7/30/2557

แฉโจรใต้รือเสาะ 3 ศพ พบประวัติเคยก่อเหตุอื้อ

แบมะ ฟาตอนี

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.57 กรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิง ส.ต.ต.อัสมิง ยูโซ๊ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจโกตาบารู จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บเหตุเกิดในพื้นที่บ้านสโลว์ หมู่ที่ 7 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ทหาร กองร้อยทหาราบที่ 15133 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 เข้าช่วยเหลือและเกิดการปะทะส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 3 ราย และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย คือ จ.ส.อ.ชัยณรงค์ วงษารัตน์ ตามข่าวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้วนั้น
            ทันทีที่ข่าวสารได้แพร่สะพัดออกไปว่าเจ้าหน้าที่ปะทะโจรใต้ที่ประกบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 3 ราย กระแสข่าวการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทั้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และมีการเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ กล่าวหาว่ามีการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ต่างถาโถมเข้าใส่เจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ นาๆ ของกลุ่มขบวนการแนวร่วมที่มีการจัดตั้ง
            เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย อย่างละเอียดถึงกับอึ้งเนื่องจากประวัติของแต่ละคน มีพฤติกรรมกระทำชั่ว ก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน ที่สำคัญ 2 ใน 3 ที่เสียชีวิตเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK
สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เสียชีวิต 3 ราย
นายอับดุลรอพา สาและรู หรือ โต๊ะแซ


            นายอับดุลรอพา สาและรู หรือ โต๊ะแซ หมายเลขประจำตัวประชาชน 3-9506-00563-71-1 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 111 บ้านบือแนบูเก๊ะ หมู่ที่ 4 ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา
พฤติกรรม
- เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK
- ร่วมกันทำการก่อเหตุยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ
เสียชีวิต จำนวน 4 นาย เหตุเกิดหน้าโรงเรียนอนุบาลรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ 16 ส.ค.56 ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้ง 4 นาย ประกอบด้วย ร.ต.ท.พิชัย ประทุมสุวรรณ รอง สวป.สภ.รือเสาะ ร.ต.ต.อนุวัฒน์ ขุนหลัด รอง สวป.สภ.รือเสาะ ส.ต.อ.พร้อม คงทอง ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.อ.ศุภชัย ศรีภักดี ผบ.หมู่ ป.


            - กรณีเหตุการณ์ เมื่อ 21 ส.ค.56 เจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และมีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย คือ นายมะอีซอ ดอเลาะ ซึ่งมีหมายจับคดีความมั่นคง 5 หมาย เป็นหมายที่ออกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) พร้อมทั้งทำการตรวจยึดอาวุธปืนและสิ่งอุปกรณ์จำนวนหลายรายการ ที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่ตรวจพบบัตรประจำตัวประชาชนของ นายอับดุลรอพา สาและรู ตกอยู่ในที่เกิดเหตุบริเวณที่เกิดการปะทะ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมี นายอับดุลรอพาฯ ร่วมอยู่ด้วย
            - นายอับดุลรอพา สาและรู มีความเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับบุคคลที่อยู่ในกลุ่มขบวนการ นายอับดุลรอพาฯ มีศักดิ์เป็นพี่เขยนายมูบาเราะ อาบู ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK รับผิดชอบพื้นที่ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส อีกทั้งยังเป็นลูกเขยอดีตโต๊ะอิหม่ามยะผา กาเซ็ง ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว
นายซัฟวาน สาแล๊ะ (วัง)


            นายซัฟวาน สาแล๊ะ หมายเลขประจำตัวประชาชน 1-9606-00011-34-8 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 41/1 บ้านรือเสาะ หมู่ที่ 4 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
พฤติกรรม
            - มีหมายจับ ป.วิ.อาญา ศาลจังหวัดนราธิวาสที่ 83/2554 ลง 7 มี.ค.54


            - เคยร่วมกันก่อเหตุเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 เมื่อ 19 ม.ค.54 ส่งผลให้ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หรือ "ผู้กองบอย" ผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส (ผบ.ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38) ส.อ.เทวารัตน์ เทวา หัวหน้าชุดยิง ส.อ.ดุลเลาะ ดะหยี และพลฯประวิทย์ ชูกลิ่น เสียชีวิต และมีทหารบาดเจ็บอีก 6 นาย
            - เจ้าหน้าที่นำยึดอาวุธปืน M-16 ที่ปล้นมาจากกองพันพัฒนาที่ 4 หมายเลขอาวุธปืน 689414 และปืนพก .38 จำนวน 2 กระบอก ซึ่งนายซัฟวาน สาแล๊ะ ใช้ในวันก่อเหตุเข้าโจมตีกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 โดยยึดได้บริเวณหลังบ้านนายซัฟวานฯ พื้นที่บ้านนิบง หมู่ที่ 3 ต.มะรือโบตก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
            - เคยทำการลอบยิง ส.ต.อ.ปรีชา สมัยใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 เสียชีวิต ในพื้นที่ บ้านยาแลเบาะ เมื่อ 21 ต.ค.55
            - เมื่อ 14 ก.ย.56 ใช้รถยนต์ขนย้ายอาวุธปืน เจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจสกัดในพื้นที่ บ้านกูแบบาเด๊าะ ต.มะรือโบตก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สามารถควบคุมตัว นายรุสดัน มะหะมะ พร้อมอาวุธปืน แต่นายซัฟวานฯ ได้หลบหนีการจับกุมไปได้
            - เคยถูกจับกุมตัวเมื่อ 25 ม.ค.54 ผลการซักถามให้การยอมรับเป็นแนวร่วมในการก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ดำเนินการส่งตัวดำเนินคดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และมีการประกันตัวในเวลาต่อมา จนในที่สุดได้หลบหนีประกัน
นายมะยูนิง หะยีสะนิ (ดิง)


            นายมะยูนิง หะยีสะนิ หมายเลขประจำตัวประชาชน 1-9606-00031-62-4 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 81/4 บ้านรีเย็ง หมู่ที่ 4 ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
พฤติกรรม
            - เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK เครือข่าย อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
            - เคยร่วมกันกับนายซัฟวาน สาแล๊ะ พร้อมพวก ก่อเหตุเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 เมื่อ 19 ม.ค.54 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต จำนวน 3 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 6 นาย


            - ร่วมก่อเหตุวางระเบิดรถไฟขบวน 453 ในพื้นที่บ้านซาตอ หมู่ที่ 7 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ 18 พ.ย.55 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 16 ราย ผู้เสียชีวิตคือ อส.พนากร ชุ่นแก้ว สังกัดกองร้อยบังคับการ และบริการส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้
อาวุธปืนที่ตรวจยึดได้ในที่เกิดเหตุ
            หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบพบอาวุธปืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 2 กระบอก โดยกระบอกแรกเป็นปืนกลมือ อูซี่ หมายเลขปืน IWI 36400640 ปืนกระบอกนี้ถูกแย่งชิงจากฐานพระองค์ดำ จากการเข้าโจมตีกองร้อยทหารราบที่ 15121 ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เมื่อวันที่ 19 ม.ค.54
            ในส่วนอาวุธปืนกระบอกที่ 2 ที่ตรวจเจอเป็นปืนพกสั้น 11 มม. หมายเลขอาวุธปืน K 325030 เป็นอาวุธปืนพกของ ส.ต.อ.อนุวัฒน์ ขุนหลัด ถูกแย่งชิงไปจากรณี กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ เสียชีวิต 4 นาย บริเวณหน้าโรงเรียนอนุบาลรือเสาะ เมื่อวันที่ 16 ส.ค.56
            นี่คือประวัติอันโชกโชนของโจรใต้ 3 ราย ที่เคยก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ อาจจะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลและเก็บรวบรวมหลักฐานไว้ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย มีความชอบธรรมเนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกระทำการประกบยิงเจ้าหน้าที่รัฐก่อน เจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าช่วยเหลือต้องเสียชีวิต 1 นาย และที่สำคัญในระหว่างที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนใดๆ เลย หากจะมีการบิดเบือนความจริงของแนวร่วมผู้ไม่หวังดี เหตุผลก็คงจะฟังไม่ขึ้นเจอหลักฐานชัดๆ ขนาดนี้แล้ว ขจัดคนเลวที่กระทำความชั่วให้ประชาชนเดือดร้อน คงไม่มีใครไม่เห็นด้วย แผ่นดินแห่งนี้คงจะสูงขึ้น เหตุการณ์จะได้สงบนำความสันติสุข ที่ทุกคนต้องการมาสู่พี่น้องชาวปาตานีในพื้นที่แห่งนี้เพื่อดำเนินชีวิตประจำวันอย่างปกติสุขต่อไป    

***********************

7/29/2557

เหตุนาประดู่-เบตง-สายบุรี ผกร.มุ่งทำลายความเชื่อมั่นยกระดับสู่เวทีสากล

แบมะ ฟาตอนี
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่าย แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ เบื้องลึกผู้ทำการก่อเหตุได้รับใบสั่งจากแกนนำระดับสั่งการให้มุ่งทำการก่อเหตุเพื่อทำลายเป้าหมายอ่อนแอ เด็กและสตรีเพื่อยกระดับปัญหาสู่เวทีสากล
เหตุคาร์บอมบ์นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี

          เมื่อวันพุธที่ 23 ก.ค.57 เวลา 16.40 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ซุกไว้ในรถกระบะ (คาร์บอมบ์) ซึ่งจอดไว้ใกล้กับบ่อนไก่ชน ซึ่งเป็นของนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านห้วยเปรียะ หมู่ 3 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน  2 ราย คือ นางกฤษณา ขวัญเพชร อายุ 39 ปี และนางพินอม แซ่สิม อายุ 74 ปี และได้รับบาดเจ็บ 8 ราย รวม ด.ญ.เยาวดี ขวัญเพชร อายุ 12 ปี
เหตุคาร์บอมบ์หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ อ.เบตง จ.ยะลา

          เย็นวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.57 เกิดเหตุคาร์บอมบ์หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ กลางเมืองเบตง จ.ยะลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย บาดเจ็บเกือบ 40 คน ได้สร้างความตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย คือ น.ส.เพ็ญนภา ตุ่นห่อ อายุ 23 ปี และนายเดโช ดารีเยาะ อายุ 29 ปี ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายสิบคน มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา ในส่วนของเด็กที่บาดเจ็บ และได้รับผลกระทบด้านจิตใจนำไปสู่ฝันร้ายชั่วชีวิตที่โดนกระทำจากกลุ่มผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ จำนวน 2 ราย คือ ด.ญ.อัสมะ ดูบี และ ด.ญ.บัสริส  ดูบี

เหตุลอบวางระเบิด อ.สายบุรี จ.ปัตตานี

          เมื่อเวลา 21.15 น. วันที่ 27 ก.ค.57 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ลอบวางระเบิดเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพรานในพื้นที่หมู่ 5 ต.กะดุนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานร้อย.ทพ.4413 ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย ส่วนประชาชนได้รับบาดเจ็บ 4 คน รายชื่อดังนี้
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ
          1. ส.อ.พิทักษ์ บุญช่วย
          2. อส.ทพ.ไซ บุญทิสา
ส่วนชาวบ้านและเด็กที่เสียชีวิต
          1. ด.ญ.อิติมา สะเจะ อายุ 10 ขวบ (เสียชีวิต)
          2. นางรุสนารี กามา อายุ 34 ปี (บาดเจ็บ)
          3. ด.ญ.นูฟาราช์ มะแซ อายุ 7 ขวบ (บาดเจ็บ)
          4. ด.ญ.ไนฟา มะแซ อายุ 18 เดือน (บาดเจ็บ)
กลุ่มขบวนการยังคงมุ่งก่อเหตุร้ายเดือนรอมฎอน
          จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 เหตุ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันของวันที่ 23, 25 และ 27 ก.ค.57 พื้นที่เกิดเหตุนาประดู่-เบตง-สายบุรี ต่างแค่เวลาและผู้ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ลงมือทำการก่อเหตุยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่เดินสายสร้างสถานการณ์ โดยได้รับใบสั่งจากแกนนำระดับสั่งการ เพื่อมุ่งทำลายความเชื่อมั่น ทำลายระบบเศรษฐกิจของการค้าการลงทุน อีกทั้งทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
          จะเห็นได้ว่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ผ่านมาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดในเดือนรอมฎอน กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งหมายหมายเอาชีวิตต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นหลัก โดยพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายเด็กและผู้หญิงเป็นหลัก
เป้าหมายผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการลดความน่าเชื่อถือ เพื่อนำปัญหาความขัดแย้งไปสู่เวทีสากล
          ระดับแกนนำสั่งการต้องการอะไรจึงได้หันมาเล่นงานประชาชน ต้องการยกระดับปัญหาเพื่อนำไปสู่เวทีสากลใช่หรือไม่?..มุ่งทำลายล้างชีวิตเด็กและผู้หญิงให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวสาร พาดหัวข่าวใหญ่โตให้เป็นที่สนใจของผู้คนทั้งประเทศ และต้องการสื่อไปยังต่างประเทศ โดยไม่สนใจใยดีต่อการกระทำที่ขาดความยั้งคิด ไม่มีศีลธรรม รับผิดชอบชั่วดี ไม่เกรงกลัวต่อบาปที่ได้กระทำลงไปต่อพี่น้องปาตานีด้วยกัน เพียงมุ่งหวังให้เป็นที่สนใจขององค์กรระหว่างประเทศ
          การก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วมีการเตรียมการวางแผนอย่างรัดกุมหากไม่ได้เปรียบจะไม่ลงมือปฏิบัติการโดยเด็ดขาด กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการอะไรหรือ? นอกจากยกระดับปัญหาไปสู่เวทีสากลแล้ว ยังส่งผลลบต่อประชาชนในด้านสังคมจิตวิทยาที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากการแสดงศักยภาพในการใช้กำลังในการก่อเหตุ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยหน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยได้ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐไม่กล้าให้ความร่วมมือ เป็นไปตามแผนที่ต้องการแย่งชิงมวลชน
ผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งทำลายระบบเศรษฐกิจ

          การลงมือก่อเหตุที่ อำเภอเบตง ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีโอกาสเกิดขึ้นสภาพโดยทั่วไปของอำเภอเบตง มีประชากร 56,471 คน ประกอบด้วยคนไทยหลากหลายเชื้อชาติ อยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรม เป็นคนไทยมลายูมุสลิมเกือบร้อยละ 50 คนไทยเชื้อสายจีน (เช่น ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว จีนแคะ กวางไส) ร้อยละ 30 และคนไทยพุทธราวร้อยละ 20 อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เกิดการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมที่หลากหลายได้อย่างลงตัว
          ความชะล่าใจที่ต่างคิดว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่กล้าที่จะลงมือทำลายเมืองเศรษฐกิจ วันนี้เห็นได้แล้วว่าตราบใดที่ขบวนการโจรใต้เหล่านี้ยังเคลื่อนไหวอยู่มีแต่สร้างความเดือดร้อนมุ่งทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำลายวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ก่อนหน้านี้ สุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ ก็โดนเช่นเดียวกับอำเภอเบตงในวันนี้ แล้วเราจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีทีท่าจะสงบลงสักทีหรือ? อย่าให้วัวหายแล้วล้อมคอก ค่อยคิดแก้ปัญหา ถึงเวลาแล้วที่ประชาชน องค์กรทุกภาคส่วนหาวิธี หาทางออกของปัญหาร่วมกัน เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ หากเป็นเช่นนั้นจริงขบวนการโจรใต้เหล่านี้ขาดท่อน้ำเลี้ยง ขาดแรงสนับสนุนค่อยๆ เหี่ยวเฉาอ่อนแรงไปเอง เมื่อนั้นความผาสุกจะกลับคืนมา ณ ดินแดนด้ามขวานทองแห่งนี้
***********************


7/25/2557

น้ำตาท่วมเวทีกับบทกวี"รอคิวตาย" เสียงจากญาติเหยื่อไฟใต้"คนไม่มีทางสู้"

"ฉันไม่มีลูกแล้วไม่รู้ใครจะมาเก็บกระดูก กำลังใจที่จะทำงานต่อก็หมดลงทุกวัน เวลาที่เหลืออยู่ก็น้อย เหตุดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เกิดอีก ไม่น่าเกิดซ้ำซาก รู้ถึงความสูญเสีย เมื่อได้ยินข่าวร้ายใจไม่อยู่กับตัว แล้วแต่ใครจะไปคิวไหน...รอคิวตาย"


 เป็นเสียงของ นวลแข แซ่ลิ้ม แม่ของ ศยามล แซ่ลิ้ม พนักงานเอาท์ซอร์สธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนหนองจิก อ.เมือง จ.ปัตตานี ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างทางขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 12 ก.พ.57 โดยลูกสาวของเธอไม่ใช่แค่ถูกยิง แต่ยังถูกคนร้ายราดน้ำมันจุดไฟเผาอย่างโหดเหี้ยม
          ตั้งแต่ต้นปีจนถึงกลางเดือน ก.ค. มีผู้หญิงถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วถึง 32 คน เฉลี่ยเดือนละ 5-6 คน นับเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ หนำซ้ำแต่ละกรณียังแทบหาตัวคนผิดไม่ได้ จึงไม่แปลกที่เมื่อรัฐหรือคนในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพยายามบอกว่าสถานการณ์ไฟใต้ดีขึ้น บรรดาญาติผู้สูญเสียและผู้คนในพื้นที่จึงไม่เคยเชื่อ เพราะมันสวนทางกับความรู้สึก
          22 ก.ค. องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยคนทำงานเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน และผู้หญิง ได้ร่วมกันจัดเสวนาหัวข้อ "หยุดพรากชีวิตผู้หญิงและเด็ก" ในชื่อภาษาอังกฤษว่า Breaking the wall of silence หรือ ทำลายกำแพงแห่งความเงียบ ที่ห้องจะบังติกอ โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี โดยมีญาติและครอบครัวของผู้หญิงที่เสียชีวิตมาร่วมงานกันแน่นห้องจัดงาน
          ช่วงหนึ่งที่ห้องเสวนาทั้งห้องเงียบกริบ คือช่วงที่ ครูวินัย ทองบุญเอียด ญาติของ เกศนี รมณ์เกศแก้ว หญิงพิการแขนขาที่ถูกกราดยิงด้วยอาวุธสงครามเสียชีวิตหน้าแผงขายของริมถนนใน ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อ 15 มิ.ย.57 ลุกขึ้นอ่านกลอนที่เขียนระบายความอัดอั้นตันใจทั้งหมดของผู้สูญเสีย
          บทกวีบทนี้ชื่อว่า รอคิวตาย...
          อีกกี่ศพ ถึงจะพอ ท้อบ้างไหม
          เมื่อลูกไทย ถูกเข่นฆ่า น่าสงสาร
          ผู้อยู่หลัง ต้องเจ็บปวด รวดร้าวราน
          เห็นลูกหลาน ด่าวดิ้น สิ้นชีพไป
          ถูกฆ่าแล้ว ถูกฆ่าอีก หลีกไม่พ้น
          จะทุกข์ทน ทรมาน นานเพียงไหน
          จะเคียดแค้น แน่นหนัก สักเพียงใด
          เหมือนเราไซร้ ไร้วิญญาณ มานานครัน
          ผู้ลอบฆ่า ยังหัวเราะ เหมือนเยาะหยาม
          เหมือนไม่คร้าม ต่อกฎหมาย ทั้งหลายนั่น
          คล้ายยมราช ผู้พิฆาต ทุกชีวัน
          คนชั่วนั้น ยังยืนยง คงชีพทน
          อนิจจา หวาดวิตก ตระหนกสิ้น
          ทั่วย่านถิ่น หมดสุข ทุกข์สับสน
          กลิ่นคาวเลือด หวาดผวา มาเคล้าปน
          แต่ละคน รอคิวใหม่ เป็นใครเอย

เมื่ออ่านกลอนจบ ครูวินัยเอ่ยทำลายความเงียบงันด้วยการบอกเล่าความเป็นคนสู้ชีวิตและไม่ย่อท้อต่อโชคชะตาของเกศนี ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะทราบ
          "ตอนอายุ 3 ขวบ แม่ของเกศนีไม่ได้พาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ทำให้แขนขาอ่อนแรงและพิการ ไม่ได้เรียนภาคบังคับ แต่เธอก็สู้ชีวิต ทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จนอายุ 22 ปีได้อยู่กินกับสามีชาวสะบ้าย้อย (อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา) มีลูกสาวหนึ่งคน แต่ไม่นานนักทางฝ่ายสามีก็มาเอาลูกสาวไป เธอเป็นหญิงพิการแต่รักลูกสุดหัวใจ มีเพียงเงินยังชีพคนพิการที่เก็บสะสมไว้ นำไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยง ซื้อหมากมาทำหมากแห้ง รับจ้างทำงานบ้าน ถอนหงอก ทำทุกอย่างที่เธอทำได้ อดทน เพียรพยายาม เป็นที่รักและเอ็นดูของคนทั้งหมู่บ้าน"
          "วันเกิดเหตุเธอไปรับจ้างถอนหงอกให้เจ้าของร้านขายของริมทาง นั่งกันอยู่หลายคน จากนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์มาจอด เจ้าของร้านเห็นปืนจึงตะโกนให้ทุกคนวิ่งหนี แต่เธอหนีไม่ทันเพราะพิการทั้งแขนขา เธอถูกยิงเป็นสิบนัดที่หน้าอกและลำตัว เป็นการกระทำที่เหี้ยมโหดมากกับคนไม่มีทางสู้เช่นเธอ"
          ครูวินัย บอกว่า วันรดน้ำศพและวันเผาศพเป็นวันที่เธอได้พบหน้าลูกสาวที่ถูกพรากไป เป็นวันที่เธอรอคอยมานาน แต่ก็เป็นวันที่เธอไม่มีลมหายใจแล้ว...เมื่อเล่าถึงตรงนี้ เสียงของครูวินัยขาดหาย ขณะที่หลายคนในห้องประชุมถึงกับร้องไห้ บางคนก็น้ำตาไหลออกมาเพราะกลั้นไม่อยู่จริงๆ
          ขณะที่ นวลแข แซ่ลิ้ม แม่ของ ศยามล เหยื่อกระสุนระหว่างเดินทางกลับบ้าน บอกว่า สิ่งที่เหลืออยู่คือใบมรณบัตร ไม่ต้องการเงินเยียวยา อยากได้ชีวิตลูกสาวคืนมา ชีวิตมีคุณภาพที่เลี้ยงมาด้วยสองมือแม่ แต่คนอื่นมาฆ่าเสียง่ายๆ ลูกใคร ใครก็รัก
          "ในใจลึกๆ สุดจะบรรยาย เหตุที่เกิดคนทำได้อะไร อาจสาสมใจที่ทำลูกสาวฉัน ยิงแล้วมาเผาเขาอีก ลูกร้องว่าช่วยด้วย มีรถผ่านไปหลายคันบอกว่า ช่วยไม่ได้จริงๆ ทุกคนก็กลัวเหตุจะเกิดกับตัวเอง"
          ด้วยความเป็นครู ทำให้เธอต้องออกจากบ้านทุกวัน แต่โชคดีที่เป็นโรงเรียนใกล้บ้าน นวลแข บอกว่า ชีวิตทุกวันนี้ไม่กล้าออกไปไหนคนเดียวเลย
          "วิถีชีวิตเปลี่ยนไปมาก วันที่ไปโรงเรียน ก้าวออกไปก้าวแรกคิดว่ารอดตายกลับมาถึงบ้านก็คือรอดไปอีกหนึ่งวัน กลับมาปิดประตูเงียบอยู่ในบ้าน จะไปไหนหรือจะไปซื้อของต้องบอกทหารหรือให้ลูกศิษย์ซื้อมาให้ ต้องอาศัยคนอื่น เป็นชีวิตที่อึดอัดเต็มที เพราะปกติจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองตลอด คนเป็นพ่อแม่ ย่ายาย เตรียมตัวเตรียมใจตลอดเวลาหากต้องสูญเสียลูกหลานไป คนหนุ่มสาวต้องฝากคนชรามาเก็บศพเก็บกระดูก"
          "ฉันไม่มีลูกแล้ว ไม่รู้ใครจะมาเก็บกระดูก กำลังใจที่จะทำงานต่อก็หมดลงทุกวัน เวลาที่เหลืออยู่ก็น้อย เหตุดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่อยากให้เกิดอีก ไม่น่าเกิดซ้ำซาก รู้ถึงความสูญเสีย เมื่อได้ยินข่าวร้ายใจไม่อยู่กับตัว แล้วแต่ใครจะไปคิวไหน...รอคิวตาย"
          นวลแข บอกอีกว่า การเยียวยาไม่ใช่การแก้ปัญหา ตายแล้วเยียวยากันเป็นแค่ปลายเหตุ ไม่จบไม่สิ้น ทุกคนที่สูญเสียก็หัวอกเดียวกัน อยากได้ชีวิตคนที่เรารักกลับคืนมา ฝากรัฐให้ดูแลสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เข้มแข็งกว่านี้ ให้เหตุร้ายสงบลงเสียที
          "แต่แม้จะเกิดเหตุหนักแค่ไหนก็ย้ายไปไหนไม่ได้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิด ขอตายที่นี่ โชคดีที่ลูกไม่ทิ้งภาระอะไรไว้ ฉันต้องอยู่อย่างเข้มแข็งให้ได้ แต่เหมือนอยู่ในนรกทั้งเป็น" เธอกล่าวเสียงเศร้า
          ด้าน เอกจิตรา จันทร์จิตจริงใจ ผู้สูญเสียสามีไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อปี 50 เล่าว่า กว่าจะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบอกตัวเองว่าชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ต้องปรับวิธีคิดของตนเองแล้วสู้ต่อไป
          "ในแผ่นดินนี้ทุกคนอยู่ตามรางวิถีกระสุน คนที่มีพลังต้องขับเคลื่อนให้เห็นว่าพลังแห่งความรักมีจริง เมื่อรู้ข่าวร้าย หากเดินทางไปได้ก็จะไปกอดผู้สูญเสีย อ้อมกอดของเราเป็นความอบอุ่น ความเข้าใจ คนที่เข้มแข็งแล้วต้องช่วยดูแลคนอื่น ไม่มีใครเข้าใจคนที่สูญเสียเท่ากับคนที่สูญเสียเช่นกัน อ้อมกอดของเราจะปกป้องพวกเราได้"
          "ต้องช่วยกันคิดต่อว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่ตายแล้วเงียบ ให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นภาระของทุกคน ขับเคลื่อนแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เราเสียงบประมาณในการแก้ปัญหาชายแดนใต้เยอะมาก ยิ่งแก้ยิ่งรุนแรง เรามาผิดทางหรือเปล่า เราสูญเสียกันมามากพอแล้ว สันติภาพที่อยากให้เกิดนั้น เป็นจริงได้หากรวมพลังกันจริงๆ ไม่มีผลประโยชน์จากเหตุร้ายหรือความร่ำรวยที่เกิดจากคราบน้ำตา ขอเรียกร้องให้ผู้ได้ผลประโยชน์จากเหตุร้ายยุติเสียที และการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมทำให้ผู้ได้รับผลกระทบเจ็บปวดและฝังลึก"
          ส่วน แวลีเมาะ จิเลาะ จาก อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี มารดาของ ด.ช.นิโซเฟียน ที่ถูกระเบิดเสียชีวิตบริเวณตลาดเปิดท้าย กลางเมืองปัตตานี เมื่อเดือน มี.ค.55 โดยที่ตัวแวลีเมาะเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย เธอบอกว่า ทุกวันนี้ยังหวาดผวาและนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นอยู่ตลอด
          "ทำใจยากมากที่ลูกชายคนเดียวเป็นเด็กบริสุทธิ์ต้องมารับเคราะห์ ฉันเองก็ต้องรักษาตัวเกือบปีกว่าจะเดินได้สะดวก ยังท้ออยู่บ้างกับชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียว ขอร้องด้วยใจว่าให้หยุดทำเรื่องร้ายๆ เสียที อยากให้บ้านเราสงบอย่างจริงจังเสียที" แวลีเมาะ กล่าว
ช่วงหนึ่งของการเสวนา มีการขับร้องเพลงเพื่อไว้อาลัยแด่ผู้สูญเสีย โดยผู้แต่งและขับร้องเป็นตำรวจ สภ.กาบัง จ.ยะลา ส.ต.อ.ดนัย มีสวัสดิ์ เขาบอกว่า หลังจากได้ทราบข่าวนักศึกษาวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดยะลา 2 คนถูกยิงเสียชีวิตกลางตลาดนัดใน อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อวันที่ 9 ก.ค.57 ทำให้เกิดความรู้สึกอยากแต่งเพลง
          "เป็นเรื่องเศร้าตั้งแต่ต้นปีที่ผู้หญิงในพื้นที่ถูกกระทำอย่างโหดร้าย จนมาถึงเรื่องที่เกิดกับน้องนักศึกษา 2 คน ไม่ทราบว่าคนทำต้องการอะไร เขาเป็นนักศึกษาและเป็นผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้เลย ถ้าเป็นผู้ชายหรือเป็นเจ้าหน้าที่ก็พอได้ต่อสู้กันสมศักดิ์ศรี แต่นี่เป็นเด็ก เป็นผู้หญิง เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ถือว่าคนกระทำไม่มีศักดิ์ศรี รังแกคนไม่มีทางสู้ อยากให้คนที่ทำคิดใหม่และหยุดการกระทำเลวร้ายต่อทุกคน" ส.ต.อ.ดนัย กล่าว
          กำแพงแห่งความเงียบถูกทลายลงบ้างในวันนี้ มีเสียงเพรียกจากครอบครัวผู้สูญเสียทุกเพศทุกวัยให้ผู้ไม่หวังดียุติความรุนแรง และขอความสงบสุขร่มเย็นกลับคืนมา...
          ได้แต่หวังเพียงว่าเสียงเพรียกครั้งนี้คงไม่เงียบหายไปเช่นทุกครั้ง!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.isranews.org/

คุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร กับลูกสาวเหยื่อระเบิดนาประดู่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง


แบมะ ฟาตอนี

คุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร....เปิดฉากเล่าชีวิตว่า ตนเองมีลูก 5 คนด้วยกัน แต่ตอนนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน โดยล่าสุดได้สูญเสีย นางกฤษณา ขวัญเพชรไปอีกคนซึ่งเป็นคนสุดท้อง ครอบครัวประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยาง และขายผัก มีรายได้ประมาณเดือนละ 5,000 บาท พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บ้านคุณตามีอยู่ 2 หลังคือบ้านปูน กับ ขนำ ที่ตนเองและยาย ชอบอยู่เป็นกิจวัตรเพราะลมโกรกดี ไม่อับ ไม่มืด ถ้าวันไหนฝนตกก็จะเข้าไปพักอาศัยที่บ้านปูน

          อายุคุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร ได้ล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี คือบ้านเกิดเมืองนอนที่ได้อาศัยมาชั่วชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคม การอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนสองศาสนา มาระยะหลังได้เห็นความแปลกแยกเนื่องจากความหวาดระแวงด้วยการปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติและศาสนาขึ้นของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น
          ในส่วนตัวของคุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร ไม่เคยคาดคิดว่าเหตุการณ์ร้ายเช่นนี้จะมาเกิดกับครอบครัวและบุตรหลานของตนเอง พื้นที่ อ.โคกโพธิ์ ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีการก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ตนเองมีอาชีพถีบสามล้อรับจ้างข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาจากการเล่าปากต่อปากของผู้คนที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาใช้บริการ เลยทำให้รู้ว่ามีหลายต่อหลายเหตุการณ์ด้วยกันที่มีการก่อเหตุเนื่องมาจากเรื่องของความขัดแย้งในเรื่องธุรกิจผิดกฎหมาย การกระทำของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หรือในบางครั้งเป็นการแก้แค้นในเรื่องส่วนตัว เลยมีการก่อเหตุแล้วโยนให้เป็นปัญหาของความมั่นคง

ชีวิตคุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร หลังเหตุคาร์บอมบ์บ่อนชนไก่นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานีเหมือนโดนกลั่นแกล้งให้คุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร ในวัยชราที่ต้องมาสูญเสียลูกสาวซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัวไป วินาทีหลังเกิดเหตุกับภาพคุณตานุ่งโสร่งผืนเก่าๆ ทันทีที่ได้ทราบข่าวไม่ทันได้สวมใส่เสื้อรีบมาที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นสภาพศพลูกสาวที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุแทบขาดใจ ภาพของผู้เป็นพ่อนั่งร่ำไห้ใกล้ศพสะท้อนถึงความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียสมาชิกในครอบครัวอย่างไม่มีวันกลับ ผู้คนในพื้นที่ต่างรู้ดีว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวยากจนหาเช้ากินค่ำ ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริต พอมีพอกินอยู่อย่างพอเพียงตามประสา สภาพบ้านของคุณตาเกลื้อม ขวัญเพชร เป็นบ้านแบบกระท่อมปลายนา เลขที่ 182/1 ม.1 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ปลูกผักในพื้นที่ข้างๆ กระท่อม เพื่อเอาไปขายจุนเจือครอบครัว คุณตาถีบสามล้อปั่นหาเลี้ยงครอบครัวพอประทั่งชีวิตได้บ้างไม่ได้บ้าง ภาระต่างๆ จึงตกอยู่กับ ลูกสาวผู้เป็นกำลังหลักของครอบครัว คือนางกฤษณา ขวัญเพชร ต้องทำมาค้าขายหาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว แต่ต้องมาจบชีวิตลงด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบด้วยการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง นอกจากนี้คุณตายังมีเหลนคือ ด.ญ.เยาวดี ขวัญเพชร อายุ 12 ปี โดนสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ ฝังเข้าไปทำให้บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา หลังจากพิธีงานบำเพ็ญกุศลศพนางกฤษณา ขวัญเพชร ชีวิตครอบครัวของคุณตาเกลื้อม และภรรยา รวมทั้งเหลน ที่ยังนอนพักรักษาตัวอยู่ จะดำเนินชีวิตต่อไปเช่นไรบนพื้นที่ความขัดแย้งเช่นนี้ กับการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงเพียงมุ่งหวังสร้างสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงผู้บริสุทธิ์


นี่เป็นเพียงครอบครัวๆ หนึ่งที่ได้รับผลกระทบและต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไป หลายชีวิตต้องสังเวยต่อการกระทำที่ขาดความยั้งคิดของคนบางกลุ่ม อีกหลายชีวิตต้องพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วใครล่ะคือผู้เดือดร้อนตัวจริงถ้าไม่ใช่ประชาชนเยี่ยงเรา หยุดเถอะอย่าทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อีกเลย ทุกชีวิต ทุกครอบครัวต่างหวงแหนไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายกับตนเองและคนรอบข้าง หากเกิดกับครอบครัวผู้ก่อเหตุบ้างล่ะจะคิดเช่นไร ถามไปคงจะไร้คำตอบ ความรู้สึกคงจะเหมือนๆ กัน...

ทุกชีวิตที่ยังคงดำเนินอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ยังคงอยู่กับความเสี่ยงไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตนเองวันไหนเพราะพวกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ไม่ได้เลือกสถานที่ กลุ่มเป้าหมายในการก่อเหตุ ความเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุดเพราะการกระทำของกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีการก่อเหตุแต่กลุ่มโจรใต้พยายามหาช่องว่างในการก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนไม่เว้นแม้เดือนรอมฎอน เดือนแห่งบุญของการทำความดีของพี่น้องมุสลิมสุดท้ายชีวิตบนความเสี่ยงตกอยู่ที่ประชาชนชาวปาตานี ต้องประคองชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยกว่าแสงสว่างแห่งสันติภาพจะกลับมาสู่กระบวนการพูดคุยบนเวทีระหว่างคู่ขัดแย้งรัฐไทยกับขบวนการ BRN มีแนวทางที่ชัดเจนต่อไป
***********************