กลุ่มที่มีแนวคิดแบ่งแยกภายใต้หน้ากาก NGOs พวกนี้ มักแอบแฝงอยู่ในองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายในพื้นที่
จชต. ซึ่งบางคนก็มีสายสัมพันธ์กับนักกิจกรรมเยาวชนที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศ บางองค์กรก็มีสัมพันธ์กับ
NGOs หรือหน่วยงานระหว่างประเทศที่มีตัวแทน หรือจัดตั้งสำนักงานในประเทศไทย ลองมาดูบทบาทของลูกสมุนพวกแบ่งแยกดินแดนภายใต้หน้ากาก NGOs กันดู
1.
เรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายพิเศษที่บังคับใช้อยู่ในพื้นที่ จชต. .....
ก็เพื่อให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในปีกต่างๆ ได้มีอิสรเสรีในการดำเนินงานของตนได้มากขึ้น
โดยการอ้างว่ากฎหมายพิเศษมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชน แต่เมื่อได้ดูผลจากการก่อเหตุเหตุรุนแรงในพื้นที่ 13 ปีที่ผ่านมา ที่ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เป็นเป้าหมายที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ เช่น ครู พระสงฆ์ และประชาชนทั่วไป กฎหมายพิเศษเพื่อความมั่นคงนั้นมีเจตนาเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งถือเป็นสิทธิมนุษยชนที่เป็นพื้นฐานที่สุด ที่รัฐบาลซึ่งเป็นองค์อธิปัตย์ต้องจัดให้มี
ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว ก็เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้บริสุทธิ์
ทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย ไม่เดือดร้อน แต่คนที่เดือดร้อน
และเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายที่คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กลับเป็นหน้ากาก
NGOs
2.
กล่าวอ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน .....
การปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่ดี แต่การพูดโดยไม่เคยสัมผัสความจริง
พูดจากคำบอกเล่าที่สอดคล้องกับความเชื่อที่ได้รับการเสี้ยมสอนมา จัดกิจกรรมเพื่อจัดฉากประโคมข่าว
ป่าวประกาศต่อสังคมโลก เพื่อให้เข้าเงื่อนไขการแบ่งแยกดินแดน เมื่อใดชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายจากการก่อเหตุรุนแรง
พวกนี้จะอมสากไม่ยอมคลาย แต่หากมีการจับกุมผู้ก่อเหตุได้จะชิงออกข่าวว่าจับแพะ
โดยไม่พูดถึงพยานหลักฐาน และสำเหนียกในข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าหน้าที่จะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการจับกุมผู้ต้องหา
โดยเฉพาะในพื้นที่ จชต. เจ้าหน้าที่จะต้องมีความมั่นใจพอสมควร พยาน หลักฐาน จะต้องมีน้ำหนักเชื่อถือได้จึงจะขออนุมัติหมายจับได้ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติและขัดกับหลักความเสมอภาค การซ้อมทรมานเป็นเรื่องเล่าที่กล่าวต่อๆ กันมา
ซึ่งภายหลังบางคนที่อ้างว่าถูกซ้อมทรมาน ก็ถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษฐานแจ้งความเท็จ พฤติกรรมที่พูดแต่เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้เจ้าหน้าที่
ที่กลุ่มคนพวกนี้ทำอยู่ จึงทำให้เห็นว่าไม่ใช่นักสิทธิมนุษยชนที่แท้จริง
แต่เป็นทาส หรือขี้ข้าของกลุ่มที่ต้องการจะแบ่งแยกดินแดน ที่สวมหน้ากาก NGOs เท่านั้น
3. คัดค้านการไปดำเนินกิจกรรมใน
รร.ตาดีกา ..... จาก 13
ปีที่ผ่านมาหลักฐานหลายอย่างระบุตรงกันว่าการสอนใน รร.ตาดีกา
มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ในหลักศาสนาอิสลาม
ซึ่งหาดูได้จากคำพูดทั้งของ ผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้ตัดสินชี้ขาดทางศาสนา ผู้นำที่มุสลิมทั่วโลกยอมรับ ที่ทางฝ่ายรัฐนำมาชี้ทางสว่างที่ถูกต้อง หลายอย่างกลับตรงกันข้ามกับที่สอนกันมา
ใน รร.ตาดีกา และประวัติศาสตร์ก็ถูกสาดสีแบบตำนานผ่านเสียงกระซิบ
ไม่พูดถึงพลังของเส้นเวลา และพลวัตรของประวัติศาสตร์ ฉายประวัติศาสตร์แบบโลกแบน เพื่อสร้างความทรงจำและจินตนาการที่บิดเบี้ยวให้แก่เด็กๆ
จนส่งผลกระทบมาถึงทุกวันนี้ การเข้าไปดำเนินกิจกรรม
หรือบางครั้ง ช่วยสอนของ จนท. ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวไปถึงโครงสร้างวิชาหลักที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้
แต่มุ่งเน้นไปในเรื่องของกิจกรรมสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน หน้าที่หลักคือรักษาความความปลอดภัยให้ ครู นักเรียน ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนและสื่อการจัดการเรียนรู้
การเข้าไปดำเนินกิจกรรมใน รร.ตาดีกา ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง และครู รวมทั้งสมาคมชมรมตาดีกาในพื้นที่ต่างรู้สึกมีความปลอดภัย ยินดี และชื่นชม แต่กลุ่มที่กระวนกระวายที่สุดกลับเป็น
หน้ากาก NGOs
โฟกัสแค่สามประเด็นตัวอย่าง
โดยไม่ต้องโหวตให้ตกรอบเพื่อดูหน้า ก็เห็นว่าเป็นใคร กลุ่มไหนบ้าง ก็อย่างที่รู้ๆ
เห็นๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเอ่ยอ้างว่าเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนหรือเป็นนักสิทธิมนุษยชน
ไม่ว่าจะเป็นใครหรือองค์กรไหนก็ตาม ดูพฤติกรรมหรือบทบาทให้ชัดว่า เป็นหน้ากาก NGOs
เพื่อมุ่งร้ายทำลายประเทศเราหรือเปล่า
การเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นทาสหรือขี้ข้าของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้น
ยังเบากว่าความเป็นจริงมากนัก แท้ที่จริงแล้วควรต้องประณามหน้ากาก
NGOs พวกนี้ว่า ....................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น