นักรัก ปัตตานี
จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน นับ 10 ปี
จนสร้างความสูญเสียแก่ชีวิต และทรัพย์สินแก่ประชาชนพื้นที่อย่างไม่อาจประเมินค่าได้
เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นแบบรายวันอย่างชนิดที่เรียกว่า “ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก - เกิดแล้ว เกิดอีก - สูญเสียแล้ว สูญเสียอีก” และ “ตายแล้ว ตายอีก” ไม่ว่าประกบยิงบ้าง
ซุ่มโจมตีบ้าง วางระเบิดลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ขณะลาดตระเวนบ้าง
และความรุนแรงล่าสุด
ซึ่งถือเป็นวิธีก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง อย่างมากมายมหาศาล
ทำลายเศรษฐกิจอย่างย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
สร้างความสูญเสียแก่ชีวิต และทรัพย์สินอย่างมหาศาลจนมิอาจประเมินค่าได้
วิธีการดังกล่าวคือ “คาร์บอมบ์”
ซึ่งเหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในพื้นที่ใจกลางเมืองเบตง
จ.ยะลา ที่บริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ โดยคนร้ายใช้ระเบิดถังแก๊สหนัก 30 กก.
ซุกมาในรถกระบะมาสด้านำมาจอดไว้ในที่เกิดเหตุ จุดชนวนระเบิดด้วยวิธีตั้งเวลา
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 2 ราย
และมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 52 ราย
ก่อนหน้านี้
คาร์บอมบ์
เป็นวิธีการที่คนร้ายได้ใช้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ อย่างเช่น
เมืองหาดใหญ่ ยังเคยถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์ความรุนแรงด้วยวิธีคาร์บอมบ์มาแล้วถึง
2 ครั้งเช่นกัน
ครั้งแรกที่บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้าลีการ์เดนส์
พลาซ่า หาดใหญ่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน มีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 500 คน
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตผู้คน
และทำลายเศรษฐกิจของเมืองหาดใหญ่อย่างไม่อาจประเมินมูลค่าความเสียหายได้
จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์สนั่นเมืองเบตงในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ 2 ประการคือ ประการหนึ่ง เป็นผลกระทบด้านความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ อ.เบตง ได้รับการขนานนามว่าเป็นเขตพื้นที่ที่มีจำนวนการเกิดความรุนแรงน้อยที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเมืองแห่งความสงบ ท่ามกลางพื้นที่ที่ลุกโชนด้วยความรุนแรงจากสถานการณ์ไฟใต้
จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์สนั่นเมืองเบตงในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ 2 ประการคือ ประการหนึ่ง เป็นผลกระทบด้านความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ อ.เบตง ได้รับการขนานนามว่าเป็นเขตพื้นที่ที่มีจำนวนการเกิดความรุนแรงน้อยที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเมืองแห่งความสงบ ท่ามกลางพื้นที่ที่ลุกโชนด้วยความรุนแรงจากสถานการณ์ไฟใต้
แต่จากเหตุคาร์บอมบ์ใจกลางเมืองเบตงในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า
นับจากนี้เป็นต้นไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกตารางนิ้ว มีโอกาสเกิดสถานการณ์ความรุนแรงได้หมด
และส่งผลให้เมืองที่ในอดีตเคยมีแต่ความสงบสุข
มีธรรมชาติที่สวยงามท่ามกลางหุบเข้าล้อมรอบ
จะต้องตกเป็นพื้นที่ที่จะต้องมีการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
เพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร
ผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั่นคือ
นับต่อจากนี้เป็นต้นไปประชาชนชาวเบตงจะต้องใช้วิถีชีวิตเฉกเช่นประชาชนในพื้นที่อื่นๆ
ของสามจังหวัดชายแดนใต้
ผลกระทบประการที่สอง
เป็นผลกระทบที่สำคัญคือ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพื้นที่ อ.เบตง
อยู่ติดกับด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย
ทำให้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
อีกทั้งยังเป็นเมืองที่สงบ ปลอดภัย มีอัตราการเกิดสถานการณ์ความรุนแรงน้อย
ประกอบกับเป็นเมืองที่ยังคงธรรมชาติที่สวยงาม
ประชาชนท้องถิ่นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จึงทำให้ อ.เบตง
ถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจทางด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่
แต่หลังจากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว
จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
พ่อค้า-แม่ค้าในพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวไม่เฉพาะชาวต่างประเทศที่รู้สึกอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ความรุนแรง
แต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยเช่นเดียวกัน
อันนำมาซึ่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ปลายด้ามขวานอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
และคงจะต้องใช้ยุทธวิธีประชาสัมพันธ์ฟื้นฟูการท่องเที่ยวกันอีกระลอกใหญ่
คาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
อ.เบตง นอกจากจะส่งผลในแง่ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประชาชน
และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่หลายครั้งส่อให้เห็นถึงปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างชนิดที่เรียกว่า “ซ้ำซาก” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเหตุการณ์ความรุนแรงจนชินชา
ปรากฏการณ์ไฟใต้ที่ซ้ำซากในที่นี้หมายถึง
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ในพื้นที่ และเป็นเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมากมายมหาศาล
เช่น เหตุคาร์บอมบ์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ
หรือเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรอย่าง “ซ้ำซาก” และ “จำเจ”
วัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เราเห็นกันจนชินตา
ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต่างพยายามหาช่องว่างและความผิดพลาดในการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในการก่อเหตุ
ฝ่ายความมั่นคงในยามที่เผอเรอ
หย่อนยานในการรักษาพื้นที่ก็จะโดนโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงดั่งเช่นกรณีเบตง
จ.ยะลา และกรณีคาร์บอมบ์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
จากการปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในรอบหลายๆ
ปี
ที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงแนวทางของการใช้กำลังทางทหารเพื่อสร้างผลกระทบที่เสียหายในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจ
ทางสังคม
มุ่งก่อเกิดความแตกแยกทางความคิดความรู้สึกของผู้คนในชุมชนในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้
การเฝ้าติดตามสถานการณ์พอจะประมวลวงรอบการปฏิบัติที่ซ้ำซาก จำเจ “ความรุนแรงเกิด - หน่วยงานรัฐลงพื้นที่ - จับกุมคนร้ายได้ -
เยียวยาผู้เสียหาย - เกิดเหตุรุนแรงรอบใหม่”
หากสถานการณ์ไฟใต้ได้กลายเป็นวัฏจักรแห่งความรุนแรง จนอาจกล่าวได้ว่าไม่แม้แต่คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานเองที่รู้สึกชินชาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะรู้สึกชินชาด้วยความหมดหวังในสถานการณ์ หรือความชินชาต่อการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มขบวนการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับความรุนแรงของคนในพื้นที่ไปแล้ว แล้วเราไม่คิดที่จะร่วมมือกันแก้ที่ต้นเหตุในการระงับ หรือยับยั้งไม่ให้กลุ่มขบวนการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงกันเลยหรือ?
หากสถานการณ์ไฟใต้ได้กลายเป็นวัฏจักรแห่งความรุนแรง จนอาจกล่าวได้ว่าไม่แม้แต่คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานเองที่รู้สึกชินชาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะรู้สึกชินชาด้วยความหมดหวังในสถานการณ์ หรือความชินชาต่อการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มขบวนการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับความรุนแรงของคนในพื้นที่ไปแล้ว แล้วเราไม่คิดที่จะร่วมมือกันแก้ที่ต้นเหตุในการระงับ หรือยับยั้งไม่ให้กลุ่มขบวนการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงกันเลยหรือ?
ประชาชนในพื้นที่ปลายด้ามขวานคงได้แต่ทำใจยอมรับต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปลงตกตามหลักทางพระพุทธศาสนาที่ว่า
“มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง” หรือปล่อยให้เกิดการสูญเสียรายวันแล้วมานั่งประณามการกระทำที่สุดโต่ง
เสียงก่นด่าเหล่านี้โจรใต้ไร้ศาสนาจะสำนึกหรือปรับเปลี่ยนยุทธวิธีแนวทางในการปฏิบัติได้กระนั้นหรือ?
เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่เกิดมานานนับ 10 ปี และในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้อันอาจส่อให้เห็นว่าเหตุการณ์ความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง หรือจะยุติลงได้ในเร็ววัน จนกระทั่งกลายเป็นปรากฏการณ์วัฏจักรความรุนแรงที่ซ้ำซาก และจำเจดั่งที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ดังนั้นแนวทางในการพูดคุยสันติภาพที่ได้หยุดชะงักไปเนื่องจากพิษภัยทางการเมืองของประเทศไทยเองต่อจากนี้ไปอยากเห็นแนวทางที่ชัดเจน
จับต้องได้ให้เป็นความหวังของผู้คนในพื้นที่ต้องการเห็นสันติสุข
การร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน หยุดเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว รู้รักสามัคคี
หาทางออกของปัญหาร่วมกันไม่ใช่หมักหมมปัญหาเหมือนดินพอกหางหมู
ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์ไฟใต้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ “ไม่มีวันสิ้นสุด”
จึงเป็นบทที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไปถึงของฝ่ายความมั่นคงกับประชาชนในพื้นที่
รวมทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำสี่เสาหลัก ร่วมมือกันจัดการกับปรากฏการณ์ที่ถือว่าเป็น “วัฏจักรไฟใต้” หรือ
เราจะปล่อยให้วัฏจักรความรุนแรงดังกล่าวยังคงอยู่คู่พื้นที่ปลายด้ามขวานต่อไป...เราเลือกเอง
******************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น