10/22/2559

น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กับโจรใต้เป็นอะไร? กัน...

แบมะ ฟาตอนี

หลายท่านอาจจะสงสัยต่อพฤติกรรมของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เป็นอะไรกันกับกลุ่มขบวนการโจรใต้ ทุกครั้งที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมือง She ก็จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทน เต้นผางๆ เป็นเจ้าเข้าออกมาเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยเสมือนหนึ่งลูกในไส้...ถูกรังแก

หรือ She มีอคติต่อเจ้าหน้าที่รัฐ? จงเกลียดจงชังเนื่องจากไม่ได้ดั่งใจในหลายๆ เรื่อง อาทิเช่นการนำเสนอผลงานชิ้นโบว์แดงการซ้อมทรมานใน จชต. โดยเจ้าหน้าที่รัฐ มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ ในรายงานมีการระบุเจ้าหน้าที่ทหารพรานหญิงใช้นมปิดจมูกผู้ต้องหาจนขาดลมหายใจ, มีการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะภายใน, มีการกักขังในห้องที่มีอุณภูมิเย็นจัดฯลฯ

สุดท้าย She โดนหน่วยงานความมั่นคงฟ้องร้อง เมื่อฝ่ายความมั่นคงกลับมองเห็นว่าการจัดทำรายงานสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่องของ การซ้อมและ ทรมานของ 3 นักสิทธิเป็นเท็จเกินความจริงที่ไม่สามารถยอมรับได้ มีการเปิดโอกาสให้หันหน้ามาพูดคุยหาทางออกของปัญหาร่วมกัน ในขณะที่ฝ่ายนักสิทธิผู้จัดทำรายงานกลับไม่ให้ความร่วมมือ ผลในที่สุดทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถที่จะ พูดคุยกันรู้เรื่อง สุดท้ายลงเอยด้วยการพึ่ง กระบวนการยุติธรรมในการ พิสูจน์ความจริงให้ปรากฏด้วยการ แจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ล่าสุดจากกรณีเมื่อวันที่ 10-15 ตุลาคม 2559 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังได้เข้าทำการปิดล้อม ตรวจค้น และควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยจากห้องพักในบริเวณถนนรามคำแหง  โดยได้จับกุมบุคคลที่มีภูมิลำเนาจากจังหวัดชายแดนใต้ จำนวนทั้งสิ้นรวม 44 ราย เป็นหญิง 8 คน และชาย 36 คน และได้มีการปล่อยตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวไปแล้วจำนวนหนึ่งโดยไม่มีการแจ้งข้อหา ยังคงเหลือบุคคลที่น่าสงสัย จำนวน 5 ราย ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงแต่ประการใด

วันที่ 17 ต.ค.59 น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวทั้ง 5 คนต่อไปโดยอาศัยกฎอัยการศึก เนื่องจากการจับกุมในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
วันที่ 18 ตุลาคม 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวบุคคล 5 คน จากการควบคุมตัวโดยพลการโดยทันที โดยไม่มีเงื่อนไข

ในเวลาต่อมาหน่วยงานความมั่นคงได้เปิดเผยผลการซักถาม นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับว่าเป็น 1 ในผู้เตรียมการก่อเหตุระเบิดใน กทม. โดยเดินทางมาจาก อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ได้ประมาณ 7 วันก่อนถูกจับข้อหามีใบกระท่อม ที่หอพักย่านรามคำแหง เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเป้าหมายที่จะวางระเบิดกำหนดไว้ 5 จุด คือที่บิ๊กซี รามคำแหง สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และย่านบางพลีอีก 2 จุด
การดำเนินการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยย่านรามคำแหง โดยเฉพาะที่กักตัวไว้ 5 ราย ไม่ได้เป็นนักศึกษาแต่ประการใดอีกทั้งผู้ต้องสงสัยยังยอมรับเตรียมลงมือก่อเหตุลอบบึ๊ม!! กทม.จำนวน 5 จุด

แต่ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และบรรดาแนวร่วมยังไม่ลดละ เดินหน้ากดดันเจ้าหน้าที่ดิสเครดิตในการปฏิบัติงานกล่าวหามิชอบด้วยกฎหมาย ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น   เครือข่ายอาจารย์ร่อนแถลงการณ์ จี้ จนท.หยุดจับกุม-คุกคาม-คุมขัง น.ศ.จากชายแดนใต้,เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง แถลงการณ์ เรื่อง ยุติการตรวจค้น จับกุม คุมขังนักศึกษาและเยาวชนจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยพลการ นี่มันอะไรกันออกมาปกป้องขบวนการโจรใต้กันโจ่งครึ่มขนาดนี้เชียวรึ!!!

สำหรับท่านที่ต้องการเห็นชาติบ้านเมืองเรากลับมาสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลุ่มหรือองค์กรต่างๆ ออกมาเคลื่อนไหวต้องใช้วิจารณญาณว่ากลุ่มหรือองค์กรเหล่านั้น กระทำไปด้วยน้ำใสใจจริงหรือเปล่า หรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังแอบแฝงเพียงเพื่อปกป้องผู้กระทำความผิด เอาผลประโยชน์ของกลุ่มและองค์กรเป็นหลัก มิได้กระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนแต่ประการใด อีกทั้งบางกรณีเป็นการซ้ำเติมปัญหา ทำลายประเทศชาติ สร้างความเสื่อมเสียเป็นส่วนรวม..แล้วฝากถามไปยัง น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กับโจรใต้เป็นอะไร? กัน ช่วยชี้แจงให้ประชาชนได้หูตาสว่างสักทีมีหลายท่านสงสัยพฤติกรรมของท่านฝากถามมา....

----------------------

10/20/2559

ศาลฎีกาสั่งจำคุกตลอดชีวิต มือระเบิด 7 ศพ ร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น

 ‘แบมะ ฟาตอนี


กฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย จากนโยบายของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาไฟใต้ ใครกระทำความผิดจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย เสมอภาค เท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ศาลจังหวัดปัตตานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา พิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หรือเต๊ะโซ๊ะหรือซัน  หะยีมามุ  ในฐานความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้าย อั่งยี่ 
ซ่องโจร ลอบวางระเบิด ตามหมายเลขคดีดำที่ 2374/2557 คดีแดงที่ 810/2558 เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.เมืองปัตตานี

นายมูฮำหมัดซอบรี หรือ เต๊ะโซ๊ะ หรือซัน  หะยีมามุ ได้ทำการก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านน้องเฟิร์น ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550

การต่อสู้ทางคดี นายมูฮำหมัดซอบรี หรือ เต๊ะโซ๊ะ หรือซัน  หะยีมามุ โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาคดีก่อการร้าย เลขคดี 2374/57 เมื่อ 27 มีนาคม 2558 สั่งให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนในศาลอุทรณ์ ได้มีการพิจารณาคดียกฟ้อง จนกระทั่งศาลฎีกาจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 เป็นอันปิดฉากอิสรภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ต้องเข้าไปชดใช้ความผิดกับผลที่ตัวเองได้ก่อไว้ในเรือนจำ

จากสถานการณ์ไฟใต้ในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นส่วนรวม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินยังคงเป็นประเด็นลำดับต้นๆ ที่ทุกคนต่างโหยหา อยากจะให้เหตุการณ์สงบ นำพาสันติสุขกลับคืนมาในเร็ววัน แต่กลุ่มกระบวนการยังคงเดินหน้าทำการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ และเป้าหมายอ่อนแออยู่อย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ มานี้ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายต่อความรุนแรง เอือมระอาต่อการกระทำที่สุดโต่ง ไร้มนุษยธรรม ไม่มีความปราณีของผู้ก่อเหตุรุนแรงที่อ้างตัวว่าเป็นนักรบฟาตอนี RKK โดยจะเห็นได้ว่าประชาชนเริ่มให้ความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ผกร. มากขึ้นตามลำดับส่งผลให้การติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้จำนวนหลายสิบรายในห้วงที่ผ่านมา

การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนามาใช้ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งยังยึดหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด
ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายยังคงมีมาตรการปฏิบัติเชิงรุกในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดเพื่อนำตัวมาลงโทษตามตัวบทกฎหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และบังคับใช้กับผู้ที่ละเมิด



นายมูฮำหมัดซอบรี หยีมามุ ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวเมื่อ 7 พฤษภาคม 2557 โดยเจ้าหน้าที่ทหาร ณ บริเวณบ้านเช่าไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 2 ตำบลบางเขา อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

พฤติกรรมของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการในการลอบวางระเบิด และเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ที่ 15/51 ลง 4 มกราคม 2551 สภ.เมืองปัตตานี ข้อหาร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จากเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์น ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 7 คน เหตุเกิดในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2550

จากผลการซักถาม นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าระหว่างเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเตรียมศึกษา ตนเองได้ทำการซูมเปาะ โดย อุซตาซ พร้อมกับผู้ก่อเหตุรุนแรงคนสำคัญหลายคน  อย่างเช่น นายมะซอเร ดือรามะ และได้ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว


นายมูฮำหมัดซอบรีฯ ให้การยอมรับว่าตนเองก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าร้านข้าวต้มน้องเฟิร์นจริง โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดไปจอดยังที่เกิดเหตุ อีกทั้งยังให้การที่เป็นประโยชน์ ทำการซัดทอดผู้ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้อีก 3 คนด้วยกัน คือ นายสุริยา พินนาคบุตร, นายอัสมีน กาเด็นมาตี และนายฮากีม ดอเลาะ ซึ่งบุคคลทั้งหมดที่ถูกซัดทอดเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้เมื่อ 6 ธันวาคม 2550
จากคำรับสารภาพของนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ดังกล่าว หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ได้ประสานพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานีมาบันทึกคำให้การ ต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนา รวมถึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังสถานที่เกิดเหตุ

ในเวลาต่อเจ้าหน้าที่ได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งตัวนายมูฮำหมัดซอบรีฯ ไปควบคุมตัวยังศูนย์พิทักษ์สันติฯ และในเวลาต่อมานายมูฮำหมัดซอบรีฯ ได้กลับคำให้การ และยังทำหนังสือร้องเรียนว่าตนเองโดนเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 ซ้อมทรมานจนกระทั่งตนเองต้องยอมรับสารภาพ แต่ศาลไม่รับคำฟ้อง

ในเวลาต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ดำเนินคดีแต่เจ้าตัวยังคงให้การปฏิเสธในทุกชั้นศาล จนกระทั่งศาลฎีกาจังหวัดปัตตานีได้มีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต นายมูฮำหมัดซอบรี หะยีมามุ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559

จากคำตัดสินของศาลจังหวัดปัตตานี ทุกขั้นตอนของกระบวนยุติธรรมมีความโปร่งใส ซึ่งได้ตัดสินกันไปตามพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาคดี แต่ที่สำคัญคือการยอมรับสารภาพในขั้นตอนการซักถามของเจ้าหน้าที่ซึ่งได้มีการบันทึกคำให้การพร้อมกับบันทึกเทปไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าทนายความและผู้นำทางศาสนาโดยไม่มีการบังคับขู่เข็นใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้จะกลับคำให้การในตอนหลังเพื่อลบล้างการรับสารภาพก็ไม่เป็นผลใดๆ

การก่อเหตุของนายมูฮัมหมัดซอบรีฯ ในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย มีหลายชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวต้องเจ็บปวด บ้างขาดเสาหลักขาดผู้นำในครอบครัวไป ที่สำคัญต้องมาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ...คำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตที่ศาลได้ลงอาญาเหมาะสมแล้วกับการกระทำ แต่ผู้เขียนคิดว่าศาลยังให้ความปราณีต่อผู้ต้องหาอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 7 ชีวิตที่ตายจากน้ำมือการกระทำของเขา...

แล้วเมื่อไหร่ความสันติสุขที่ทุกคนใฝ่หาจะเป็นจริงสักที!!! ในเมื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงเดินหน้าก่อเหตุสร้างสถานการณ์อยู่เช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนคือประชาชนปาตานี ต้องมารับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงของโจรใต้ฟาตอนีอยู่เนืองๆ อีกฝากฝั่งหนึ่งครอบครัวโจรใต้ฟาตอนีก็เช่นเดียวกันได้รับความเดือดร้อนไม่หยิ่งหย่อน และแตกต่างกับครอบครัวผู้ที่ถูกกระทำเท่าไหร่นัก!! 
เนื่องจากเกิดการปะทะถูกวิสามัญ บ้างถูกจับกุมโดนคุมขังในเรือนจำ ต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้าต้องเป็นภาระของสังคม  แล้วถามโจรใต้ฟาตอนีเหล่านี้สิ!!! ทำไปเพื่ออะไร?...และเพื่อใคร? กันแน่...คนสั่งการเสวยสุขอยู่เมืองนอก ส่งลูกหลานตัวเองศึกษาต่อยังต่างประเทศ ย้อนกลับมามองครอบครัวสมาชิกแนวร่วมดูละกัน!!!..ทุกวันนี้ครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร..ยิ่งผู้นำครอบครัวถูกคุมขังจะอยู่กันอย่างไร!!!..คุ้มค่าแล้วหรือที่ทุ่มเทเพื่อขบวนการ....

------------------------

10/19/2559

ความจัญไรขององค์กร PerMAS..

แบมะ ฟาตอนี


เมื่อ 13 ต.ค.59 นายมูซา เจ๊ะแว อดีตผู้ประสานงาน PerMAS ส่วนกลาง และนายอาเต็ฟ โซะโก ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองปาตานีนอกมาตุภูมิ แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ค กรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบรมโกศสวรรคต ระบุ ขอแสดงความเสียใจกับคนไทย และคาดหวังว่ามิตรภาพที่ดีระหว่างชาวไทย และชาวปาตานีจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ แล้วเราจะเดินไปสู่สันติภาพพร้อมกัน

ขณะที่ นายอาร์ฟาน วัฒนะ ผู้ประสานงานเขตปัตตานี องค์กร PerMAS อดีตรองประธาน PerMAS กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือประมุขของประเทศเพื่อนบ้านปาตานี
ปีกการเมืองขบวนการบีอาร์เอ็น ทั้งในอดีตและปัจจุบันไม่เคยสำเหนียกว่าตัวเองเป็นคนไทย หลงคิดว่าตัวเองคือคนปาตานี ทั้งๆ ที่บุคคลกลุ่มนี้เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพิ่งเกิดลืมตาดูโลกในผืนแผ่นดินไทยไม่นานเท่าไหร่ แต่น่าแปลกใจที่จิตใจกลับทรยศต่อผืนแผ่นดินที่คุ้มกะลาหัว..

การออกมากล่าวของ นายอาร์ฟานฯ อดีตรองประธาน PerMAS พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือประมุขของประเทศเพื่อนบ้านปาตานี น่ารังเกียจและสมเพศเป็นอย่างยิ่งกับพฤติกรรมที่คนไทยทั้งประเทศกำลังโศกเศร้า คนส่วนใหญ่ทุกเชื้อชาติและศาสนากำลังเสียใจ แต่คนกลุ่มนี้กลับออกมาเคลื่อนไหวสร้างความแตกแยกในแผ่นดิน

ข้อเท็จจริงทุกคนทราบกันดีไม่มี "ประเทศปาตานี" ที่คนกลุ่มนี้ได้กุขึ้นมาแต่ประการใด มีเพียงแต่ จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นจังหวัดๆ หนึ่งของประเทศไทย อีกทั้ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 1 บัญญัติไว้ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

ผู้ที่ปลุกปั่นสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย...ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอยู่อาศัยในผืนแผ่นดินไทย อยู่ใต้ร่มธงไทย...ตายจากไปเมื่อไหร่ สมสมควรหรือ?..ที่เอาดินกลบหน้าในหลุมฝังศพ!!
----------------------

10/18/2559

เปิดโปง“องค์กรสุดโต่ง”ช่วยเหลือผู้กระทำผิด

'แบมะ ฟาตอนี'


จากกรณีเมื่อวันที่ 10-15 ตุลาคม 2559 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังได้เข้าทำการปิดล้อม ตรวจค้น และควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยจากห้องพักในบริเวณถนนรามคำแหง  โดยได้จับกุมบุคคลที่มีภูมิลำเนาจากจังหวัดชายแดนใต้ จำนวนทั้งสิ้นรวม 44 ราย เป็นหญิง 8 คน และชาย 36 คน และได้มีการปล่อยตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวไปแล้วจำนวนหนึ่งโดยไม่มีการแจ้งข้อหา ยังคงเหลือบุคคลที่น่าสงสัย

ในเวลาต่อมาผู้ต้องสงสัย 5 คน ซึ่งมาจากจังหวัดนราธิวาส ที่ มทบ.11 โดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกในการควบคุมตัวต่อไปอีก หลังจากหมดอำนาจควบคุมตัว 7 วัน ตามมาตรา 44 ผู้ถูกควบคุมตัว มีรายชื่อดังนี้คือ 1.ตาลมีซี โตะตาหยง อายุ 31 ปี 2.มูฟตาดีน สาและ อายุ 18 ปี 3.อัมรีย์ หะ อายุ 18 ปี 4.นุรมัน อาบู อายุ 20 ปี 5.อุสมาน กาเด็งหะยี อายุ 22 ปี ทั้งหมดไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงแต่ประการใด

ความเคลื่อนไหวของมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

นอกจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา PerMAS ปีกการเมืองกลุ่มขบวนการบีอาร์เอ็นแล้ว ยังมีการเคลื่อนไหวของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เจ้ใหญ่จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมขาประจำที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด ขนาดถูกฟ้องร้องดำเนินคดีความจากหน่วยงานภาครัฐกับข้อหาการนำข้อมูลเท็จการซ้อมทรมานในจังหวัดชายแดนใต้มาเปิดเผยต่อสาธารณชนยังไม่เข็ดหลาบจำ
โดยเมื่อวันที่ 17 ต.ค.59 น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่มีอำนาจในการควบคุมตัวทั้ง 5 คนต่อไปโดยอาศัยกฎอัยการศึก เนื่องจากการจับกุมในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2559 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยตัวบุคคล 5 คน จากการควบคุมตัวโดยพลการโดยทันที โดยไม่มีเงื่อนไข กรณีการตรวจค้นจับกุมประชาชนจากจังหวัดชายแดนใต้ในกรุงเทพแล้วส่งตัวไปควบคุมตัวต่อที่ปัตตานี เมื่อวันที่ 17 ต.ค.59

จากรายงานข่าวแจ้งว่า จากการซักถาม นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับว่าเป็น 1 ในผู้เตรียมการก่อเหตุระเบิดใน กทม. โดยเดินทางมาจาก อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ได้ประมาณ 7 วันก่อนถูกจับข้อหามีใบกระท่อม ที่หอพักย่านรามคำแหง เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเป้าหมายที่จะวางระเบิดกำหนดไว้ 5 จุด คือที่บิ๊กซี รามคำแหง สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และย่านบางพลีอีก 2 จุด โดยมีผู้ส่งพัสดุอุปกรณ์มือถือที่เตรียมการก่อเหตุ มายังหอพักย่านรามคำแหง ก่อนจะนำไปซุกซ่อนไว้ใต้ฝ้าเพดานห้องน้ำชั้น 2 ของหอพักไม่มีชื่อในซอยเทศบาลบางเสาธง 35 ต.เมืองใหม่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แต่จากการตรวจค้นไม่พบอุปกรณ์ดังกล่าว แต่จากการสอบสวนจาก ผู้ดูแล ทราบว่า นายอับดุลบาซิร สือกะจิ และนายมูบาริห์ กะนา ชาวอ.สุคิริน สะพายเป้ออกจากหอพักไปเมื่อวันที่ 12 ต.ค. จึงอาจเป็นไปได้ว่าระเบิดถูกทำลายหรือเคลื่อนย้ายไปแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมติดตามจับกุมบุคคลทั้งสองอย่างเร่งด่วน

อยากทราบเหมือนกันว่าระหว่างความเป็นความตายของประชาชน และความวุ่นวายในบ้านเมืองที่เกิดจากน้ำมือของผู้ก่อเหตุรุนแรง กับความถูกต้องที่เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายเพื่อระงับยับยั้ง ทำลายแผนการชั่วร้ายไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องมานั่งเสียใจ แต่ทำไม? องค์กรเหล่านี้จึงเลือกที่เข้าข้างคนผิดเพราะสาเหตุใด?...สังคมช่วยตอบที

หรือ!! สังคมจะให้โอกาสกับคนกลุ่มนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า..โดยที่เจ้าตัวไม่เคยสำนึกผิด!! ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือคนร้ายและกลุ่มขบวนการต่อไปอย่างหน้าไม่ละอาย...องค์กรเหล่านี้เคยส่องกระจกแล้วดูเงาตัวเองบ้างมั๊ย!!! ว่าเคยกระทำความดีที่น่าภาคภูมิใจให้กับประเทศชาติบ้านเมืองตัวเองบ้างรึยัง..เคยตอบแทนคุณแผ่นดินเกิดที่ซุกหัวนอนบ้างมั๊ย!!...หรือตั้งหน้าตั้งตาคอยนำข้อมูลของชาติไปขายให้ฝรั่งตาน้ำข้าวเพื่อแลกกับเศษเงิน!!  นำความอัปยศอดสูมาสู่ประเทศเมืองนอน...อนิจจา!! คุณคือ คนไทย หรือ?  คนพวกนี้เกิดมาหนักแผ่นดิน อยู่ไปก็ไร้ค่าไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม.สมควรเป็นผี!!

ตบหน้า PerMAS เมื่อนายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับสารภาพเตรียมก่อเหตุระเบิด 5 จุด กทม.

'แบดิง โกตาบารู'


จากกรณี นายฮากิม พงติกอ ผู้ประสานงาน เครือข่ายพลเมืองปาตานีนอกมาตุภูมิ (ประจำประเทศอินเดีย) สมาชิกคนหนึ่งของ สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือ PerMas ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia กรณีการกวาดล้างจับกุมกลุ่มนักศึกษารามคำแหง ซึ่งเป็นมุสลิม จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่อาศัยอยู่ย่านรามคำแหง ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคมที่ผ่านมา จำนวนกว่า 40 คน

ในการปฏิบัติการเนื่องจากมีกระแสข่าวจะมีการก่อเหตุระเบิดป่วนกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลในเวลาต่อมา นายฮากิม พงติกอ ได้ทำการสื่อในลักษณะเจ้าหน้าที่รัฐสงสัยการก่อเหตุป่วนกรุงเทพและปริมณฑล เจ้าหน้าที่รัฐใช้วิธีการจับกุมอย่างรุนแรงใช้อาวุธสงคราม ระเบิดควัน เหมือนจับกุมผู้ต้องสงสัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จับโดยไม่รู้จักชื่อ ไม่มีข้อหาด้วยซ้ำ 

และมีการคุมขังโดยไม่ได้แจ้งให้ญาติทราบ ขณะนี้แม้จะมีการปล่อยตัวออกมาบ้างแล้ว แต่ยังมีการควบคุมตัวซึ่งเชื่อว่าอยู่ในค่ายทหารอีกไม่น้อยกว่า 30 คน อย่างไรก็ตาม กลุ่ม PerMas เตรียมที่จะเข้าร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ ยูเอ็น เพราะไม่อาจคาดหวังต่อองค์กรสิทธิในประเทศได้ โดยเฉพาะในบรรยากาศแบบนี้คนไทยจำนวนมากอาจจะไม่พร้อมที่จะรับฟัง


ก่อนหน้านี้ฝ่ายความมั่นคง มีการข่าวแจ้งว่า จะมีกลุ่มก่อการร้าย เตรียมก่อเหตุคาร์บอมบ์ 17 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 25-30 ต.ค.59 โดยมีเป้าหมายหรือพื้นที่เสี่ยง ห้างสรรพสินค้า ลานจอดรถ และตามแหล่งท่องเที่ยว และในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่รัฐได้ทำการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจำนวน 40 ราย ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว 25 ราย และยังไม่ได้รับการปล่อยตัว 15 ราย ในเบื้องต้นเมื่อวันที่ 12 ต.ค.59 เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องสงสัยไปฝากขังที่เรือนจำคลองเปรม และควบคุมตัวที่ มณฑลทหารบกที่ 11

เมื่อวันที่ 17 ต.ค.59 เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร สนธิกำลังตรวจค้นหอพักเลขที่ 4/226 ห้อง 207 ชั้น 2 บริเวณเคหะชุมชนเมืองใหม่บางพลี ซอย ฝ7 หมู่16 ต.บางเสาธง อ.บางพลี จ.สมุทร ปราการ หลังมีข้อมูลข่าวว่าที่ห้องดังกล่าวอาจจะมีสารตั้งต้นการประกอบระเบิด


โดยผลการตรวจค้นพบกล่องบรรจุวัตถุต้องสงสัย 4 กล่อง รวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์และสายไฟจำนวนหนึ่ง และชายต้องสงสัย อีก 1 คนซึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องดังกล่าว

โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ปิดล้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยในเรื่องความมั่นคง ยาเสพติด ย่านรามคำแหง มีนบุรี และหนองจอก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ได้เชิญกลุ่มบุคคลต้องสงสัยในคดีความมั่นคงมามี 14 คน ทางเจ้าหน้าที่ ต้องขอขอบคุณที่ทุกคนได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  9 คนทางเจ้าหน้าที่ได้ให้กลับบ้าน ไปแล้ว ยังคงเหลือเพียง 5 คน คือ นายตาลมีซี โตะตาหยง, นายมูฟตาดีน สาและ, นายอัมรีย์ หะ, นายนุรมัน อาบู และ นายอุสมาน กาเด็งหะยี 

โฆษกคสช. กล่าวว่า ทั้ง 5 คนไม่พบว่ามีสถานะเป็นนักศึกษา ประกอบกับเจ้าหน้าที่พบว่ามีข้อพิสูจน์อันน่าเชื่อถือว่าน่าจะมีข้อมูลสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่องานความมั่นคงในส่วนทั้งของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ กทม. และปริมณฑล หลังจากนี้คงจะ เป็นไปตามกระบวนการซักถามเพิ่มเติมตามอำนาจทางกฎหมายของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการซักถาม นายตาลมีซี โต๊ะตาหยง รับว่าเป็น 1 ในผู้เตรียมการก่อเหตุระเบิดใน กทม. โดยเดินทางมาจาก อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ได้ประมาณ 7 วันก่อนถูกจับข้อหามีใบกระท่อม ที่หอพักย่านรามคำแหง เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเป้าหมายที่จะวางระเบิดกำหนดไว้ 5 จุด คือที่บิ๊กซี รามคำแหง สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และย่านบางพลีอีก 2 จุด โดยมีผู้ส่งพัสดุอุปกรณ์มือถือที่เตรียมการก่อเหตุ มายังหอพักย่านรามคำแหง ก่อนจะนำไปซุกซ่อนไว้ใต้ฝ้าเพดานห้องน้ำชั้น 2 ของหอพักไม่มีชื่อในซอยเทศบาลบางเสาธง 35 ต.เมืองใหม่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แต่จากการตรวจค้นไม่พบอุปกรณ์ดังกล่าว แต่จากการสอบสวนจาก ผู้ดูแล ทราบว่า นายอับดุลบาซิร สือกะจิ และนายมูบาริห์ กะนา ชาวอ.สุคิริน สะพายเป้ออกจากหอพักไปเมื่อวันที่ 12 ต.ค. จึงอาจเป็นไปได้ว่าระเบิดถูกทำลายหรือเคลื่อนย้ายไปแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมติดตามจับกุมบุคคลทั้งสองอย่างเร่งด่วน

10/13/2559

การปลุกระดมทางความคิดใน จชต.เพื่ออะไร..?

แบดิง  โกตาบารู


ในประเทศไทยเรามีการปลุกระดม ปลุกกระแสให้เกิดความแตกแยกในสังคมของกลุ่มผู้เห็นต่าง มีการเคลื่อนไหวทางความคิดกระทำการอย่างเปิดเผยไม่กลัวเกรงต่อกฎหมายใดๆ ซึ่งมีให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ

ยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีกลุ่มและองค์กร นักคิดนักเขียน นักวิชาการ นักการศาสนา ทนายความ และปีกการเมืองกลุ่มขบวนการไม่แค่ทำการปลุกระดมทางความคิดธรรมดาๆ ทั่วไป แต่ถึงขนาดชี้นำปลุกกระแสให้มีการแบ่งแยกดินแดนเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทยกันเลยทีเดียว

การสร้างการรับรู้กับประชาชนมีการเผยแพร่บทความ การจัดเวทีเสวนา หนักหนาสาหัสถึงกับยุแหย่ให้ประชาชนในพื้นที่ละเมิดไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ยอมรับการปกครองที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย

เมื่อวันที่ 10 ต.ค.59 นายอาบีบุสตา ดอเลาะ ทนายความมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม อดีตกลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมชายแดนใต้ (KAWAN-KAWAN) ได้เผยแพร่บทความผ่านเว็บไซต์ deepsouthwatch หัวข้อ การผนวกรัฐปาตานีผ่านรัฐธรรมนูญโดยรัฐไทย

ในบทความดังกล่าวได้ระบุสนธิสัญญา Anglo-Siamese Treaty ทำให้ปาตานีถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสยาม ตั้งแต่ พ.ศ.2452 โดยไม่มีความชอบธรรม เนื่องจากเจ้าเมือง  และประชาชนปาตานีไม่มีส่วนรู้เห็น

โดยได้มีการชี้นำว่าเมื่อปี 2475 อาณาจักรสยามได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับแรก กำหนดในมาตรา 1 สยามประเทศเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้ ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิดหรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 3 เป็นต้นมา ได้เปลี่ยนจากคำว่า สยาม เป็น ประเทศไทย เพื่อลบภาพ รัฐล่าอาณานิคม และไม่เคยเปลี่ยนแปลงข้อความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 เท่ากับ เป็นการผูกมัดให้ประชาชนปาตานีต้องกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ความอิสระทางความคิด การปลุกระดมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นับวันยิ่งทวีความรุนแรง มีกลุ่มบุคคลมุ่งสร้างความแตกแยกในเรื่องเชื้อชาติ และศาสนา เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกตัวมาปรับทัศนคติกลับกล่าวหาเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ในฐานะที่จังหวัดชายแดนใต้มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศมาเลเซีย กลุ่มหรือบุคคลเหล่านี้ย่อมรู้ดีว่าการบังคับใช้กฎหมายของประเทศเพื่อนบ้านเข้มงวดขนาดไหน ลองมาดูและเปรียบเทียบความผิดที่ลงโทษการละเมิดต่อกฎหมาย แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มเครือข่ายแนวร่วมสนับสนุนกลุ่มขบวนการได้คืบจะเอาศอกวัตถุประสงค์ของกลุ่มทนายความมุสลิมจัดตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร? ไม่ใช่มุ่งช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ให้พ้นผิดหรอกหรือ?

ความเข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายของประเทศมาเลเซีย ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติปลุกระดม (พ.ร.บ.ปลุกระดม) ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จับกุมคนที่เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน นักกฎหมาย ทนายความ ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แม้กระทั่งทนายความที่ช่วยเหลือผู้ถูกจับกุม ก็โดนจับกุมด้วย

พ.ร.บ.ปลุกระดม และกฎหมายการสื่อสารและมัลติมีเดียในมาเลเซีย ผู้กระทำความผิดมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือประมาณ 45,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับผู้กระทำความผิดครั้งแรก และไม่เกิน 5 ปี สำหรับผู้กระทำความผิดซ้ำ

นี่หากกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไปอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียคงติดคุก ติดตะรางกันหลายรอบแล้ว ประเทศมาเลเซียแค่เบาะๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลุกระดมอย่างเดียวก็มีความผิดแล้ว แต่จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรา..พฤติกรรมถึงกับคิดแบ่งแยกดินแดนแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย   

ที่สำคัญมีการปลุกกระแสความเป็นชาตินิยม ให้ประชาชนในพื้นที่ตื่นตัวหลงผิดคิดว่าตัวเองคือ มลายูไม่ใช่คนไทย ด้วยการปฏิเสธ 5 ไม่ กล่าวคือ NO INFORMATION จะต้องไม่ยอมรับสื่อหรือข่าวสารใดๆ ที่มาจากฝ่ายรัฐบาลไทย หรือเจ้าหน้าที่รัฐไทย ต้องไม่ยอมรับไม่เห็นด้วย และต่อต้านข่าวสารทุกชนิดที่มาจากรัฐไทย

NO COMPROMISE ไม่ยอมให้อภัย ไม่สมานฉันท์ ไม่คืนดี ไม่ให้คำมั่นสัญญา ไม่เจรจา ไม่ประนีประนอม ไม่ต้องการให้มีการเจรจาเกิดขึ้น

NO ASSIMILATE จะต้องไม่อยู่ร่วมกันอย่างเด็ดขาดกับคนสยาม ไม่กลมกลืนทางวัฒนธรรม ไม่ปรองดองกับสยาม ซึ่งมีความพยายามชี้ให้ให้เห็นว่าสยามทำลายความเป็นชนชาติมลายู ทำลายศาสนาอิสลาม 
  
NO AUTONOMY จะต้องไม่เอาเขตปกครองพิเศษ หรือ AUTONOMY อย่างเด็ดขาด เขตปกครองพิเศษไม่ใช่เป้าหมายการต่อสู้ขององค์กร ขบวนการ BRN มีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือ MERDEKA (เอกราช) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

NO PALIAMENT จะต้องไม่ยอมรับกฎหมายไทย เพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายของคนสยาม เป็นกฎหมายของชาวไทยพุทธ จะมาบังคับใช้กับคนมลายู และบังคับคนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่ได้

การปลุกระดมเพื่อหาแนวร่วมยังคงใช้ประเด็นสยามกดขี่ ข่มแหง กดดัน ใช้ประวัติศาสตร์ยุคใหม่ เช่นเหตุการณ์ตากใบ ชี้ให้เห็นว่าซีแยกระทำต่อพี่น้องมลายูปาตานีอย่างโหดเหี้ยมยังคงใช้ได้ผลอยู่ในปัจจุบัน คนที่ยังไม่รู้เท่าทัน คงจะรู้แล้วว่ากลุ่มขบวนการ รวมไปถึงเครือข่ายสนับสนุนมีการปลุกระดมทางความคิดใน จชต.เพื่ออะไร?

------------------------

10/12/2559

ความแตกต่างการปลุกระดม...ชายแดนใต้vsประเทศมาเลเซีย

แบดิง  โกตาบารู


พ.ร.บ.ปลุกระดม และกฎหมายการสื่อสารและมัลติมีเดียในมาเลเซีย ผู้กระทำความผิดมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือประมาณ 45,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับผู้กระทำความผิดครั้งแรก และไม่เกิน 5 ปี สำหรับผู้กระทำความผิดซ้ำ

ย้อนมองความอิสรเสรีในการปลุกระดมในประเทศไทยเรา ถึงขนาดมีการคิดแบ่งแยกดินแดนออกจากผืนแผ่นดินไทยของคนบางกลุ่ม ทุกวันนี้กลุ่มองค์กรนี้ยังเสนอหน้าอยู่ในพื้นที่ หลงผิดคิดว่าตนเองเป็นมลายู กล่าวหาสยามรุกรานไม่สำนึกในแผ่นดินเกิด น่าจะย้ายถิ่นไปพำนักในมาเลย์ดูว่าจะมีความสุขมั๊ย!!

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา นักสิทธิมนุษยชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รวมตัวกันที่หน้าสถาน

เอกอัครราชทูตมาเลเซีย ประจำประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียยกเลิกพระราชบัญญัติปลุกระดม (พ.ร.บ.ปลุกระดม) ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาล

ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่ปกครองโดยคนมลายู ความเข้มงวดของกฎหมายมีความเข้มข้น โดยเฉพาะผู้ที่กระทำความผิดมีบทลงโทษที่รุนแรง สามารถบังคับใช้กฎหมายกับบุคคล กลุ่มหรือองค์กรที่ต่อต้านรัฐได้ผลอย่างดีเยี่ยม

แต่น่าแปลกใจการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย ขนาดรัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกทั้งประเทศ  หรือแม้กระทั่งการใช้กฎหมายพิเศษการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้มีการเข้มงวดกวดขัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่
แต่กลับมีกลุ่ม องค์กรและบุคคลที่พยายามเคลื่อนไหวให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎหมายพิเศษ อ้างไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ท่าทีกลุ่มและองค์กรเหล่านี้อ้างประชาชน ข้อเท็จจริงออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องกลุ่มขบวนการ ปกป้องผู้กระทำความผิด การประกาศใช้กฎหมายพิเศษไม่ได้กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่แต่อย่างใด แต่มีผลต่อกลุ่มขบวนการที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ ไม่มีอิสระในการก่อเหตุ

คำว่าเชื้อชาติ ไม่ได้เป็นตัวแบ่งแยกคนในชาติ รัฐจะต้องมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงแห่งชาตินั้นๆ เพื่อความสงบสุขของคนในชาติ
สำหรับพระราชบัญญัติปลุกระดม (พ.ร.บ.ปลุกระดม) ของประเทศมาเลเซีย จับกุมคนที่เห็นต่าง ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนการ์ตูน นักกฎหมาย ทนายความ ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล แม้กระทั่งทนายความที่มาช่วยผู้ถูกจับกุม ก็โดนจับด้วย

สำหรับบทลงโทษ หากประชาชนถูกตั้งข้อหาตาม พ.ร.บ.ปลุกระดม และกฎหมายการสื่อสารและมัลติมีเดียจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือประมาณ 45,000 บาท หรือจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับผู้กระทำความผิดครั้งแรก และไม่เกิน 5 ปี สำหรับผู้กระทำความผิดซ้ำ


แล้วในประเทศไทยเราละ..ดินแดนแห่งสยามเมืองยิ้ม กลุ่มคนที่บิดเบือนความจริง ทนายความที่ช่วยเหลือกลุ่มขบวนการ นักวิชาการ นักคิด องค์กรภาคประชาสังคมทั้งหลาย นำข้อมูลเท็จทำร้ายทำลายประเทศย่อยยับเสียหาย รัฐทำอะไรไม่ได้ ไปแตะก็แอะอะโวยวายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน...ทำไม? มาเลเซียบังคับใช้ พ.ร.บ.ปลุกระดม และกฎหมายการสื่อสารเอาผิดกับประชาชนตนเองได้!!!..น่าคิดนะ

10/11/2559

ความยุติธรรมกับการใช้กฎหมายดับไฟใต้...


“Ibrahim”

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช ได้เข้ารับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ยึดหลักกฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย นำสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนน้อมนำปรัชญาในหลวง เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา

โฟกัสไปที่แม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ในการขับเคลื่อนแก้ไขไฟใต้ ซึ่งหากมองนโยบายกฎหมายนำ การทหารตาม การเมืองขยาย นำสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนได้ให้ความสำคัญในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การเมือง เพื่อมุ่งไปสู่ความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจในพื้นที่

หลายยุคหลายสมัยกลุ่มขบวนการ หรือกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมแนวร่วม แม้กระทั่งประชาชนในพื้นที่ได้เคลื่อนไหวเพื่อสะท้อนปัญหาในปัญหาในพื้นที่ให้สังคมรับรู้ว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่มีความเป็นธรรม ไม่เสมอภาค และเลือกปฏิบัติมาโดยตลอด

ศาลสถิตยุติธรรม เป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งที่องค์กรอื่นๆ ไม่สามารถแทรกแซงได้ อีกทั้งไม่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชน การพิจาณาคดี มีความถูกต้อง เที่ยงตรง และเสมอภาค โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาไม่เป็นการซ้ำเติมปัญหา ซึ่งที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ได้พิจารณาตัดสินคดีด้วยความรอบคอบเป็นธรรม ว่าไปตามวัตถุพยานหลักฐาน หากขาดซึ่งพยานและหลักฐานที่ไม่แน่นหนาพอศาลจะพิจารณายกฟ้องให้เป็นผลประโยชน์ต่อจำเลย

ตัวอย่างของคดีความอย่างเช่นเมื่อวันที่ 3  กันยายน 2558 ศาลจังหวัดปัตตานีได้นั่งบัลลังก์พิจารณาพิพากษาคดีความมั่นคง ตามเลขคดีแดง เลขที่ อ.3172/57และตัดสินให้ ยกฟ้องนายอายมาน เจ๊ะหลง

สืบเนื่องมาจากเหตุคนร้ายทำการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจยะลา 16 ขณะเดินทางด้วยรถยนต์บรรทุก ขนาด 2 ตันครึ่ง เพื่อสับเปลี่ยนกำลัง เหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 16 นายด้วยกัน เหตุเกิดบนถนนสาย 418ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553

สำหรับสาเหตุที่ นายอายมาน เจ๊ะหลง ตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา สืบเนื่องมาจากผลการตรวจสารพันธุกรรม พบว่า DNA นายอายมานฯ ตรงกับ DNA เทปกาวพันสายไฟ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่ติดตั้งภายในรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง ซึ่งตกอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ

ส่วนประวัติจากการตรวจสอบพฤติกรรม นายอายมานฯ พบว่าเป็นสมาชิกผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ และยังเป็น Logistik รับผิดชอบในพื้นที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสซึ่งเคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวตามหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 ส่งตัวดำเนินกรรมวิธีซักถาม ณ ศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์

ผลการซักถามในครั้งนั้น นายอายมานฯ ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับฆือโลหรือคอลอรอเคยผ่านการฝึกร่างกายขั้นพื้นฐาน และยังทำหน้าที่เก็บชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบระเบิดแสวงเครื่อง เช่น กล่องเหล็กสำเร็จรูป

นายอายมานฯ ยังสมัครใจนำเจ้าหน้าที่ไปทำการชี้จุดที่ตนเองพร้อมพวกร่วมกันขุดเจาะถนน เพื่อเตรียมการสำหรับก่อเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณริมถนนพื้นที่บ้านชูโว ตำบลบาเร๊ะใต้ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส และได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระในเวลาต่อมา

หลังจาก นายอายมานฯ ทราบว่าถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา เมื่อ 23 มิถุนายน 2557 จึงได้ติดต่อเข้ารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 22 โดยมีความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน เจ้าหน้าที่ได้กลั่นกรองเบื้องต้นแล้วส่งตัวดำเนินคดี และได้รับการประกันตัวในเวลาต่อมา ในวงเงิน 24,770 บาท ภายในวันเดียวกัน

เวลาผ่านไป 2 เดือน 10 วัน กระบวนการต่างๆ ได้ดำเนินการตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน รวบรวมวัตถุพยานหลักฐาน ส่งตัวฟ้องศาลพิจารณาคดี และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2558 ศาลจังหวัดปัตตานีได้พิจารณาตัดสิน ยกฟ้องนายอายมาน เจ๊ะหลง สาเหตุสืบเนื่องมาจากทนายโจทย์ ไม่สามารถแจ้งถึงความสัมพันธ์ของเทปพันสายไฟ ซึ่งพบว่า DNA Matching มีความสัมพันธ์กับระเบิดแสวงเครื่อง และให้ประกันตัวได้ในระหว่างการอุทธรณ์
นายอายมาน เจ๊ะหลง เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความกล้าที่จะยอมรับความจริง เมื่อผิดแล้วยอมรับผิด และเคยยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง เมื่อถูกออกหมายจับ ป.วิอาญา นายอายมานฯ  ไม่ได้หลบหนีหายไปไหนได้ติดต่อขอเข้ารายงานตัวแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ทันที อีกทั้งมีความประสงค์เข้าร่วม โครงการพาคนกลับบ้านโครงการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถือว่าเป็นผลดีต่อ นายอายมานฯ โดยตรงในรูปคดี

ผู้ที่กระทำความผิดแล้วยอมรับผิด ผู้นั้นสมควรที่จะได้รับการยกย่อง ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตนเป็นคนดีของสังคมหันหลังให้กับขบวนการ ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาซึ่งไม่มีผลดีใดๆ เลย มีแต่สร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นต่อประชาชนและประเทศชาติ หันหน้ามาพูดคุยสร้างความเข้าใจกันให้มากขึ้นในทุกระดับ เพื่อสนับสนุนการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลที่กำลังเดินหน้ากับกลุ่มผู้คิดต่างกลุ่มต่างๆ ซึ่งมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก อีกไม่นานสันติสุขจะเกิดเป็นรูปธรรม หากทุกภาคส่วนทำการขับเคลื่อนรวมพลังเพื่อจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราให้มีความสงบสุขอย่างยั่งยืนถาวรตลอดไป

การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ยุคใหม่กับการมุ่งบังคับใช้กฎหมาย พัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อพลิกฟื้นชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้อยู่ดีกินดี ที่สำคัญมี ครม.ส่วนหน้าลงมาขับเคลื่อนและบูรณาการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม...คอยติดตามกันดูค่ะ ไฟใต้ที่คุกกรุ่นมาสิบกว่าปีจะได้รับการแก้ไขให้กลับมาปกติสุขได้หรือไม่? กับมิติใหม่แก้ปัญหาไฟใต้โดย พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ภายใต้การกำกับดูแลรัฐบาลชุดปัจจุบัน.

------------------------

10/09/2559

กลุ่มขบวนการการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’

แบดิง โกตาบารู

กลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานี เป้าหมายกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เพื่อต้องการให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้สนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับหลายปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช
มูลเหตุของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของขบวนการ BRN อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดความคิดต่อสู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี 8 ประการด้วยกันกล่าวคือ
1.เกิดจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ค่อนข้างล้าหลัง ส่งผลให้คนที่มีความคิดชาตินิยมทางด้านเชื้อชาติบางส่วนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกครอบงำทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้คือแกนนำสำคัญของขบวนการ BRN Co – ordinate
2.เกิดจากการกระจุกตัวอย่างหนาแน่นของกลุ่มคนชาติพันธุ์มลายูที่มีวัฒนธรรมจำเพาะ แตกต่างจากคนไทยในสังคมใหญ่โดยทั่วไป
3.พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตติดต่อกับบางรัฐของประเทศมาเลเซีย และรัฐเหล่านั้นปกครองโดยกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ทำให้มีโอกาสเกิดความคิดต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนสูงกว่าพื้นที่อื่นของประเทศ
4.คนในพื้นที่โดยเฉพาะพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานี มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของตนเอง
5.แรงจูงใจร่วมของคนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม
6.ความสามารถของกลุ่มชาวมลายูมุสลิมเองที่จะปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกัน ทั้งที่มาจากการสนับสนุนของมวลชนในพื้นที่ และกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมจากต่างประเทศ
7.เงื่อนไขทางการเมืองของสังคมใหญ่ที่เอื้ออำนวย เช่น การแตกแยกทางความคิดของกลุ่มสีต่างๆ ในสังคมใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอย ความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวมลดลง และระบบราชการย่อหย่อนอ่อนแอ
8.พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ และบาดแผลของปาตานีในครั้งอดีต
เหตุปัจจัยทั้ง 8 ประการดังกล่าว พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นปัจจัยปลุกเร้าที่กลุ่มขบวนการได้ใช้ในการปลูกฝัง ปลุกระดมมวลชนเชื้อสายมลายูเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้อย่างทรงพลังที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริมมีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมดังกล่าวไปสู่คน รุ่นต่อรุ่นมานานนับร้อยปี
กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate
ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น ฟัรดูอีน ปาตานี ไม่ใช่ ดารุลกุฟร์ หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม
เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียอำนาจให้กับคนไทย มีการกดขี่ประชาชนปาตานีซึ่งๆ หน้า หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยไม่ต้องอาศัยประวัติศาสตร์ใดๆ มาคอยย้ำเตือน หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของคนมลายูมุสลิมปาตานี
เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น
รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา
ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง
ตัวอย่างที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือฝาผนังห้องน้ำโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”
ส่วนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าว
จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนมะหัดดารุลมูฮายีรีน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านบาโงสะโต ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า นักรบฟาตอนีดารุสลาม มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี ส่วนกรัดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า บาบีอายิง แปลว่า หมูหมา
นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า กูรักฟาตอนี มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า ฟาตอนี
โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน
ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล
ตราบใดที่การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปล่อยให้ขบวนการ BRN Co – ordinate ปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อไป มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความสงบสุขที่ทุกคนต่างเรียกหาก็ยังไม่เกิด ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่ศพ แต่อย่างน้อยผู้เขียนพยายามสื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการปลูกฝังความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงรัฐไทยมีการปูพื้นมาตั้งแต่เล็กในโรงเรียนสอนศาสนาที่ยากต่อการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ที่มีอยู่หลายพันโรงกระจายเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate

------------------------------