เจรจาโจรใต้ “ตัวจริง” คำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาความรุนแรงใน จชต.?
เหตุระเบิดคาร์บอม 3 ตูมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 31 มี.ค.55 ซึ่งสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตของประชาชนและทรัพย์สินจำนวนมาก นอกจากเสียงก่นด่าประณามการกระทำอันป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานของผู้ก่อเหตุรุนแรง ทั้งจากประชาชนไทยพุทธและมุสลิมรวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศแล้ว กระแสวิพากษ์จากหลายฝ่ายทั้งนักวิชาการและสื่อสำนักต่างๆ ถึงสาเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ล้วนมุ่งออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดจากความพยายามบนความผิดพลาดของฝ่ายรัฐในส่วนงานต่างๆ ที่จะเจรจากับขบวนการ ซึ่งเป็นไปในลักษณะต่างฝ่ายต่างทำ กล่าวคือไม่มีการประสานงานหรือกำหนดทิศทางร่วมกันอย่างที่เรียกว่า “ไม่มีเอกภาพ” หรือ “เจรจาไม่ถูกกลุ่ม” หรือแม้แต่ “การดิสเครดิตกันเอง”
ของฝ่ายรัฐทั้ง ศอ.บต. และฝ่ายความมั่นคง ซึ่งก็เป็นมุมมองที่สามารถเห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์ได้ในประเทศเสรี
ของฝ่ายรัฐทั้ง ศอ.บต. และฝ่ายความมั่นคง ซึ่งก็เป็นมุมมองที่สามารถเห็นต่างและวิพากษ์วิจารณ์ได้ในประเทศเสรี
อีกมุมมองที่หนักแน่นยิ่งกว่าและยังสรุปเท็จจริงไม่ได้ แต่มีเค้าโครงความเป็นไปได้คือ เกมส์การเมืองของพรรคการเมืองหนึ่งที่พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา ที่ได้อาศัยประเด็นนี้ในการชิงความได้เปรียบเพื่อปูทางสู่ถนนการเมืองที่สวยหรู โดยหวังไกลไปถึงผลที่จะนำไปสู่การชนะเลือกตั้งครั้งต่อไปในพื้นที่ จชต. ด้วยความพยายามโดยใช้อดีตผู้บริหารประเทศของไทยที่คิดว่ามีบารมีเพียงพอ แม้ว่าตอนนี้จะยังหลบหนีคดีอยู่นอกประเทศ และผู้มีอำนาจอีกคนที่กุมอำนาจการบริหารของฝ่ายพลเรือนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกำลังแสดงบทบาทนำในพื้นที่ จชต. โดยคิดว่าน่าจะเจรจาได้ผล แอบย่องเข้าไปเจรจากับแกนนำโจรในมาเลเซีย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน มิหน่ำซ้ำยังถูกเยาะเย้ยว่า “เจรจาไม่ถูกคนถูกกลุ่ม” บ้าง หรือ “ไม่ใช่ตัวจริง” บ้าง เลยทำให้ “ตัวจริง” ต้องออกโรงมาสะกิดด้วยคาร์บอมทำนองว่า “ฉันอยู่นี่”
หรืออีกนัยคือการแสดงออกถึงความไม่ต้องการเจรจาของขบวนการ
เพราะจุดยืนของขบวนการที่ฝ่ายความมั่นคงรู้มาโดยตลอดคือ แกนนำใหญ่ของขบวนการไม่ต้องการเจรจา ไม่ต้องการเขตปกครองพิเศษ สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวคือ “เอกราช” ซึ่งหมายถึงการแบ่งแยกดินแดน
การก่อเหตุระเบิดครั้งรุนแรงนี้จึงอาจเป็นการประกาศท่าทีว่า "ตัวจริง" ไม่เห็นด้วยกับการ "พูดคุยสันติภาพ" เพื่อมุ่งหาจุดยืนแห่งสันติโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ หรือแม้แต่ "การเจรจา" ที่อาจสามารถนำความต้องการของขบวนการมาสร้าง “ข้อต่อรอง” กับฝ่ายความมั่นคงได้ก็ไม่ต้องการ
ในกระแสการวิพากษ์ที่เชี่ยวกรากและยังหาข้อสรุปไม่ได้ข้างต้น ก็ปรากฎเงาลางๆ ของกลุ่มขบวนการเก่าคือ ขบวนการ PULO ซึ่งมีส่วนโยงใยกับกลุ่ม BRN. COORDINET ที่มีบทบาทนำในการก่อเหตุรุนแรงทารุณกรรมชาวบ้านในพื้นที่ โดยได้แสดงความเห็นแบบอ้อมแอ้มผ่านสื่อของตนว่า PULO “ไม่ได้ร้องขอแต่ก็ไม่ปฏิเสธการเจรจา” แต่กลุ่ม PULO นี้ทุกฝ่ายทั้งขบวนการด้วยกันและฝ่ายความมั่นคงทราบดีว่าเป็นเหมือน “เสือกระดาษ” ที่คอยชุบมือเปิปแอบอ้างผลงานของกลุ่มโจรอื่นๆ สร้างภาพการกดขี่พี่น้องมุสลิมในพื้นที่โดยรัฐบาลไทย โดยบิดเบือนเอาอย่างหน้าด้านๆ ผ่านองค์กรมุสลิมในตะวันออกกลางและยุโรปเพื่อเรียกร้องเงินสนับสนุนจากประเทศในกลุ่มมุสลิม มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มเป็นหลัก และไม่ได้มีบทบาทนำ หรือเป็นกลุ่มอำนาจที่สามารถควบคุมสั่งการกองกำลังในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
การออกมาแสดงความเห็นแบบคลุมเครือผ่านเว็บไซต์ของขบวนการเองถึงความต้องการเจรจาของ PULO ครั้งนี้นัยว่ามีเจตนาแสดงตนเป็น “ตัวจริง” เพื่อต่อรองกับรัฐไทย
แต่เท่าที่สังเกตปฏิกิริยาของฝ่ายความมั่นคงทุกฝ่ายแล้ว งานนี้ฝ่ายรัฐคงจะรู้ดีว่าแผนการเล่น “ปาหี่” ชุบมือเปิปของ PULO นั้นน่าจะไม่ได้ผล เพราะไม่ว่าฝ่ายรัฐไทยหรือกลุ่มการเมืองฝ่ายใดที่ถูกนำมากล่าวอ้างว่าได้ไปเจรจากับขบวนการใดๆ มาแล้วก็ตาม ถึงแม้ว่าความพยายามที่ผ่านมาท้ายที่สุดแล้วจะไม่ได้ผล แต่ก็ยังไม่มีนามของ “เสือกระดาษผู้หิวโหย” อย่าง PULO เลยซักคน
งานนี้จึงน่าจะกินแห้วไปตามระเบียบ ก็โถ...ใครเค้าก็รู้กันลุ้ง
นอกจากนี้พี่ใหญ่ฝ่ายความมั่นคงคือ ผบ.ทบ. ยังออกโรงมาประกาศเปรี้ยงแบบฟันธงว่า สำหรับกลุ่มโจรแล้วจะไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายและอาจเปิดช่องให้ต่อรองแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ดีการแสวงหาแนวทางสันติที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายเพื่อความสงบสุขของพี่น้องประชาชน ในส่วนของซีกฝ่ายรัฐแล้วเป็นสิ่งยอดปรารถนาและยังคงมีความพยายามมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่เฉพาะแค่เพียง 8 ปีที่ผ่านมาที่ไฟใต้เริ่มระอุขึ้นมาอีกครั้ง
ข้างฝ่ายขบวนการนั้นเล่าก็ยังคงใช้แนวทางอุบาทว์เดิมๆ โดยการก่อเหตุร้ายเรียกร้องให้องค์กรจากประเทศต่างๆ เข้ามาแทรกแซงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแบ่งแยกดินแดน พร้อมๆกับการบิดเบือนข่าวสารเหตุการณ์ไปสู่ประชาคมโลก ซึ่งในห้วงแรกๆ ของเหตุการณ์ ฝ่ายขบวนการนั้นดูจะได้เปรียบทุกประตู แต่ช่วงหลังๆ เมื่อมีการก่อเหตุรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น ไม่มีการแสดงจุดยืนโดยการประกาศความรับผิดชอบ และเนื่องจากขบวนการแบ่งเป็นหลายกลุ่มที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อเรียกรับเงินสนับสนุนของใครของมัน จนบางครั้งแกนนำระดับสั่งการไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่พี่น้องมุสลิมด้วยกัน
การสนับสนุนจากองค์กรมุสลิมต่างๆ เมื่อได้รับรู้ความเลวทรามของขบวนการมากขึ้น ก็ทำให้การสนับสนุนหยุดชะงักลง ล่าสุดจากเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ที่ผ่านมา องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศอาทิ สหประชาชาติ องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแม้แต่ องค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ OIC (Organization of Islamic Cooperation) ยังออกมาร่วมกันประณามการก่อเหตุของขบวนการอย่างพร้อมหน้า
พร้อมๆ กับกระแสการไม่เอาเหตุรุนแรงของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสวนทางกันกับผลที่ต้องการในสงครามแย่งชิงประชาชนที่ต่างฝ่ายต่างต้องการได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุด เพราะนั้นหมายถึง "ชัยชนะ"
การเริ่มพูดถึงการเจรจาจึงเกิดขึ้น
ถึงชั่วโมงนี้การเจรจาโดยไม่มีข้อต่อรองหรือเรียกว่าการ "พูดคุยเพื่อสันติภาพ" เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง โดยการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและมีส่วนได้เสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพดูจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุดหากฝ่ายขบวนการนึกถึงความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นสำคัญ
หากแต่การพูดคุยเพื่อสันติภาพนั้นตามหลักการคือการสร้างสมดุลย์เพื่อสร้างสันติภาพของสองฝ่ายโดยไม่มีข้อต่อรองของฝ่ายที่ต่อสู้กับฝ่ายรัฐ ซึ่งหากฝ่ายหนึ่งคือขบวนการที่เป็นผู้สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นมาโดยตลอด จะด้วยข้ออ้าง (ที่ฟังไม่ขึ้น) ใดๆ ก็ตาม การที่สันติสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่ขบวนการต้องยุติการก่อเหตุรุนแรงนั่นเอง แล้วมาร่วมกันสร้างสรรค์ฟื้นฟูบ้านเมืองด้วยแนวทางสันติ ซึ่งสามารถเริ่มได้ด้วยการ “พูดคุยเพื่อสันติภาพ” มิใช่ “การเจรจา” เหนือสิ่งอื่นใดฝ่ายรัฐต้องค้นหาและพูดคุยกับขบวนการ “ตัวจริง” เท่านั้น มิใช่พูดคุยกับฝ่ายการเมืองที่เข้ามาสมอ้าง หรือ “เสือกระดาษหิวเงิน” ซึ่งนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับกลุ่มคนที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องเท่านั้นด้วย
แต่คำถามคือ....รู้รึเปล่าว่าใครล่ะที่เป็น.... “ตัวจริง” ?
ซอเก๊าะ นิรนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น