‘อิมรอน’
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
(Deep
South Watch) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ได้รวบรวมสถิติเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวสารของเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ดังกล่าวและนำมาสังเคราะห์และจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลเพื่อเป็นฐานในการอธิบายปรากฏการณ์ความรุนแรงอย่างเป็นวิชาการ
โดยจะมีการเผยแพร่ข้อมูลและบทวิเคราะห์อยู่เป็นระยะ
ทั้งนี้ การประมวลผลข้อมูลเป็นสถิติในหลายมิติ
อาทิเช่น สถิติจำนวนของเหตุการณ์และผู้บาดเจ็บล้มตาย
องค์ประกอบของเหตุการณ์อย่างวันเวลา พื้นที่ รูปแบบ ผู้กระทำการ
เหยื่อหรือเป้าหมายในการก่อเหตุ
กระบวนการจัดเก็บโดยเก็บรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทางเปิดอย่างสื่อมวลชนและได้รับความอนุเคราะห์จากฐานข้อมูลของหน่วยงานราชการหลายแห่ง
ได้แก่ ส่วนปฏิบัติการและรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน ศูนย์ปฏิบัติการร่วม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
4
ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) งานการข่าว
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.)
และศูนย์ประสานงานเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ จังหวัดยะลา
ในส่วนของรอบปี 2557 มีเหตุการณ์ความไม่สงบทั้งสิ้น 793 เหตุการณ์ เฉลี่ยเดือนละ 66 เหตุการณ์
มีผู้เสียชีวิต 330 คน เฉลี่ยเดือนละ 28 คน และบาดเจ็บทั้งสิ้น 663 คน เฉลี่ยเดือนละ 55 คน
เดือนที่เกิดเหตุสูงสุด : พฤษภาคม จำนวน
128 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 26 คน และได้รับบาดเจ็บ 135 คน
เดือนที่เกิดเหตุต่ำสุด : ธันวาคม จำนวน
44
เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 7 คน
และได้รับบาดเจ็บ 16 คน
ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านได้ในเว็บไซต์
deepsouthwatch.org ตามลิ้งค์นี้ครับ http://www.deepsouthwatch.org/node/6596
ข้อมูลที่น่าสนใจ 10 อำเภอที่มีเหตุการณ์สูงสุดในรอบปี 2557 อำเภอที่เป็นอันดับต้นๆ คงจะหนีไม่พ้นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
หรือจะมองอีกแง่มุมหนึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่อิทธิพลของกลุ่มขบวนการคงจะไม่ผิด
เรามาดู 10 อันดับกันว่าอำเภอไหน จังหวัดไหนติดอันดับกันบ้าง
อันดับที่ 1 อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา จำนวน 54 เหตุการณ์
เสียชีวิต 17 คน บาดเจ็บ 30 คน
อันดับที่ 2 อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 44 เหตุการณ์
เสียชีวิต 18 คน บาดเจ็บ 29 คน
อันดับที่ 3 อำเภอรือเสาะ
จังหวัดนราธิวาส จำนวน 44 เหตุการณ์ เสียชีวิต 20 คน บาดเจ็บ 27 คน
อันดับที่ 4 อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา จำนวน 42 เหตุการณ์
เสียชีวิต 9 คน บาดเจ็บ 50 คน
อันดับที่
5 อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี จำนวน 41 เหตุการณ์ เสียชีวิต 15 คน บาดเจ็บ 85 คน
อันดับที่ 6 อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จำนวน 40 เหตุการณ์
เสียชีวิต 23 คน บาดเจ็บ 38 คน
อันดับที่ 7 อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน 36 เหตุการณ์
เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บ 17 คน
อันดับที่ 8 อำเภอรามัน จังหวัดยะลา จำนวน 32
เหตุการณ์ เสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บ 7
คน
อันดับที่ 9 อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส จำนวน 30 เหตุการณ์
เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 19 คน
อันดับที่
10 อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี จำนวน 29
เหตุการณ์ เสียชีวิต 13 คน บาดเจ็บ 54 คน
ทำไม?
อำเภอบันนังสตา ติดอันดับ 1 และติดอยู่ในโผตลอด
หลายคนอาจตั้งคำถามสงสัยว่าทำไม “บันนังสตา” อำเภอเล็กๆ
อำเภอหนึ่งของจังหวัดยะลาถึงได้เกิดเหตุมากที่สุดในรอบปี มาดูการสนทนาของผู้เขียนกับผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งซึ่งพื้นเพเป็นคนในพื้นที่แห่งนี้ เขาได้ซึมซับข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นจากการเล่าสู่กันฟังแบบปากต่อปากในร้านน้ำชา ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเรามาอ่านและวิเคราะห์กันครับ
“เคยรู้ไหม..โจรใต้ฟาตอนี
เขาคิดจะตั้งเมืองหลวงที่ไหนเป็นเมืองหลวงของรัฐปัตตานี..”ผมกล่าวขึ้นลอยๆ
ในเช้าของวันหนึ่งหลังจากนั่งดูข่าวทีวี โจรใต้เผาโรงเรียน 6
แห่งในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดง และอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี
อามีนบอกว่า “ได้ยินยิ่งกว่าได้ยิน..เขารู้แล้วด้วยซ้ำว่าพวกนั้นจะตั้งที่ไหนเป็นเมืองหลวงของรัฐปัตตานี.....”
“อ้าวจริงหรอ? ที่คนทั่วไปรู้”ผมมีความตื่นเต้นใคร่รู้ แต่ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์ให้เป็นปกติให้มากเท่าที่จะทำได้
“รู้สิครับหัวหน้า
เขาวางแผนเอาไว้ทั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าจะตั้งที่ไหน..” “ปัตตานีนะซี”..ผมชิงพูดขึ้นมาก่อนที่อามีนยังพูดไม่ทันจะจบ
“เปล่าเลย..หัวหน้ารู้มาแบบผิดๆ”อามีนมองดูหน้าผมในขณะที่สีหน้าอมยิ้มอย่างผู้รู้
“อ้าว..แล้วที่ไหนล่ะ
ถ้าไม่ใช่ปัตตานี”ผมมองตาของเขาอย่างสงสัย
อามีนเอากระดาษพร้อมดินสอมาขีดเขียนแผนที่อย่างคร่าวๆ
พร้อมทั้งอธิบายให้ผมฟัง มือเขียนไปปากก็พูดไป “ตรงนี้นะ อำเภอธารโต..ฝั่งตรงกันข้าม คือ รัฐเคดาห์
ประเทศมาเลเซีย ถ้าย้อนขึ้นมาด้านนี้จะเป็นเส้นทางเข้าสู่ตัวเมืองยะลา
แล้วตรงไปสี่สิบกว่ากิโลเข้าตัวเมืองปัตตานี วกขวามือจะเป็นแนวชายฝั่งทะเล
เป็นเส้นทางไปยังนราธิวาส ออกจากนราธิวาสจะเป็นตากใบ แล้วเข้าสู่รัฐกลันตัน
ประเทศมาเลเซีย..”
“อามีน..พูดมาตั้งนาน
ยังไม่รู้เลยว่าเมืองหลวงของเขาจะตั้งที่ไหน..?”ผมกล่าวขึ้นขัดจังหวะอามีนหลังจากนำกระดาษแผ่นดั่งกล่าวขึ้นมาดูอย่างละเอียดแล้ววางกลับไปบนโต๊ะ
“นี่ไง..หัวหน้า..ตรงนี้เรียกว่า..อำเภอบันนังสตา
ตรงนี้แหละเมืองหลวงของเขา..”เขาชี้ไปยังจุดๆ
หนึ่งในแผ่นกระดาษ
ผมอึ้ง..คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอำเภอบันนังสตา
ทั้งๆ ที่ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่าหากกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนสำเร็จ
เมืองหลวงจะตั้งที่ปัตตานี มันไม่น่าเป็นไปได้
เพราะว่าชื่อของปัตตานีดังมาก..โลกอิสลามรู้จักเป็นอย่างดี
ทำไมจึงไม่ตั้งเมืองหลวงที่ปัตตานี ทำไมจึงเลือกอำเภอเล็กๆ
ที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย..แต่เมื่ออามีนบอก และคนในพื้นที่รู้ดีที่สุดกว่าผม..ผมก็รับฟังไว้
เอาเถอะ..ไม่ว่าโจรใต้ฟาตอนีจะเลือกบันนังสตาหรือที่ไหนก็ตามแต่เราก็ได้แต่รับฟัง..ผมลองเข้าไปดูแผนที่ใน
Google จะพบว่าทางตอนใต้ของบันนังสตา คือเขื่อนบางลาง
และลงใต้ไปคืออำเภอเบตง พวกโจรใต้ฟาตอนีคงจะคิดในด้านความมั่นคงในระยะยาว
ถ้าเขาได้ปัตตานีมาเป็นประเทศของเขา เมืองหลวงที่ตั้งจึงจะต้องมีภูมิศาสตร์ที่ดี
ถ้าเอาปัตตานีเป็นเมืองหลวง
รัฐบาลไทยก็จะส่งกองทัพเรือยกพลขึ้นบกได้ในชั่วพริบตา แต่ถ้าเลือกเอาบันนังสตา..เต็มไปด้วยขุนเขา
ป่าฮาลาบาลาที่รกทึบเป็นที่หลบซ่อนตัว ซึ่งเป็นยุทธภูมิที่ดีมาก
อีกอย่างถ้าจะอาศัยกองกำลังที่สะสมเอาไว้ที่ต่างประเทศ
จะได้พึ่งพาอาศัยได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมคิดไปถึงกองกำลังจากอินโดนีเซีย
เข้ามายังบันนังสตาได้ง่ายยิ่งนัก
อำเภอบันนังสตา มีเนื้อที่ประมาณ 629
ตารางกิโลเมตร มีประชากร 57,700 คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 82.20
นับถือพุทธศาสนาร้อยละ 17.80 อยู่ห่างจากจังหวัดยะลา 39 กิโลเมตร เส้นทางสาย 410
ตัดผ่านภูเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ “โจรใต้ฟาตอนี”มีความเข้มแข็งมากกว่าที่อื่น
เชื่อว่ามีการส้องสุมกองกำลังในป่าภูเขาแถบนี้มานานแล้ว
อามีนเปิดเผยชื่อหัวหน้าใหญ่ในพื้นที่บันนังสตาให้ฟังว่ามีหลายคนทั้งมีชีวิตอยู่และได้เสียชีวิตไปแล้ว
แต่ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางได้แก่ อาหมัด ตืองะ หรืออุสตาซมะ
เป็นครูผู้สอนศาสนาที่โด่งดังมาก ตามด้วย อุสตาซ อีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น สการีนา
หะยีซาเมาะ, อีสมาแอล รายาหลง (ชื่อเล่นอุสตาซโซ๊ะ), อุสมานเด็งสาแม (อุสตาซสมัง),
รอเซะ ดอเลาะ ซึ่งแต่ละคนจะมีกองกำลังเป็นของตนเอง
กลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนีได้มอบความไว้วางใจให้หัวหน้าโจรทำการเคลื่อนไหวต่อสู้เร่งการปลดปล่อยบันนังสตา
เสริมเขี้ยวเล็บ ลอบโจมตีสร้างความสูญเสียให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ
และประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มขบวนการ จนยอดการก่อเหตุติดอันดับต้นๆ
ของปัญหาไฟใต้
นี่คือกุศโลบายของแกนนำขบวนการ
ที่ได้หลอกล่อสมาชิกแนวร่วม รวมทั้งประชาชนได้หลงเชื่อมาโดยตลอด เหตุการณ์ได้ผ่านมา
10 กว่าปี สถานการณ์ภาคใต้ก็ยังไม่คลี่คลาย เพราะความเพ้อฝันของนักรบฟาตอนียังไม่สูญสิ้น
หลงเชื่อว่ารัฐปัตตานีจะต้องเกิดขึ้นในสามจังหวัด
แต่..ประชาชนมลายูเองไม่ต้องการเอกราช อยากอยู่อย่างสงบสันติเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมา
และไม่อยากเห็นความสูญเสียของพี่น้องประชาชนไปมากกว่านี้
ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามจังหวัด ทุกคนหมดกำลังใจ ต่างรู้สึกเศร้าเสียใจ
จนพูดไม่ออก เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์
หลายชีวิตที่ต้องสูญเสียส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเด็ก ผู้หญิง คนชรา และผู้บริสุทธิ์ พอกันที...กับการเพ้อฝันกับสิ่งที่ไม่เป็นความจริง
เพราะการต่อสู้ดังกล่าวไม่มีทางประสบความสำเร็จและแยกตัวเป็นเอกราชได้
เหตุการณ์ยาวนานถึง 10 ปี ได้บ่งชี้แล้วว่า...นักรบฟาตอนีหมดหนทางต่อสู้
ถึงสู้ก็ไม่มีหนทางที่จะชนะ...
----------------------------