้นย่อมมีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากการซักถามผู้ถูกจับกุมก่อนหน้า
ไม่ได้กระทำกันพร่ำเพรื่อพอใจหรือไม่พอใจใครก็ทำการควบคุมตัว ประชาชนชาวไทยทุกคนแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน
ไม่มีการละเว้นและเลือกปฏิบัติ
ส่วนการใช้กฎหมายพิเศษในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยรวมไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนแต่อย่างใด ทุกคนยังใช้วิถีชีวิตตามปกติในการประกอบอาชีพ
เดินทางไปมาหาสู่กันเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศ แต่จะแตกต่างกันตรงที่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความรุนแรงของกลุ่มขบวนการ
จะต้องระแวดระวังภัยเป็นพิเศษเท่านั้นเอง
การใช้กฎหมายก็ไม่ได้เคร่งห้ามประชาชนออกจากบ้านเรือนในยามค่ำคืนแต่อย่างใด
ผลกระทบที่แท้จริงของการใช้กฎหมายพิเศษคือผู้กระทำความผิด
กลุ่มขบวนการที่ทำการก่อเหตุ
เพราะฉะนั้นการใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
คุกคามและมีผลกระทบต่อประชาชนจริงหรือ!!! ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เกิดที่นี่
เติบโตที่นี่ ได้พบได้เห็น
สัมผัสกลิ่นอายความรุนแรงและอยู่กับการใช้กฎหมายพิเศษมาสิบกว่าปีไม่เห็นกระทบใดๆ
เลย กลับมองว่าการเคลื่อนไหวชี้นำประเด็นต่างๆ
เกิดขึ้นจากคนบางกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงหรือมีผลประโยชน์กับกลุ่มขบวนการมากกว่า
เพื่อต้องการให้มีการยกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษ
การออกมาพูดเองเออเองว่าชาวบ้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐใช่หรือไม่ ไม่ต้องอื่นไกลเลยฐานทหารใกล้ๆ
บ้าน เห็นชาวบ้านมีอะไรก็นำไปฝากให้พี่ๆ ทหาร ส่วนในหมู่บ้านมีกิจกรรมอะไร
มีการมีงาน พี่ๆ ทหารก็มาช่วยเหลือเต็มเติมให้
ยามใดที่จะมีการย้ายฐานออกไปยังรวมตัวกันไปเรียกร้องไม่ให้โยกย้ายไปไหน นี่หรือ!! ชาวบ้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่
ก็เพจโจรเหล่านั้นแหละ!! ตัวดีที่คอยบิดเบือน
สร้างเรื่องเท็จ สาดโคลนให้เจ้าหน้าที่ได้รับความเสียหายนำไปสู่ความแตกแยก..
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น