จากเหตุการณ์เมื่อ 10 ม.ค. 62, เวลา 1145 เหตุคนร้ายประมาณ
6-8 คน แต่งกาย ชุดดำ สวมหมวกไหมพรมสีดำ
มีเครื่องหมาย และผ้าพันคอของเจ้าหน้าที่ทหารพราน
เดินเท้ามาตามถนนด้านข้างของโรงเรียนบ้านบูโกะ หมู่ 5 ต.ประจัน อ.ยะรังฯ
และคนร้ายส่วนหนึ่งได้เดินเข้ามาที่ประตูทางเข้าด้านข้างโรงเรียน
และอีกส่วนหนึ่งอยู่บริเวณบ้านที่อยู่ติดด้านหลังของอาคารโรงเรียน หลังจากนั้น
คนร้ายที่เข้ามาได้แสดงท่าทีมาทำการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ อส.
ขาดความระมัดระวัง คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนกราดยิงเจ้าหน้าที่ อส. ทั้ง 4 นาย
และเข้าไปยิงซ้ำ ที่บริเวณศีรษะ และลำตัว เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จากนั้น
คนร้ายได้นำอาวุธปืน HK
33 ของ เจ้าหน้าที่ อส. ไป จำนวน 4 กระบอก
หลังก่อเหตุคนร้ายได้หลบหนีไปทางถนน โดยใช้รถ จยย. เป็นพาหนะ จำนวน 4 คัน
ซึ่งไปทางบ้านปูยุด ต.ปูยุด อ.เมืองปัตตานี
และ บ้านสะดาวา ต.สะดาวา อ.ยะรังฯ และกลุ่มคนร้ายส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มสนับสนุน ได้โปรยตะปูเรือใบบริเวณทางเข้าด้านหน้าและด้านหลังของโรงเรียน
เพื่อสกัดเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไล่ติดตาม
ต่อมาหลังเกิดเหตุได้มีการสั่งการให้ทุกหน่วยตั้งจุดตรวจจุดสกัด
ซึ่งขณะนั้น สภ.เมืองปัตตานี ได้สนธิกำลังออกปฏิบัติการเชิงรุก และติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ
โดยปิดล้อมตรวจค้นบริเวณ หมู่ 1 ต.บานา อ.เมืองปัตตานีฯ และได้พบชายต้องสงสัยนั่งอยู่บริเวณบ่อเลี้ยงปลาดุก
จำนวน 2 คน ท่าทางมีพิรุธ เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ฯ ได้รีบเดินหนีไปตามคูบ่อปลาและพยายามวิ่งหลบหนี
พร้อมกับใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ฯ ทำให้มีการยิงตอบโต้ และวิ่งไล่ติดตาม สามารถควบคุมตัวได้ จำนวน 1 คน คือ นายมะกรี
อิสอปูเต๊ะ อายุ 44 ปี เลขที่ 50/1 หมู่ ๕ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จว.ส.ข. ส่วนคนที่หลบหนีได้
คือ นายอับดุลเลาะ เจะหลง อายุ ๓๗ ปี เลขที่ ๕๔/๓ หมู่ 3 ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองปัตตานีฯ
โดยใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้วิ่งตามไป มีการยิงตอบโต้กระสุนปืนถูกชายที่วิ่งหนี
(เนื่องจากพบรอยเลือดหยดตามทางที่หลบหนี) เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ติดตามรอยเลือดของคนร้ายไปตามถนนลูกรังตัดทุ่งนา ข้ามคลองชลประทานและตัดเข้าไปในป่าละเมาะ
พื้นที่ หมู่ 3 ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองปัตตานีฯ
ได้ไปพบรถ จยย. จำนวน 2 คัน จอดอยู่บริเวณใต้พุ่มไม้ ติดกับคูคลอง กรือเซะ
หมู่ 3 บ้านบานา ต.บานา อ.เมืองปัตตานีฯ
และห่างจากจุดพบรถ จยย. ประมาณ 60 เมตร บริเวณคูคลองกรือเซะ พบกระสอบภายในบรรจุสิ่งของเครื่องใช้ประจำตัว,
โทรศัพท์มือถือ ผ้าพันคอ ระบุกรมทหารพรานที่ 47 และเสื้อเครื่องแบบ ติดอาร์ม
กองทัพภาคที่ 4 กรมทหารพรานที่ 44 และเครื่องหมาย ทพ.44 ห่างจากจุดพบกระสอบไปทางด้านซ้าย
ประมาณ 100 เมตร พบที่พักพิงของคนร้ายอยู่ในป่าละเมาะ มีร่องรอยการผูกเปลสนามนอน และพบหมวกปีกทหารสีดำ
รองเท้า จำนวน 1 คู่
เมื่อ 12 ม.ค. 62, 0400 เจ้าหน้าที่ฯ ได้สนธิกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นบริเวณบ้านท่าด่าน หมู่ ๓ ต.ตะโละกะโปร์ อ.ยะหริ่งฯ
เนื่องจากสืบทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ อส.อ.ยะรัง เสียชีวิต 4 นาย และอีกคนหนึ่งที่ถูกเจ้าหน้าที่ติดตาม พร้อมกับถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ในพื้นที่
หมู่ ๓ ต.ตันหยงลุโละ อ.เมืองปัตตานีฯ เข้ามาหลบซ่อนตัวในหมู่บ้านดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่ขับรถยนต์มาตามซอยถนนในหมู่บ้าน
คนร้ายที่หลบซ่อนตัวอยู่ภายในบริเวณบ้านเลขที่ 152, 152/2 หมู่
3 บ้านท่าด่าน ต.ตะโละกะโปร์ อ.ยะหริ่งฯ ได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่รถยนต์ กระสุนปืนถูกบริเวณกระจังด้านหน้ารถยนต์และยางล้อหลังด้านซ้าย และกระสุนปืนได้ถูก อส.ทพ.ธิตา บัวงาม สังกัด ร้อย ทพ.4303 ฉก.ทพ.42 ได้รับบาดเจ็บ และได้ทำการปิดล้อมวางกำลังบริเวณพื้นที่บ้านดังกล่าว
และเมื่อเวลาประมาณ 0600 เจ้าหน้าที่ได้เรียกให้บุคคลภายในบ้านออกมา
ได้มีนายมิ สาแม อายุ 55 ปี เลขที่ 152/2 หมู่ 3 บ้านท่าด่าน (เป็น ผช.ผญบ.หมู่ ๓) และนางสามาเร๊าะ หาแว(ภรรยา) และ
ด.ญ.ฆอยรูอิบบาตีซาน อาแว (หลาน) อายุ 8 ปี เลขที่ 42 หมู่ 2 ต.พ่อมิ่ง
อ.ปะนาเระฯ เดินออกมา พร้อมขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ฯ เพื่อให้นำ ด.ญ.ฆอยรูอิบบาตีซานฯ
นำส่งโรงพยาบาลเนื่องจากได้รับบาดเจ็บเป็นแผลบริเวณด้านหลัง เจ้าหน้าที่จึงได้รีบนำตัวส่ง
รพ.ยะหริ่ง และส่งรักษาตัวต่อที่ รพ.ปัตตานี โดยปลอดภัย ต่อมาเวลาประมาณ 0630 เจ้าหน้าที่พบความเคลื่อนไหวของคนร้ายบริเวณด้านหลังบ้าน จึงได้ทำการเรียกให้ออกมามอบตัว แต่คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ จึงได้ทำการยิงตอบโต้นานประมาณ 5 นาที และเวลาประมาณ 0700 เจ้าหน้าที่ได้เชิญ ผญบ. ผู้นำศาสนา
มาเจรจาเพื่อให้คนร้ายยอมมอบตัว แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากคนร้าย และได้ยิงอาวุธปืนตอบโต้เจ้าหน้าที่บริเวณด้านหลังและด้านข้างของบ้าน
ต่อมาเวลาประมาณ 0720 ได้เกิดการยิงปะทะกันอีกครั้งนานประมาณ
5 นาที หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่
ได้ทำการเข้าเคลียร์ในบ้าน และบริเวณรอบบ้าน พบคนร้ายนอนเสียชีวิตอยู่บริเวณด้านหลังบ้าน
จำนวน 2 คน (ศพอยู่ห่างกันประมาณ 5
เมตร) ทราบชื่อ คือ ๑) นายอับดุลเลาะ สาแม อายุ
๓๐ ปี เลขที่ ๑๖๗ บ้านท่าด่าน หมู่ ๓ ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่งฯ บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน ๖ หมาย และ2) นายอับดุลเลาะ
เจะหลง อายุ ๓๘ ปี บ้านเลขที่ ๕๔/๓ หมู่ ๓ ต.ตันหยงลุโละ
อ.เมืองปัตตานีฯ พบ ปลย. AK ๔๗ อยู่ข้างศพ (ที่ขาซ้ายมีแผลที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ฯ
เมื่อ 10 ม.ค.62) และจากตรวจค้นภายในบริเวณบ้าน
พบอาวุธปืนลูกซอง จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 ม.ม. จำนวน 1 กระบอก และเวชภัณฑ์ยาที่ใช้ในการรักษาพยาบาล
กระปุกน้ำเกลือ และถุงยาฆ่าเชื้อ ระบุวันที่ 19 ม.ค. 61
โรงพยาบาลเทพา ระบุชื่อ น.ส.นาอีมะห์ สำแลหมัน อายุ 20 ปี เลขที่ 17/1 หมู่ 2 ต.ท่าม่วง
อ.เทพา จว.ส.ข.
ต่อมา สภ.ห้วยปลิง ได้เชิญตัว น.ส.นาอีมะห์ฯ มาซักถาม
ผลการซักถามให้การว่าตนเอง มีบาดแผลบริเวณเท้า ได้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเทพา
และได้กินยาไป ประมาณ 2 - 3 ครั้ง ต่อมาไม่รู้ว่ายาหายไป
ซึ่งตนมียาย ชื่อ นางติอาวอ แวดอเลาะ อายุ 77 ปี เลขที่ 116
หมู่ 3 ต.ตะโละกะโปร์ อ.ยะหริ่งฯ
(หมู่บ้านเดียวกับที่เกิดเหตุ) ได้มาที่บ้านตนเองบ่อยครั้ง สันนิษฐานว่าอาจเป็นผู้นำยาไปส่วนการดำเนินการกับนายมิ สาแม (เจ้าของบ้าน) ได้ควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกไปทำการซักถามที่ศูนย์ซักถาม กรมทหารพรานที่ 43 เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ผลจากการตรวจสอบความเชื่อมโยงของผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ มี น.ส.นาอีมะห์ฯ เป็นลูกสาวของนางหามีย๊ะ สาแลหมัน อายุ 49 ปี เลขที่ 17/1 หมู่ 2 ต.ท่าม่วง อ.เทพา จว.ส.ข. ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลของนางหามีย๊ะฯ
พบว่า บิดา ชื่อ นายบือราเฮง แวดอเลาะ และมารดา ชื่อ นางติอาวอ แวดอเลาะ
เมื่อตรวจสอบข้อมูลพี่น้องร่วมบิดามารดา ของนางหามีย๊ะฯ พบว่า มีนางยาวาฮี แวมะนอ อายุ
33 ปี เลขที่ 116
หมู่ ๓ ต.ตะโละกะโปร์ อ.ยะหริ่งฯ (บ้านตั้งอยู่ในปอเนาะญีฮาด)
มีความเชื่อมโยงเป็นภรรยาของนายดูนเลาะ แวมะนอ (หัวหน้าแกนนำกลุ่ม BRN)
สรุป คือ น.ส.นาอีมะห์ฯ (ที่พบชื่อในถุงยาบ้านที่เกิดเหตุ)
มีความเกี่ยวพันเป็นหลานของนางยาวาฮี แวมะนอ
(ภรรยา) ของ นายดูนเลาะ แวมะนอ (หัวหน้าแกนนำกลุ่ม BRN)
จากลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะเห็นความเชื่อมโยงและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันตั้งแต่ระดับผู้สั่งการ
ผู้ปฏิบัติการ และผู้ให้การสนับสนุนทั้งหมด รวมทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวและเครือญาติ ในการดำเนินคดีตามกฎหมายของผู้ก่อเหตุรุนแรงและผู้ที่ให้การสนับสนุน
จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ทำให้พวกเราได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวซึ่งที่ผ่านมามีการนำเสนอผ่านสื่อบิดเบือนจากข้อเท็จจริงอย่างมาก
.........................................................