ชบา สีขาว....
“ โจรใต้พวกบิดเบือนศาสนา พวกมีอิทธิพล
ยาเสพติด เชื่อไหมว่าคือต้นเหตุความรุนแรงจนถึงทุกวันนี้...”
ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทุกภาคส่วนต่างมีเป้าประสงค์เพื่อส่งเสริมและผนึกกำลังโดยเฉพาะพลังจากภาคประชาสังคม
และพลังจากประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและร่วมกันอย่างจริงจังซึ่งในความร่วมมือนี้เองที่ฝ่ายความมั่นคงมองเห็น แต่ประชาชนตาดำๆทั้งไทยพุทธ
และไทยมุสลิมในพื้นที่ต่างรู้แก่ใจดีว่านั่นคือการแก้ปัญหาในปัจจุบัน แต่ปัญหาที่หมักหมมกันมานาน
นานจนลุกเป็นไฟนั่นคือการที่ผู้นำท้องถิ่นทรงอิทธิพลและมีการสืบทอดอำนาจกันอย่างเป็นระบบในเครือญาติ รวมถึงการเมืองระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่าฐานเสียงส่วนใหญ่ของนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มาจากผู้ใหญ่บ้านและกำนัน
หากผู้นำเหล่านี้ร่วมมือเป็นอย่างดีกับฝ่ายความมั่นคง พร้อมสนับสนุนอย่างจริงใจในการแก้ปัญหา
ไม่เกรงกลัวการข่มขู่จากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
มีจิตสำนึกของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ใกล้ชิดชาวบ้านที่สุด
ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่หมู่บ้านและตำบลนั้นคงเงียบสงบ
ประชาชนนอนหลับอย่างเป็นสุข
แต่ก็อีกนั่นแหละทุกชีวิตย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา
เพราะฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้การข่มขู่ ทำร้าย หรือสังหารผู้ที่ร่วมมือกับรัฐ
ทำให้ผู้นำท้องถิ่นอยู่ในความหวาดกลัว หากให้ความร่วมมือกับรัฐ
ซึ่งก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ที่จะยอมรับไม่ได้ คือการสร้างอิทธิพล
และสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยหวังผลประโยชน์ในการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
ธุรกิจเถื่อน ผลผลิตทางการเกษตรรวมถึงการขยายที่ดินและยาเสพติด
โดยผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้มีอำนาจ อิทธิพลล้นเหลือในพื้นที่
ทั้งยังสามารถควบคุมพื้นที่ของตนไม่ให้มีเหตุร้ายได้
แต่หากใครมาขวางทางการค้ายาเสพติด แจ้งข่าวสารให้รัฐ
มักถูกฆ่าโดยโยนความผิดให้เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง
หรือที่รู้กันดีว่าเลี้ยงโจรไว้ใช้งาน ตื้นลึกหนาบางของเครือข่ายยาเสพติด
ผู้ทรงอิทธิพล ผู้ก่อเหตุรุนแรง
ชาวบ้านตาดำๆต่างรู้ดีนี่คือปัญหาที่ต้องสะสาง
ในเงามืดของเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ซุกปีกของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงอย่างขบวนการ
BRN
หรือแทรกตัวอยู่ในกลุ่มองค์กรต่างๆ
ผู้มีอิทธิพลพวกนี้...
ทำร้ายพี่น้องมุสลิมมาลายูด้วยกันเอง ซึ่งสิ่งที่ชาวบ้านหวาดกลัวที่สุดคือ
ยาเสพติด ที่คืบเข้าหาตัวลูกหลานในบ้าน ในโรงเรียน ในชุมชน
ซึ่งแม้แต่อิหม่ามเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดี่ยวนี้ลูกหลานของเขาไม่เข้ามัสยิดแล้ว
แต่กลับไปมั่วสุมกันเพื่อเสพยาเสพติด
และกลายเป็นช่องทางที่บรรดาเหล่าโจรใต้ที่บิดเบือนศาสนาได้อาศัยโอกาสนี้ชี้นำลูกหลานเยาวชนเหล่านั้นเข้ามาร่วมขบวนการ
โดยแลกกับยาเสพติดและคำยกย่องชมเชย พร้อมบิดเบือนว่าดีได้ขึ้นสวรรค์
พระเจ้าทรงยินดีต่อการกระทำนี้
ที่ผ่านมา...
ภาครัฐมองการแก้ปัญหาตามแนวทางของภาครัฐ ซึ่งเชื่อว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
แต่เราในฐานะชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ เกิดและจะตายที่นี้มองว่า “โจรใต้พวกบิดเบือนศาสนา
พวกมีอิทธิพล ยาเสพติด
คือต้นเหตุความรุนแรงตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้...”
ผมและประชาชนทั้งพี่น้องไทยพุทธ
พี่น้องไทยมุสลิมเชื่อน่ะว่า หากทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะผู้นำศาสนา อิหม่าม และประชาชน
ยังปล่อยให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีในหมู่บ้านของตนเอง
และให้ขบวนการค้ายาเสพติดพึ่งประโยชน์ซ่อนตัวในเงามืดของขบวนการก่อเหตุรุนแรง ก็พึงรู้ได้เลยว่าคนมาลายูผู้เป็นพ่อ แม่
ต้องมานั่งสูญเสียน้ำตาจากการที่ลูกต้องตกเป็นทาสของยาเสพติด สุดท้ายเข้าสู่วังวนของขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้วเมื่อไรล่ะที่แผ่นดินปลายด้ามขวนผืนนี้จะสงบ
สันติ เสียที ถ้ายังปล่อยให้คนชั่วลอยนวล อยากบอกว่าการแก้ปัญหา “ชะตากรรมใต้”
ต้องเร่งแก้ไข
ป้องกัน และปราบปราม “โจรใต้ที่มักบิดเบือนหลักศาสนา ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ยาเสพติดทุกประเภท”
--------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น