แบมะ
ฟาตอนี
กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ (peace
dialogue) ระหว่างรัฐบาลไทย
กับกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติประชาชาติมลายูปัตตานี (BRN)
เพื่อแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งของผู้ที่เห็นต่าง มีการลงนามกระบวนการสันติภาพเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2556
โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งได้มีการดำเนินการมาแล้ว 7
ครั้งด้วยกันก่อนที่ได้ห่างหายไปเนื่องจากปัญหาภายในของประเทศไทยเอง
เมื่อปัญหาการเมืองภายในของประเทศไทยนิ่ง
หน่วยงานความมั่นคง โดย กอ.รมน.
จึงคิดริเริ่มสานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพขึ้นมาใหม่ แต่ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
“กระบวนการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุข” แทน
และเริ่มมีกระแสการโจมตีจากขาประจำผู้ที่ไม่เห็นด้วย
ต่างดาหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนักวิชาการอิสระ สื่อแนวร่วมโจรใต้ พร้อมเปิดประเด็นในสื่อสังคมออนไลน์ถึงการเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้
ทั้งๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการยังไม่ทันได้กำหนดวันดีเดย์ในการพูดคุย
กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพกับกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติประชาชาติมลายูปัตตานี
(BRN) เป็นความพยายามของรัฐบาลไทย
ที่ต้องการตอบสนององค์การระหว่างประเทศ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ประชาชนภายในประเทศ และข้อเสนอของนักวิชาการให้หาแนวทางพูดคุยเจรจากับกลุ่มผู้มีความเห็นต่างจากรัฐ
เพื่อยุติความรุนแรงทั้งสิ้นทั้งปวง
ท่าทีของแนวร่วมปฏิวัติประชาชาติมลายูปัตตานี (BRN) กับกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ผ่านมา
จากการลงนามกระบวนการสันติภาพเมื่อ 28
กุมภาพันธ์ 2556 และมีการดำเนินการพูดคุยไปแล้ว 7 ครั้ง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ
ทราบว่าความคิดเห็นในสภา BRN กลุ่มทหารยังไม่เห็นด้วยในการพูดคุย
รวมไปถึงหน่วยปฏิบัติการ RKK ในพื้นที่ แต่สภา BRN ยังมีมติเห็นชอบให้ นายฮาซัน ตอยิบ
ดำเนินการพูดคุยเนื่องจากเห็นแก่ประเทศมาเลเซีย (โดนบีบบังคับ)
โดยให้ดำเนินการในลักษณะใช้งานการเมืองพูดคุย แต่ยังคงให้ทางทหาร
ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องเพื่อชิงความได้เปรียบ
สภา BRN มีความกลัวว่า กลุ่มปฏิบัติที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นนักรบรุ่นใหม่จะทำการปฏิวัติเนื่องจากไม่เห็นด้วย
จึงใช้วิธีเรียกร้องนอกเวทีด้วยการออกแถลงการณ์เรียกร้อง 5 ข้อ 7 ข้อ
ในห้วงเดือนรอมฎอน เพื่อเป็นหลักประกันในการเห็นชอบร่วมกัน การดำเนินการของ BRN
มีระเบียบแบบแผน ซึ่งเดินตาม Road Map ที่สภา BRN
ได้เขียนขึ้นมา การปฏิบัติการพูดคุยจะดำเนินการเป็นจังหวะ
เป็นขั้นตอน มีการปฏิบัติการข่าวสาร
ใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงความได้เปรียบเป็นฝ่ายรุกตลอดเวลา
การพูดคุยทุกครั้งจะไม่มีการเปลี่ยนตัวบุคคล
หรือจัดหาคนมาเพิ่ม ยังคงใช้ชุดเดิม ซึ่งเป็นหลักการ “ไม่เปิดเผยตัวตน” แต่ฝ่าย BRN สามารถรวมกลุ่ม BRN-CONGRESS, BIPP และ PULO บางส่วนได้แค่กลุ่ม
กาแบ ยูโซ๊ะ แต่ไม่สามารถรวมกับกลุ่ม PULO กลุ่มนายซัมซูดิง
คาน และกลุ่มนายกัสตูรี มะโกตา ได้เนื่องจากยังขัดแย้งในเรื่องของผลประโยชน์
ท่าทีของกลุ่มผู้เห็นต่างอื่นๆ
ต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
กลุ่ม PULO กลุ่มนายซัมซูดิง คาน และกลุ่มนายกัสตูรี
มะโกตาต่างมีความพยายามที่จะเข้าร่วมการพูดคุยสันติภาพกับผู้แทนรัฐบาลไทย
เนื่องจากไม่อยากตกกระบวนรถไฟสันติภาพที่อาจจะมีการแบ่งสันปันส่วนร่วมกันของผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐ
แต่กลับโดนฝ่าย BRN กีดกันไม่ให้เข้าร่วมด้วย
เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ยังไม่ลงตัว
กลุ่มสหพันธ์นิสิต นักศึกษา นักเรียน
และเยาวชนปาตานี (PerMAS:Persekutuan Mahasiswa Pelajar dan Muda Mudi Se Patani) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองของ BRN ยังคงเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้นด้วยการจัดเวทีเสวนา
Bicara Patani ทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ และต่างประเทศ
เพื่อปลุกกระแสนิยมความเป็นปาตานี
ต้องการให้ประชาชนชาวมลายูปาตานีรับรู้ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน และปลุกกระแสให้ทุกคนออกมากำหนดชะตากรรมของตนเองด้วยการลงประชามติขอแยกดินแดนออกจากประเทศไทย
องค์กรภาคประชาสังคม (CSOs) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)
ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ
เพื่อดำเนินการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพให้เกิดขึ้นในพื้นที่
แต่กลับถูกแทรกซึมและจัดตั้งโดยขบวนการ BRN มีการเคลื่อนไหวทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายความมั่นคงในประเด็นสิทธิมนุษยชน
การกำหนดใจตนเองเพื่อลงประชามติขอแยกตัวเป็นเอกราชในอนาคต
รูปแบบการขับเคลื่อนใช้ลักษณะไม่ใช้ความรุนแรง (Non Violent)
โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเคลื่อนไหว
เพื่อให้เป็นประเด็นเกิดการลุกฮือของประชาชนมลายู
และเรียกร้องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง (Right of Self-Determination)
ท่าทีของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
จากการสำรวจข้อมูลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
กลับพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ เห็นด้วยกับการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
แต่ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดนเป็นเอกราช อัตราส่วนของประชาชนที่สนับสนุน
การแบ่งแยกดินแดนเป็นเอกราช เพียงร้อยละ 0.3 เท่านั้น แต่ผู้มีความเห็นต่างจากรัฐได้พยายามยุยง
ปลุกปั่นประชาชนในพื้นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านรัฐบาล โดยนำประเด็นเรื่องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง
(Self-Determination) เพื่อการปลดปล่อยดั่งเช่นกรณีของประเทศล่าอาณานิคม
ไม่ให้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลไทย
บทเรียนจากกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
7 ครั้ง
ก็ต้องยอมรับความจริงว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างผู้แทนรัฐบาลไทยกับ
BRN ผ่านผู้อำนวยความสะดวกมาเลเซีย สรุปได้ว่า “ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร”
เนื่องจากขาด “ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน” อีกทั้งยังไม่มีกรอบการพูดคุยที่ชัดเจน
เป็นการพูดคุยโดยการบีบบังคับ BRN
โดยมาเลเซียตั้งแต่ในครั้งแรก ในเมื่อจุดเริ่มไม่ได้มาจากการพูดคุยกันในระดับล่าง
และไม่มีความต่อเนื่อง ฝ่าย BRN มีการประกาศเจตนารมณ์ที่สูงสุด
เพื่อไมให้กลุ่มปฏิบัติในพื้นที่เกิดการปฏิวัติ
การพูดคุยมีการเรียกร้องในข้อเสนอที่ไม่สามารถกระทำได้เพื่อทำการถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ
พร้อมทั้งยังสั่งการหน่วยในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารเพื่อชิงความได้เปรียบไปด้วย
ในส่วนของการลดการก่อเหตุรุนแรงในห้วงเดือนรอมฎอน เป็นภาวะจำยอมของ BRN เนื่องจากทางมาเลเซียได้บีบบังคับเพื่อนำเสนอให้ OIC ทราบ ซึ่งหาก BRN ไม่ดำเนินการจะมีผลเสียทางยุทธศาสตร์
ความพยายามของ BRN มีการยกระดับการพูดคุยนำไปสู่การเจรจา
การขอให้มาเลเซียเป็นแค่ตัวกลางไกล่เกลี่ย (Mediator) และขอให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาร่วมเป็นสักขีพยานในการพูดคุย
ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นไม่ได้สอดรับกับข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่
28 กุมภาพันธ์ 2556 เลย
แนวทางการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
(กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ)
รัฐบาลไทยมุ่งเน้นส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบที่สอดคล้องกับลักษณะของพื้นที่โดยไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียว
จะแบ่งแยกไม่ได้” การอยู่ร่วมกันภายใต้ความหลากหลาย
พหุวัฒนธรรม มีสภาวะแวดล้อมที่พร้อมและเอื้อต่อการแสวงหาทางออกของความขัดแย้งโดยสันติวิธี
พร้อมทั้งสร้างหลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติสุข
ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีการพูดคุยระหว่างกลุ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในรูปแบบของการกระจายอำนาจที่เหมาะสมบนพื้นฐานความเป็นพหุสังคมจังหวัดชายแดนใต้
ภายใต้เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นหลักสากลที่ยอมรับได้
ไม่ใช่เงื่อนไขนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน
ประชาชนทุกคนมีความปลอดภัยในเสรีภาพต่อการแสดงความคิดเห็น
สร้างความต่อเนื่องของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพกับกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็น
และอุดมการณ์ที่แตกต่างจากรัฐ ที่มีการเลือกใช้ความรุนแรงต่อสู้กับรัฐในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีเอกภาพ
และเพิ่มความร่วมมือกับต่างประเทศ หรือองค์กรที่มิใช่ภาครัฐ
เพื่อสนับสนุนกระบวนการพูดคุยดังกล่าว
แนวทางสร้างสันติสุขแสงแห่งความหวังประชาชนชายแดนใต้
นับเป็นความหวังของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้งหนึ่ง
ที่ยังมีแสงแห่งความหวังที่จะได้เห็นสันติภาพ สันติสุขเกิดขึ้น ณ
ดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชื่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ หรือกระบวนการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขก็ตามที
จุดมุ่งหมายหรือเป้าหมายคือการคืนความสุขความสันติสุขให้กับสังคมและประชาชนให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้
ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเห็นด้วยกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพที่ผ่านมาระหว่างรัฐบาลไทยกับขบวนการ
BRN โดยมีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
อีกไม่นานเมื่อมีการเอาจริงเอาจังและได้ดำเนินการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเมื่อนั้นความสันติสุขจะกลับคืนมา ณ
ดินแดนปลายด้ามขวานแห่งนี้
*****************************