กะ กันดา
ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่
14 แล้วความรุนแรงที่เกิดขึ้นหากย้อนดูสถิติมีแนวโน้มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นเนื่องจากการก่อเหตุลดลง
แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้ผู้ก่อเหตุก็ยังคงฉกฉวยลงมือเมื่อสบโอกาส เพื่อแสดงศักยภาพการมีตัวตนและใช้เป็นข้อต่อรองในเวทีพูดคุยสันติสุขกับรัฐบาลไทย หลายชีวิตหลายครอบครัวต้องตกเป็นเหยื่อให้กับกลุ่มอาชญากรชายแดนใต้
จากการบังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุมต่อผู้กระทำผิด หลายครั้งที่เจ้าหน้าปิดล้อมตรวจค้นใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง
แต่มิวายกลับถูกอาชญากรในคราบซัยตอนใช้อาวุธปืนประจำกายเปิดฉากยิงกรุยทางเพื่อหลบหนี
จึงเกิดการปะทะกันขึ้นนำไปสู่ความสูญเสียที่ไม่อยากให้เกิด มีจำนวนไม่น้อยที่ถูกควบคุมตัว
หากมองผิวเผินเป็นความสำเร็จของเจ้าหน้าที่
แต่ไม่น่าเชื่อว่าการปฏิบัติดังกล่าวกลับมีกลุ่มนักสิทธิหน้าเดิมออกมาเคลื่อนไหว
กล่าวหาเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุบ้าง มีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
ที่สำคัญวาทกรรมที่นักสิทธิแนวร่วมอาชญากรชายแดนใต้เหล่านี้มักใช้อยู่บ่อยครั้งคือเจ้าหน้าที่
“ละเมิดสิทธิ” สร้างความรู้สึกร่วมชี้นำสังคมว่าการกระทำดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เป็นการ“จับแพะ” แม้กระทั่งมีการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการตรวจ DNA เพื่อยันยันตัวบุคคลแล้วก็ตาม ซึ่งก็เป็นไปตามทฤษฎี
ความเป็นพวกอยู่เหนือความชอบธรรมทั้งปวง
นักสิทธิชายแดนใต้ที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิตัวยง
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก น.ส.อัญชณา
หีมมีหน๊ะ กลุ่มด้วยใจ หรือกลุ่มได้ใจโจรใต้ โดยมีทั้ง HAP
, มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และอีกหลายองค์กรที่เป็นเบื้องหลัง องค์เหล่านี้ทำงานน่ายกย่องและน่าชื่นชม เกิดเหตุกลุ่มอาชญากรกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์กลับเก็บตัวเงียบ
ไม่เคยมีเวลาออกมาแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมของคนทำชั่ว
กลุ่มอาชญากรชายแดนใต้โดนจับกุมหรือปะทะเสียชีวิต ก็จะออกมาดิ้นเป็นดิ้นตาย
โวยวายเจ้าหน้าที่กำเกินกว่าเหตุ กล่าวหามีการซ้อมทรมานในระหว่างควบคุมตัว
เก็บรายละเอียดรวมเล่มทำเป็นรายงานนำเสนอสาธารณะ น.ส.อัญชณา หีมมีหน๊ะ อดีตเปิดคาร์แคร์
เป็นแค่เด็กล้างรถ ควบคู่เปิดร้านขายเสื้อผ้าแต่กลับไม่รุ่ง
เลยผันตัวเองมาเป็นนักสิทธิ โดยอ้างเหตุผล ที่น้องเขยถูกกระทำ ทั้งที่จริงแล้วก็มีส่วนผิด เป็นประธานกลุ่มด้วยใจในปัจจุบัน โดยมี น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ คอยยุยงส่งเสริม แต่เบื้องลึกเป็นมือเป็นไม้หลอกใช้เพื่อสร้างผลงาน
คนอย่าง น.ส.อัญชณาฯ มีรึจะไม่รู้แต่ก็ยอม
เพราะการเป็นนักสิทธิอ้างกฎหมายสนธิสัญญาระหว่างประเทศคุ้มกะลาหัว เป็นอะไร?
ที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครทำอะไรได้ ที่สำคัญได้ทั้งโล่ได้ทั้งกล่องเดินทางไปต่างประเทศเป็นว่าเล่น แล้วอย่างนี้มีรึใครไม่อยากจะเป็น
เพียงระยะเวลาไม่กี่ปีจากที่เคยเป็นลูกกระจ๊อกมาวันนี้เล่นบทบาทเป็นแกนนำรวบรวมนักสิทธิกำมะลอในสังกัดเล่นงานเจ้าหน้าที่รัฐ
ไม่ต้องกล่าวถึงในเรื่องฐานะที่ดูเหมือนว่ายังยากจนทำตัวติดดิน
แท้จริงแล้วแตกต่างสิ้นเชิงกับก่อนที่จะมาเคลื่อนไหวแล้วได้อะไรต่อมิอะไร
เพียงแค่ปกปิดตัวเองไม่ให้คนอื่นสงสัยความร่ำรวยที่เกิดขึ้น
ย้อนไปดูปฐมบทอาณาจักรกลุ่มด้วยใจ
เมื่อปี 2010 เหตุจากน้องเขย (สามีปัทมา
หีมมิน๊ะ) ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวในคดีความมั่นคง ทำให้ น.ส.อัญชนา หีมมิน๊ะ มองว่ากระบวนการยุติธรรมทำให้ครอบครัวของตนเจ็บปวด เพราะน้องเขยไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด ความโกรธเคียดแค้นชิงชังนำไปสู่อคติในใจ มีเวทีที่ไหนมีโอกาสได้พูดจะกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ และมีความเชื่อมั่นว่า น้องเขยตนเองคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำ (ขนาดสามีซึ่งเป็น ผกร.ถูกยิง ถูกจับกุม หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ที่ลูกถูกวิสามัญเนื่องจากก่อเหตุ ยังบอกว่าลูกฉันเป็นคนดี ลูกฉันเรียนเก่ง ฉันไม่เคยรู้เลยว่าลูกจะเป็น ผกร.) แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เป็นน้องเขย น.ส.อัญชนา หีมมิน๊ะ ได้ใช้เหตุผลนี้ ก่อตั้งกลุ่มด้วยใจขึ้นจากความเคียดแค้นเชียงชังและอคติต่อเจ้าหน้าที่
หีมมิน๊ะ) ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวในคดีความมั่นคง ทำให้ น.ส.อัญชนา หีมมิน๊ะ มองว่ากระบวนการยุติธรรมทำให้ครอบครัวของตนเจ็บปวด เพราะน้องเขยไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด ความโกรธเคียดแค้นชิงชังนำไปสู่อคติในใจ มีเวทีที่ไหนมีโอกาสได้พูดจะกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ และมีความเชื่อมั่นว่า น้องเขยตนเองคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำ (ขนาดสามีซึ่งเป็น ผกร.ถูกยิง ถูกจับกุม หรือแม้กระทั่งพ่อแม่ที่ลูกถูกวิสามัญเนื่องจากก่อเหตุ ยังบอกว่าลูกฉันเป็นคนดี ลูกฉันเรียนเก่ง ฉันไม่เคยรู้เลยว่าลูกจะเป็น ผกร.) แล้วนับประสาอะไรกับคนที่เป็นน้องเขย น.ส.อัญชนา หีมมิน๊ะ ได้ใช้เหตุผลนี้ ก่อตั้งกลุ่มด้วยใจขึ้นจากความเคียดแค้นเชียงชังและอคติต่อเจ้าหน้าที่
ผลงานชิ้นโบว์ดำของ น.ส.อัญชณาฯ
อันลือลั่นกับรายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือและท้าทายอำนาจรัฐ
ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล กับการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มารายงานซ้ำ
เป็นการกล่าวอ้างจากคำบอกเล่าที่เลื่อนลอย โดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์
และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
เช่นกล่าวหาว่าทหารพรานหญิงใช้นมอุดจมูกผู้ต้องหาขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต
นำไปสู่การฟ้องร้อง 3 นักสิทธิที่มีการเผยแพร่ การรายงานเท็จ พฤติกรรมของกลุ่มด้วยใจที่ผ่านมายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น
ขนาดถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแล้วมีการถอนแจ้งความเพื่อให้กลับตัวกลับใจ
กลับเดินหน้าบิดเบือนใส่ร้ายเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง หลายครั้งมีการออกแถลงการณ์หรือกล่าวหาเจ้าหน้าที่โดยไร้หลักฐาน
ประจักษ์พยาน เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อน เหตุการณ์สร้างชื่อเสีย
กับรายงานซ้อมทรมานในห้วงปี 2557-2558 อันเป็นเท็จ พฤติกรรมหน้าด้าน ไร้ยางอาย ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงการออกมาเรียกร้องการเยี่ยมญาติผู้ต้องหาระเบิดบิ๊กซีปัตตานี
ให้เยี่ยมไม่ถึง 30 นาที และไม่มีข้าวกิน
ซึ่งต่างกับความเป็นจริงเมื่อเจ้าหน้าที่ออกมาแฉพร้อมภาพญาติไปเยี่ยมพร้อมกับนั่งกินข้าวออกมาชี้แจงต่อสังคม
และกรณีนายดาโห๊ มะถาวร ครูสอน รร.ตาดีกา ถูกอุ้มหาย น.ส.อัญชนาฯ ไม่น้อยหน้ารีบออกมาหยิบชิ้นปลามันออกมาแถลงให้เจ้าหน้าที่ทำการปล่อยตัวนายดาโห๊ฯ
โดยเร็ว แต่เมื่อความจริงปรากฏ นายดาโห๊ะฯ
ยอมรับว่าไม่ได้ถูกอุ้ม เป็นการสร้างเรื่องเพื่อไปหาเพื่อนหญิงที่สตูล แต่คนหน้าหนาอย่าง
น.ส.อัญชนาฯ มีรึจะออกมาขอโทษหรือรับผิดชอบต่อสังคมที่สร้างความเกลียดชังเจ้าหน้าที่ ไม่เคยมีแถลงการณ์หรือขอโทษหรือแสดงความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมทั้งๆ
ที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
พฤติกรรมที่ผ่านมาของ น.ส.อัญชนา
หีมมิน๊ะ เห็นชัดแล้วว่าเป็นอย่างไร? กลุ่มด้วยใจตั้งขึ้นมาเพื่อใคร? แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพื่อประชาชนอย่างแน่นอน
แต่ตั้งขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน และเพื่อช่วยเหลืออาชญากรให้พ้นผิดหรือเป็นเครื่องมือให้กับองค์กรใดหรือเปล่า
ความชอบธรรมเรียกร้องสิทธิโน่นนี่ของ น.ส.อัญชนาฯ สมควรจะรับฟังหรือไม่
เราในฐานะประชาชนในพื้นที่ จชต. เจ้าของพื้นที่ ถามว่าบ้านเกิด น.ส.อัญชนาฯ อยู่ที่ไหน?
แล้วทำไมจึงกล้ามาคิดแทนคนในพื้นที่ การกระทำดังกล่าวละเมิดสิทธิพี่น้องประชาชนหรือไม่ ผู้เขียนแค่ต้องการสื่อข้อเท็จจริง
ไม่อาจชี้นำให้เห็นด้วยทั้งหมด
และถามว่าที่ผ่านมากลุ่มด้วยใจทำอะไรให้กับประชาชนบ้าง
นอกจากช่วยเหลือคนร้ายให้พ้นผิด หรือไม่จริง!! ช่วยตอบที
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น