‘อิมรอน’
ยังไม่ทันก้าวข้ามครบรอบขวบปีกับสิ่งดีๆ
ที่ทุกคนต่างชื่นชมมาวันนี้บทพิสูจน์“ปอเนาะสีเทา”เรื่องสั้นรางวัลชมเชยกับโครงการ“เรื่องดีๆ
ที่บ้านเรา ประจำปี 2557”โดยกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเขียนโดย
อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา...งามหน้ามั๊ยล่ะท่าน!!
ไม่สมราคาเลยกับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ได้รับมา..ในเมื่อความจริงเรื่องราวในพื้นที่มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับงานเขียน...
9 มกราคม 2558
เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง
บริเวณโรงเรียนยุวอิสลาม บ้านน้ำใส
ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี โดยเป็นการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี
ได้สนธิกำลังร่วมอีกหลายฝ่าย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้โจรใต้ฟาตอนีเสียชีวิต 3 ราย อาศัยความชุลมุนเล็ดลอดหลบหนีไปได้ 2 ราย และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อีก
3 ราย นำตัวไปทำการซักถามขยายผล
ก่อนหน้านั้นได้มีข่าวร่ำลือกันหนาหูว่าโรงเรียนสอนศาสนาเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการโจรใต้
แต่ได้มีการตอบโต้กลับมาจากแนวร่วมเครือข่ายว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ปล่อยข่าวเพื่อต้องการใส่ร้าย
ป้ายสี มุ่งทำลายสถาบันสอนศาสนาของพี่น้องมลายูปาตานี
หลังจากการรวบรวมหลักฐานแน่นหนา
เจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าตรวจสอบปอเนาะเป้าหมาย ถึงกับอึ้ง!! พบอุปกรณ์ประกอบระเบิด ชุดวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เอกสารเชื่อมโยงการก่อเหตุ เอกสารขั้นตอนสู่ความสำเร็จ แผนบันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จ
ซึ่งเนื้อหาเป็นแผนงานการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนปาตานี รวมไปถึงหนังสือประวัติศาสตร์
และการต่อสู้ของรัฐปัตตานีภาษามลายู การดำเนินการสั่งปิดโรงเรียนปอเนาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวจึงเกิดขึ้น
หลังจากการเข้าทำการตรวจค้นจำนวน 2 โรง คือ โรงเรียนญิฮาดวิทยา
หรือปอเนาะญิฮาด ตั้งอยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ถูกสั่งปิดเมื่อ 19 พฤษภาคม 2549
และ “ปอเนาะสะปอม” หรือ “โรงเรียนอิสลามบูรพา” หมู่ที่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง
จ.นราธิวาส ถูกสั่งปิดเมื่อ 5 กรกฎาคม 2550
นั่นคือปฐมบท “ปอเนาะสีเทา” ความกังขาข้องใจของเจ้าหน้าที่ต่อโรงเรียนปอเนาะ
หรือโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนียังไม่จบ
เนื่องจากข่าวสารความเคลื่อนไหวในการใช้สถานศึกษาเหล่านี้เป็นแหล่งปลุกระดม
ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธปืน และใช้สถานศึกษาเป็นแหล่งกบดานของ ผกร. ยังมีข่าวความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง
การปลูกฝังแนวความคิดบิดเบือนประวัติศาสตร์
การปลุกกระแสความรักชาติปาตานี ในลักษณะบิดเบือนภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
หรือโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา เพื่อให้เยาวชนมุสลิมมีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ
และชาวไทยพุทธยังคงดำเนินต่อไป จากหลักฐานที่ได้จากการเปิดเผยของอาจารย์ท่านหนึ่ง
(ขอสงวนชื่อ-นามสกุล เพื่อความปลอดภัย) ของศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด(ตาดีกา)บุกอาตุนนูร
บ้านควนหรัน ม.2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายซอบรี หลำโสะ เจ๊ะฆูของศูนย์การศึกษาดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมศูนย์ฯ
และได้บันทึกการตรวจเยี่ยมลงในสมุด พบข้อความที่แสดงถึงความไม่พอใจในการควบคุมตัว
นายซอบรีฯ
ซึ่งได้เขียนต่อจากบันทึกการตรวจเยี่ยมของ พ.อ.พิเชษฐ์ ชุติเดโช ว่า “เอาครูไปด้วยโดยไม่มีเหตุผลใดๆ คราวหน้าไม่ต้องมาก็ได้นะเกรงใจ”
การแสดงออกของนักเรียนสถาบันปอเนาะที่ก้าวร้าว
เกลียดชังต่อคนต่างศาสนาซึ่งแน่นอนเด็กนักเรียนเหล่านี้เป็นผ้าขาว
ย่อมถูกระบายสีเทาจากเจ๊ะฆู, โต๊ะครู และอุสตาซ
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเด็กเหล่านี้ได้ซึมซับและถูกฝังชิปความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างเช่นสถาบันศึกษาปอเนาะมะหัดดารุล
มูฮายีรีน บ้านสวนซิก ม.4 (บ้านย่อยบ้านบละแต) ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
มีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า “กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK, กูรักฟาตอนีไปอยู่ฟาตอนีไลปีๆ”ฯลฯ
ตัวอย่างของการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
ความมีอคติ ความเกลียดชังจนนำไปสู่การสูญเสีย
แล้วบิดเบือนความจริงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
อย่างกรณีตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา
เมื่อ 5 ก.พ.58 เวลา 02.00 น. นายหนึ่ง ทองพูลดี (ไทยมุสลิม) อายุ 38 ปี
บ้านเลขที่ 1/1 ม.2 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี
ได้บุกเข้า รร.มูฮัมมาดียะห์ 124 ม.4 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
(โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา) และได้ทำการลักทรัพย์ ได้มาจำนวน 3 รายการ คือ
กล้องถ่ายรูป, กระเป๋า และเงินสดจำนวนหนึ่ง
ในขณะที่นายหนึ่งฯ
กำลังหลบหนีออกจากบริเวณที่พักนักเรียนหญิง
เด็กนักเรียนชายได้เข้ามารุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อมานายหนึ่งฯ
ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่ รพ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
แต่เกินขีดความสามารถแพทย์จึงได้ทำการส่งต่อไปทำการรักษาตัว ณ รพ.ศูนย์ยะลา
แต่นายหนึ่งฯ อาการสาหัสมากแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้
และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้วยอาการเลือดคั่งในสมองจากการถูกรุมทำร้าย กลับกลายเป็น
“มุสลิมทำร้ายมุสลิม”
หลังจากนั้นกลุ่มขบวนการได้สร้างความเข้าใจผิด
เดินหน้าปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังและโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์
จนมีการแชร์ต่ออย่างกระหน่ำ ด้วยภาพและข้อความ
“เมื่อเวลา 02.00
ของคืนวันที่ 5/2/58 รับแจ้งจากโต๊ะปาเกปอเนาะ กับชาวบ้านในพื้นที่! ว่าทหารพรานบุกเข้าในหอหญิงของปอเนาะ มะดาแฆ (แต่ข่าวเงียบ)
ข่าวที่ไม่ออกและข่าวที่รัฐอาณานิคมแห่งโจรสยามไม่กล้าออกมาเปิดเผย เหตุเมื่อคืน
5/2/58 เวลาประมาณ 02.00 น. มีผู้บุกรุกเข้าไปในหอพักหญิงในปอเนาะมะดาแฆ
ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ ปาตานี แต่โต๊ะปาเกที่เป็นชายจับได้เลยโดนซ้อมจนน่วมเลย
ทราบต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแห่งโจรสยาม (ทหารพราน) เข้าไปทำอะไร
ขโมยหรือเข้าไปเพื่อปลุกปล้ำ..ในปอเนาะหญิงไม่ใช่ที่ฝึกทหาร”
เมื่อ 7
ก.พ.58 นางคอลีเยาะ หะหลี ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 28 เมษายน ปี 2547 และแกนนำสตรีเรียกร้องสันติภาพจาก
ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
ได้กล่าวฝากให้ทุกส่วนทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าว
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทหารตามที่ได้มีการบิดเบือนกันในเครือข่ายสังคมออนไลน์
และการสร้างกระแสข่าวลือเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร
อยากให้ทุกคนเข้าใจค่ะ...“แต่เป็นไทยมุสลิมด้วยกันเอง...ไทยมุสลิมทำร้ายไทยมุสลิม...แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่”
กระแสตอนนี้ทุกคนเอาแต่โทษทหาร
โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารเลวทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่ทหาร แต่เป็นพี่น้องคนไทยมุสลิมด้วยกันเอง มันไม่ยุติธรรมนะค่ะ
หรือว่านี่คือผลพลอยได้ในการสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่โดยอาศัยความตายของนายหนึ่งฯ
ฝากด้วยค่ะ ใครผิดต้องยอมรับความผิด
และที่แย่ไปกว่านั้น
ทหารเข้าไปในปอเนาะนักเรียนด่าเจ้าหน้าที่ทหารต่างๆ นาๆ
ซึ่งหลักศาสนาอิสลามไม่เคยสอนให้ใครพูดจาไม่ดีกับบุคคลอื่น
ไม่สอนให้คนเกลียดชังกัน แต่เวลานี้เด็กๆ กำลังหลงทางเพราะการบิดเบือนความจริง ผู้บริหารโรงเรียนไม่กล้าเปิดเผยความจริง
และทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ทุกข์ใจกับปัญหาที่ไม่ได้ก่อ เรียกร้องไปยังอุซตาซ,
ครู และ ผอ.รร.มูฮัมมาดียะห์ รีบออกมาทำความเข้าใจกับเด็กนักเรียน
และประชาชนทั่วไปเสียที และให้ยอมรับความจริง ไม่ควรบิดเบือนความจริง
อย่าทำให้ศาสนาต้องเสื่อมเสีย อัลลอฮ์ไม่สนับสนุนให้ผู้นับถือศาสนาให้กระทำเช่นนี้
ขอให้รีบดำเนินการ ก่อนทุกอย่างจะบานปลาย สายเกินแก้...
นั่นคือผลิตผลของปอเนาะที่ครู,
อุสตาซได้อุตส่าห์ประคบประหงมบ่มเพาะมากับมือ ผู้เขียนและบุคคลภายนอกไม่สามารถก้าวล่วงหรอกนะว่าโรงเรียนได้สอนอะไรบ้างให้กับนักเรียนเหล่านี้
แต่ดอกผลปอเนาะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ในสายตาประชาชนทั่วไป
ฝากไปยังผู้บริหารสถาบันปอเนาะทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ช่วยกันหาวิธีป้องกันดูแล อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก นักเรียนใช้ความรุนแรง ผู้บริหารไม่กล้าพูดความจริง
มีการบิดเบือนข้อมูล รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ปอเนาะเป็นแหล่งพักพิง
แหล่งซ่องสุมกำลัง ประกอบวัตถุระเบิดและซุกซ่อนอาวุธของ ผกร. มิเช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ
และนำไปสู่การเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการ
สุดท้ายจะไม่มีผู้ปกครองคนไหนไว้วางใจฝากลูกหลานให้ไปอยู่กับปอเนาะของท่านอีก
เพราะมีความสุ่มเสี่ยงชักนำให้เป็นสมาชิก RKK ผู้เขียนขอเรียกร้องฝ่ายรัฐให้รีบดำเนินการตรวจสอบสถาบันปอเนาะที่ไม่มีคุณภาพ
ไม่ได้มาตรฐานให้ทบทวนตัวเอง และพัฒนาปอเนาะให้เป็นสถาบันที่ดีน่าศึกษาต่อไป...อย่าให้กลายเป็นแดนลี้ลับตรวจสอบไม่ได้เป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการใช้ประโยชน์อีกเลย...
-----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น