นักรัก ปัตตานี
ปัญหาไฟใต้ที่ยังคุกกรุ่นร้อนระอุอยู่ทุกวันนี้
เวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปีไม่มีทีท่าจะเบาบางหรือมีแนวโน้มว่าจะทุเลาเบาบางลงสักทีหนึ่ง
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
โดยปกติหากไม่มีแหล่งเงินทุนสนับสนุนหรือท่อน้ำเลี้ยง โจรใต้เหล่านี้จะเอาเงินจากไหนไหนไปซื้อชิ้นส่วนในการประกอบระเบิดในการก่อเหตุ
ในระยะหลังๆ ฝ่ายความมั่นคงจับทางได้ถึงความเชื่อมโยง “ภัยแทรกซ้อนกับปัญหาไฟใต้” คือเนื้อเดียวกันของปัญหา
ได้ให้ความสำคัญกับเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่ค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน เพราะเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวโยงเกื้อหนุนกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้
ผ่าเครือข่ายน้ำมันเถื่อนใต้ผลประโยชน์หมื่นล้าน
ปัญหาขบวนการค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี
หรือที่เรียกว่า "น้ำมันเถื่อน" ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมานาน แต่มาฮือฮาในระยะหลังเมื่อมีการควบคุมตัว นายสหชัย
เจียรเสริมสิน หรือ "เสี่ยโจ้" เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)
สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557
ช่วงหลังการเข้าควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
เมื่อเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้น
หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เที่ยวล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น
เป็นการบังคับคดีหลีกเลี่ยงภาษีกว่า 400 ล้านบาท ของ "เสี่ยโจ้"
ซึ่งถูกศาลพิพากษาล้มละลาย ทำให้พบทรัพย์สินมีค่ามากมายกว่า 100 ล้านบาท
ข้อมูลของหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกาะติดเรื่องน้ำมันเถื่อนมาหลายปีชี้ชัดว่า
ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่มีอยู่จริง
และเป็นเครือข่ายใหญ่เชื่อมโยงเกือบทั้งภาคใต้ เลยไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน
เครือข่ายดังกล่าวนี้มีทั้งนักธุรกิจ
นักการเมือง ผู้นำในพื้นที่ และบุคคลผู้ทรงอิทธิพลในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ 1.นาย
ส. เป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุด เป็นตัวกลางออกหน้าเชื่อมโยงกับเครือข่ายอื่นๆ 2.นาย
น. นักการเมืองท้องถิ่นของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 3.นาย ม. จากบริษัท อ./ฟ.
มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี เคยถูกทหารและดีเอสไอเข้าตรวจค้นเมื่อหลายปีก่อน 4.นาย ม.
เจ้าของบริษัท อ. ในอำเภอพื้นที่สีแดงของ จ.นราธิวาส 5.เครือข่ายนายมะ
เชื่อมโยงกับยาเสพติด 6.เครือข่ายนาย จ. เจ้าของกิจการเกี่ยวกับน้ำมัน
มีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ 7.บริษัท ก. กับ บริษัท ต. ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน
ประเทศมาเลเซีย 8.สหกรณ์ออมทรัพย์แห่งหนึ่งในพื้นที่ชายแดนใต้
ทั้งนี้
บริษัท อ./ฟ. ที่มีฐานอยู่ใน จ.ปัตตานี มีความเกี่ยวโยงกับบริษัท ต.
ที่ตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน เพราะผู้บริหารบริษัทบางส่วนเป็นชุดเดียวกัน
บางคนเป็นเครือญาติกัน โยงถึงครอบครัวของ "คนมีสี"
ที่เคยดำรงตำแหน่งระดับสูงใน จ.ปัตตานี ด้วย
จากนราธิวาสถึงเพชรบุรี
การทำงานของเรือบรรทุกน้ำมันในเครือข่ายนี้
คือจะมีเรือขนาดใหญ่ หรือเรือบาร์จ (เรือขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายสินค้า
และมีเรือที่ใช้ขนน้ำมันเป็นการเฉพาะ)
เดินทางไปรับน้ำมันที่น่านน้ำประเทศเพื่อนบ้าน นอกน่านน้ำไทย
โดยแหล่งที่มาของน้ำมันมี 2-3 แหล่ง คือ ซื้อน้ำมันราคาถูกจากประเทศบรูไน มาเลเซีย
สิงคโปร์ (ราคาน้ำมันถูกกว่าไทยมาก)
และซื้อจากเรือของแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติที่ลักลอบนำมาขาย
วิธีการรับ-ส่งน้ำมันจะมีการนำน้ำมันประมาณ
7 แสนถึง 2 ล้านลิตรต่อครั้งเคลื่อนย้ายเข้ามาในอ่าวไทย
โดยจะจอดเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำไทยกับน่านน้ำสากล เพื่อถ่ายน้ำมันลงเรือเล็ก
ซึ่งเครือข่ายผู้ค้ามีเรือประมงดัดแปลงสำหรับบรรทุกน้ำมันโดยเฉพาะจำนวนมากกว่า 50
ลำ ไปรับน้ำมัน
และมีรถบรรทุกอีกจำนวนหนึ่งคอยรับช่วงต่อตามชายฝั่งเพื่อขนส่งทางบกไปยังเป้าหมายต่างๆ
ด้วย
เรือประมงดัดแปลงที่ว่านี้
บรรทุกน้ำมันได้ลำละ 3 หมื่นถึง 2 แสนลิตร
โดยจะคอยรับถ่ายน้ำมันจากเรือใหญ่บริเวณรอยต่อน่านน้ำ
เพื่อนำไปส่งตามจุดนัดหมายบริเวณชายฝั่ง ตั้งแต่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ยาวไปจนถึง
จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร และบางครั้งไปถึงรอยต่อน่านน้ำไทยในเขต
จ.ระยอง
จุดที่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานว่าเป็นจุดขนถ่ายน้ำมัน
คือ ในอ่าวไทยใกล้ทะเลสงขลา ใกล้ จ.นครศรีธรรมราช เหนือเกาะสมุยและเกาะพะงัน
จ.สุราษฎร์ธานี ใกล้ทะเลชุมพร ใกล้ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และทะเลใกล้
จ.ระยอง กับ จ.ตราด
นอกจากนั้น
ยังมีเรือประมงดัดแปลงลอยลำขายน้ำมันให้แก่เรือประมงที่ผ่านไป-มาในทะเลอ่าวไทยตั้งแต่
จ.ปัตตานี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ที่ปรากฏข้อมูลมากที่สุดคือบริเวณอ่าวปัตตานี
เรือประมงดัดแปลงเหล่านี้
นอกจากทำหน้าที่รับน้ำมันจากเรือบาร์จ ขนเข้ามาในน่านน้ำไทยแล้ว
ยังมีหน้าที่ลำเลียงเงินสดส่งไปยังเรือใหญ่และเรือบาร์จด้วย เม็ดเงินหมุนเวียนวันละ
60-210 ล้านบาท
ผลประโยชน์เฉียดหมื่นล้าน
ที่มาของน้ำมันหลบเลี่ยงภาษีจำนวนหนึ่ง
มาจากโครงการช่วยเหลือเรือประมงของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งมีเป้าหมายช่วยเหลือเรือประมงที่มีอยู่จริง ประมาณ 200 ลำ
แต่ด้วยอิทธิพลของบริษัทที่เป็นเครือข่ายค้าน้ำมันเถื่อนกับ นาย ส.
ซึ่งเป็นบุคคลระดับสูงในรัฐกลันตัน
จึงมีการนำเรือเถื่อนมาสวมทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิการช่วยเหลืออีกประมาณ 400 ลำ
และนำน้ำมันที่ได้ไปขายต่อเพื่อกินส่วนต่าง
หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่า
ปริมาณการค้าน้ำมันเถื่อนจากทุกช่องทางของเครือข่ายนี้มีประมาณ 100-150
ล้านลิตรต่อเดือน คิดมูลค่าเป็นเงินไทยประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
โดยทางเครือข่ายได้รับผลประโยชน์เป็นกำไรเนาะๆ จากการค้าน้ำมันรวมๆ
แล้วเดือนละประมาณ 600-800 ล้านบาท ปีละเกือบ 1 หมื่นล้านบาท
และมีการจัดสรรไปยังผู้เกี่ยวข้องในเครือข่าย
อย่างไรก็ดี
ตัวเลขราวๆ 1 หมื่นล้านบาทนี้ เป็นตัวเลขเฉพาะ "กำไร"
แต่หากนับเงินหมุนเวียนในธุรกิจค้าน้ำมัน ซึ่งเคยมีการตรวจพบหลักฐานทางบัญชี
ปรากฏว่ามีตัวเลขสูงระดับ 5 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว
ส่อรับน้ำมัน “แบล็กลิสต์”
บริษัทที่อยู่นอกประเทศไทยแต่ร่วมอยู่ในเครือข่ายค้าน้ำมันหลบเลี่ยงภาษี
นอกจาก 2 บริษัทในมาเลเซียที่กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีบริษัทในประเทศเมียนมาร์อีก 1
แห่งด้วย โดยตัวละครสำคัญมีทั้งนักธุรกิจใหญ่
ผู้นำที่ได้รับการยอมรับในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักการเมืองระดับท้องถิ่น
รวมทั้งผู้มีอิทธิพลระดับสูงของมาเลเซียในรัฐที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย
นอกจากนี้
ยังมีข้อมูลจากสถานทูตของชาติตะวันตก ระบุว่า
เครือข่ายค้าน้ำมันในภาคใต้ของไทยอาจเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้าจากประเทศในตะวันออกกลางที่ถูกชาติตะวันตกขึ้นบัญชีห้ามค้าขายน้ำมัน
เพราะมีพฤติการณ์สนับสนุนขบวนการก่อการร้าย
แต่ประเทศเหล่านี้ปล่อยน้ำมันออกสู่ตลาดมืดผ่านขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในประเทศมุสลิมประเทศหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แล้วกระจายต่อมายังเครือข่ายภาคใต้ของไทย
โดยน้ำมันจากแหล่งนี้มีรายงานว่าส่งขายไปยังเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทย
ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย
และหลายรัฐบาล
หน่วยงานภาครัฐต่างมีข้อมูลและรู้ความเคลื่อนไหวของผู้ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ได้เป็นอย่างดี
แต่ไม่มีใครกล้าแตะ หรือเป็นเพราะ “คนมีสี”เข้าไปมีเอี่ยวรับส่วยเมื่อมีการจับกุมเรื่องถึงกลับเงียบหาย
มาถึงยุคนี้ยุคที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.
กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยากจะเห็นการจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้สิ้นซาก
เอาจริงเอาจังกับพวกเหลือบจัญไรฝูงนี้ที่หากินบนความเดือดร้อนของชาวบ้าน
ที่สำคัญสร้างผลกระทบให้ประเทศชาติสูญเสียรายได้มหาศาลต่อปี
เมื่อมีการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่ไปช่วยให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเจริญเติบโต
แตกหน่อต่อยอดสร้างร่มเงาครอบคลุมพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
ต้นไม้แห่งความชั่วร้ายต้นนี้ก็จะค่อยๆ เฉาตาย เหตุรุนแรงที่ยังคงอยู่คงค่อยๆ
ลดลงเนื่องจากขาดปัจจัยแรงเสริม ชาวบ้านจะได้อยู่เย็นเป็นสุข
ไม่ต้องนอนผวาเหมือนดั่งเช่นทุกวันนี้..นี่คือความคาดหวังของผู้คนหาเช้ากินค่ำรวมไปถึงประชาชนชาวปาตานีส่วนใหญ่ที่ต้องการเห็นความสันติสุขในพื้นที่แห่งนี้กลับคืนมา..เหมือนดั่งเดิม
*********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น