แบดิง โกตาบารู’
สถานการณ์ไฟใต้ที่เกิดมานับร่วมสิบกว่าปี
ได้สร้างก่อความเสียหายต่อประเทศอย่างประเมินค่ามิได้
ซึ่งกลุ่มที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐได้จุดคบไฟใต้ขึ้น
จนยากที่จะควบคุมได้ลุกลามเผาผลาญสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งทรัพย์สินและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์,
เจ้าหน้าที่รัฐ และครอบครัวผู้ก่อเหตุรุนแรงต่างได้รับกันถ้วนหน้า
การค้าการลงทุนหดหาย รัฐต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมหาศาลในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทั้งทางกายและจิตใจ
‘สันติสุข’
คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ประชาชนในพื้นที่ต่างโหยหาว่าสักวันจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ
ไม่ต้องหวาดระแวงในการใช้ชีวิตประจำวันว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นตอนไหน
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต่างไขว่คว้าต้องการ
‘สันติสุข’ กลับคืนมาสู่พื้นที่ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
(Deep
South Watch) ได้ทำการศึกษาออกแบบสำรวจกลุ่มตัวอย่างโดยการตอบแบบสอบถาม
ทั้งสิ้น 2,104 ตัวอย่าง จากพื้นที่ 302 หมู่บ้านและชุมชน ซึ่งกระจายไปในพื้นที่ 83 ตำบล จาก
19 อำเภอในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนร้อยละ 76.9 ให้การยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่กับกลุ่มที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐ
แต่ในอีกฝากฝั่งหนึ่งกลุ่มที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐบางกลุ่ม
ที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนไม่ถึง 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่
ได้ดำเนินการเคลื่อนไหวโดยใช้ NGOs และนักศึกษาบังหน้า ด้วยการจัดกิจกรรม
เปิดเวทีเสวนาชี้นำทางความคิดปฏิบัติการจิตวิทยา“ชนะโดยไม่ต้องรบ”มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง โยนผิดให้กับเจ้าหน้าที่ โจมตีการปฏิบัติงานของรัฐบาล
มุ่งสร้างความเกลียดชัง รวมไปถึงจุดประเด็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม จุดมุ่งหมายสุดท้ายที่ต้องการคือสิทธิในการกำหนดใจตนเอง
(Self-determination) เพื่อแยกตัวเป็นอิสระในการปกครองตนเอง ซึ่งมีการชี้นำ
4 ประเด็นด้วยกัน
1) เพื่อชี้ให้เห็นว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ
(Internal Armed conflict)
2) เจ้าหน้าที่รัฐมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ
3) พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง
4) ปาตานีเป็นดินแดนที่ถูกยึดครองจากสยามต้องแสดง“สิทธิการเป็นเจ้าของ”
การกำหนดใจตนเอง
(Self-determination)
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กระทำได้หรือไม่? เพื่อนำไปสู่การลงประชามติ
แยกตัวเป็น “เอกราช” จากรัฐบาลไทยตามที่ได้มีการปลุกกระแสเคลื่อนไหวอย่างกว้างขวางขององค์กรภาคประชาสังคม
การกำหนดใจตนเอง
(Self-determination)
ตามกฎกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองข้อ 1 ระบุไว้ว่า “ประชาชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองโดยอาศัยสิทธินั้น
ประชาชนจะกำหนดสถานะทางการเมืองอย่างเสรี รวมทั้งดำเนินการอย่างเสรี
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตน”
ประเทศไทยได้ทำข้อแถลงตีความ
(ข้อสงวน) สิทธิในการกำหนดใจตนเองไม่ได้กระทำได้ในทุกๆ เรื่อง และมีข้อสงวนไว้ว่า “มิให้ตีความว่าอนุญาต หรือสนับสนุนการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการแบ่งแยก
หรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐ เอกราชอธิปไตย
ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน”และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาได้บัญญัติการออกเสียงประชามติไว้ว่า
“ต้องเป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนส่วนใหญ่
จึงจะให้มีการออกเสียงประชามติ”
ดังนั้นการกำหนดใจตนเอง
(Self-determination) จึงกระทำไม่ได้
ภายใต้รัฐธรรมนูญมิได้เปิดช่องให้มีการทำประชามติเกี่ยวกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
เมื่อไม่มีการเปิดช่องฟังเสียงคนทั้งประเทศเท่ากับว่ากระบวนการที่จะนำไปสู่การกำหนดใจตนเองก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ได้มีการปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาแต่อย่างใด
ยังมีประเด็นที่องค์กรภาคประชาสังคมทำการขับเคลื่อนเพื่อสื่อไปยังต่างชาติชี้ให้เห็นว่าปัญหา
จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ (Internal
Armed conflict)
แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร?
“การขัดกันด้วยอาวุธภายในประเทศ”
เป็นการต่อสู้ภายในรัฐระหว่างกองกำลังรัฐบาล กับกองกำลังต่อต้านรัฐบาล
หรือระหว่างกลุ่มกำลังต่างๆ ที่ยังมิได้จัดตั้งรัฐบาล การจะเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่จะต้องพิจารณาจาก
กองกำลังต่อต้านรัฐบาล จะต้องมีการจัดตั้งองค์กร, มีการบังคับบัญชา,
มีการควบคุมพื้นที่ และมีการปฏิบัติการโจมตีอย่างต่อเนื่องและพร้อมเพรียงกัน
ระดับความรุนแรงของการต่อสู้มีการใช้กองทัพเข้าทำการปราบปราม
มีการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง, องค์กรระหว่างประเทศ หรือประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงหรือเกี่ยวข้อง,มีผู้เสียชีวิต
และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และการก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินบ่อยครั้ง ได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง
ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
จึงไม่ได้เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศ (Internal Armed conflict) หรือการขัดกันด้วยอาวุธที่มิใช่ระหว่างประเทศ (Non Internal Armed
conflict) แต่เป็นเพียงการรักษาความสงบเรียบร้อย
และเป็นการบังคับใช้กฎหมายภายใต้กฎหมายอาญาภายในประเทศ (Domestic Criminal
Law) ด้วยเหตุผลเนื่องจากไม่มีกลุ่มใดรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ผู้ก่อเหตุปฏิบัติในทางลับไม่เปิดเผยตัว ไม่มีหลักฐานว่ามีการบังคับบัญชาทางทหาร ไม่มีพื้นที่ใดถูกควบคุมโดยกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด และเหตุการณ์ส่วนใหญ่เป็นอาชญากรรมทั่วไป
เพราะฉะนั้นตามที่มีการชี้นำขององค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มเพื่อทำการสื่อไปยังองค์กรระหว่างประเทศเพื่อต้องการให้เห็นว่าปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นความขัดแย้งกันด้วยอาวุธภายในประเทศไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
ส่วนประเด็นกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ
ซึ่งในการเก็บ DNA
บุคคล โดยหลักการทั่วไป “ต้องได้รับการยินยอมในการจัดเก็บ
DNA”แต่มีข้อยกเว้นไม่ต้องได้รับการยินยอมมีกฎหมายรองรับในบางสถานการณ์ที่จำเป็น
ซึ่งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐจะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายพิเศษที่บังคับใช้
ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง อยู่ในมาตรา 11(6) นายกรัฐมนตรี
มีอำนาจสั่งให้มีการตรวจเก็บ DNA เพื่อความปลอดภัยของประชาชนโดยทั่วไป
จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานภายใต้กรอบของกฎหมาย
และมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ต้องถือเอาความมั่นคงของประเทศเป็นใหญ่
และเป้าหมายสูงสุดเพื่อต้องการคืนความสุขให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้กลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
สิทธิในการกำหนดใจตนเองก็ไม่สามารถกระทำได้
มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ประชาชนต้องการและสนับสนุนคือการพูดคุยเพื่อสันติสุข (Dialogue to
foster Harmony) พร้อมทั้งยอมรับและเชื่อมั่นต่อกระบวนการสันติภาพ
ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่กับกลุ่มที่มีความเห็นและอุดมการณ์แตกต่างจากรัฐ...นั่นคือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
มีแต่เสียงส่วนน้อยเท่านั้นที่พยายามเรียกร้องสิทธิในการกำหนดใจตนเอง
นำไปสู่การลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น