‘มุสลิมท่าด่าน’
ตั้งแต่ศาลแพ่งมีคำสั่งพิพากษา
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.58 ยึดที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยาตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น
ในเวลาต่อมากลับมีกลุ่มองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและมีการก้าวล่วงกล่าวหาว่าคำพิพากษาไม่มีความยุติธรรม
อีกทั้งได้มีการเปิดประเด็นที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน“วากัฟ” (ที่ดินที่ได้รับการบริจาค) ซึ่งเป็นการจุดกระแสเพื่อต้องการสื่อให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม
ชี้ให้เห็นว่ารัฐรังแกประชาชน ไม่มีความเป็นธรรม และเป็นความผิดพลาดของรัฐในการยึดที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา
ซึ่งถ้าเราลองมาเรียบเรียงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ทำไม?
ศาลจึงต้องทำการยึดที่ดิน และทำไม? กลุ่มองค์กรบางกลุ่มจึงอาศัยจังหวะฉวยโอกาสในการเคลื่อนไหวแสวงประโยชน์จากเหตุการณ์นี้
ย้อนรอยไปในอดีต นายบาราเฮ็ง เจ๊ะอาแซ หรือ
“บาบอเฮง” ได้รับมรดกที่ดินตกทอดมาจากครอบครัว ซึ่งที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่
14 ไร่ 1 งาน กับ 42 ตารางวา แรกเริ่มเดิมทีที่ดินตรงนี้ “บาบอเฮง” มีความตั้งใจที่จะสร้างโรงเรียนปอเนาะไว้ให้ลูกหลานในพื้นที่ได้มีที่ศึกษาเล่าเรียนศาสนา
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ ในเวลาต่อมา “บาบอเฮง” ได้เสียชีวิตลง กิจการโรงเรียนญีฮาดวิทยาจึงเป็นมรดกตกทอดต่อกันมาให้คนในครอบครัวเข้ามาบริหารจัดการต่อ
เมื่อเวลาผ่านไปมีการปรับเปลี่ยน จากปอเนาะญีฮาด เป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาญีฮาดวิทยา
โดยมีการเก็บค่าธรรมเนียมในการเรียนการสอน และรับเงินสนับสนุนจากรัฐในการบริหารจัดการ
ความหายนะเริ่มตั้งเค้าเมื่อ นายดูนเลาะ
แวมานอ เข้ามารับช่วงต่อเป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา เนื่องจากนายดูนเลาะเริ่มฝักใฝ่กับขบวนการ
BRN
มีการใช้อาคารสถานที่โรงเรียนในการฝึกการใช้อาวุธ ผลิตวัตถุระเบิด
และซ่องสุมกำลัง ปลูกฝังชักนำให้นักเรียนเข้าร่วมขบวนการจึงได้ทำให้เจตนาเดิมของ“บาบอเฮง”ถูกบิดเบือน จนเป็นเหตุให้ปอเนาะสีขาวกลับกลายเป็นปอเนาะสีเทา
ทรัพย์สินถูกยึด ชื่อเสียงถูกทำลายสังคมดูหมิ่นเกลียดชัง เสื่อมเสียชื่อเสียง
มูลเหตุจากการจับกุม นายมะยุรี หนิแว
และนายมะซุกี เซ็ง บุคคลทั้งสองยอมรับว่าเป็นสมาชิกหน่วยคอมมานโดของกลุ่มโจร BRN เมื่อประมาณต้นปี 2545 ได้ถูกส่งตัวไปฝึกหลักสูตรคอมมานโด
หรือชุดรบขนาดเล็ก (RKK) ที่โรงเรียนญีฮาดวิทยา
โดยมีนายอิสมาแอ หรือจิแอ มะเซ็ง เป็นผู้ควบคุมการฝึก และนายดูนเลาะ แวมะนอ
หรือเปาะซูเลาะห์ เป็นครูใหญ่โรงเรียนญีฮาดวิทยา
ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารได้สนธิกำลังเข้าทำการตรวจค้นโรงเรียนญีฮาดวิทยา
พบสายไฟฟ้า ท่อพีวีซี เครื่องวัดกระแสไฟฟ้า เอกสารแผนการปฏิวัติ 7 ขั้น
บริเวณหลุมขยะบรรจุในขวดโหล พลาสติคฝังดิน ซึ่งเอกสารแผนการปฏิวัติ 7
ขั้นดังกล่าวมีลักษณะเป็นเอกสารภาษามลายูเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี
จากพยานหลักฐานต่างๆ
ที่ได้จากการตรวจค้นโรงเรียนญีฮาดวิทยา ประกอบกับการรับสารภาพของสมาชิก RKK ในเวลาต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งปิดโรงเรียนญีฮาดวิทยา
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2549 และถูกศาลสั่งยึดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.58
ขณะที่เรื่องการยึดทรัพย์โรงเรียนญีฮาดวิทยา
ยังอยู่ในขั้นตอนของศาลยุติธรรม นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขา ศอ.บต. ยังมีความห่วงใยเข้าไปเยี่ยม“ครอบครัวแวมานอ”และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ ซึ่ง
ณ ขณะนั้น“ครอบครัวแวมานอ”มีความยินดีที่จะให้
ศอ.บต. ช่วยเหลือในรูปของคดี แต่ภายหลังความคิดดังกล่าวกลับหายไปเมื่อมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
และองค์กรภาคประชาสังคมได้เข้ามาสอดแทรก โดยให้ความหวังกับ“ครอบครัวแวมานอ”ไม่ต้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาช่วยเหลือเพราะอยู่คนละฝ่ายกัน อีกทั้งคดีนี้ทนายความมุสลิมรับผิดชอบอยู่แล้ว
แนวทางในการต่อสู้มีโอกาสที่จะชนะสูง มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมจะเป็นผู้ดำเนินการ
และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
ซึ่งจากข้อมูลเชิงลึกทราบว่า มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่อสู้คดี
และเรื่องอาหารการกินที่พักจริง แต่แค่เพียงบางส่วนไม่ใช่ให้การช่วยเหลือทั้งหมดอย่างที่ได้กล่าวไว้ในตอนแรก
ส่งผลให้“ครอบครัวแวมานอ”ได้รับความเดือดร้อนต้องออกค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือเองซึ่งเป็นเงินจำนวนมากอยู่สมาชิกในครอบครัวต้องลำบาก
และที่สำคัญคือ การแพ้คดี ทำให้ที่ดินของปอเนาะญีฮาดถูกยึดตกเป็นของแผ่นดิน
นี่หรือลมปากของคนบางกลุ่มที่เพียงต้องการแสวงประโยชน์
เมื่อไม่เห็นหนทางชนะคดีกลับถีบหัวส่งยัดเยียดความทุกข์ซ้ำเติมให้กับ“ครอบครัวแวมานอ”
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษา
สั่งยึดทรัพย์ที่ตั้งโรงเรียนญีฮาดวิทยา“ครอบครัว แวมานอ”ยอมรับในคำตัดสินของศาล และไม่ขอยื่นอุทธรณ์ทั้งๆ ที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้
โดยนายบันยาล แวมะนอ ลูกชาย นายดอเลาะ ได้กล่าวว่า
อยากจะจบเรื่องเลยไม่ขอยื่นอุทธรณ์ และเมื่อวันที่ 14 ก.พ.59 “ครอบครัวแวมะนอ”และได้ขนย้ายข้าวของออกจากพื้นที่ไปพักอาศัยอยู่ที่
ศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสยิดกือแด หรือมัสยิดท่าด่าน แต่ยังมีกลุ่มต่างๆ
ได้หยอดคำหวานให้ความหวังกับ“ครอบครัวแวมะนอ”ว่าจะช่วยกันซื้อที่ดินผืนใหม่เพื่อจะสร้างโรงเรียนขึ้นมาทดแทนสนองเจตนารมณ์ของ“บาบอเฮง”
ล่าสุดเมื่อ 26 ก.พ.59 ผู้นำองค์กรทางศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ประกอบด้วยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี, นราธิวาส, สงขลา ผอ.ศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีประจำภาค
จชต., ประธานสภาอูลามาอฟาฏอนีย์ดารุสลาม, ประธานชมรมมุสลิมภราดรภาค, นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะ
5 จชต.
และนายกสมาคมโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ได้จัดแถลงข่าวหาแนวทางการแก้ปัญหากรณีศาลยึดที่ดินดินโรงเรียนญีฮาดวิทยาขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี
ซึ่งจะได้ร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา
และเห็นพ้องต้องกันให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาชุดหนึ่ง
ในการพิจารณาแนวทางการใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว
ให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน
จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหากรณีศาลยึดที่ดินดินโรงเรียนญีฮาดวิทยาให้ตกเป็นของแผ่นดินนั้น ประชาชนในพื้นที่ยังสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินผืนดังกล่าวได้
โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาในการหาหาแนวทางและมาตรการในการขอใช้ที่ดินดังกล่าวต่อรัฐ
ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าจะต้องเป็นไปตามความต้องการของชุมชน
และไปตามเจตนารมณ์ในการสานต่อเจ้าของที่ดินในการบริหาร
จัดการ
ซึ่งกลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีต่างเรียงหน้าออกมาทำการกล่าวหารัฐอยู่อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงจะพลอยตกเป็นเครื่องมือให้กับบุคคลเหล่านี้
เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงคือรัฐไม่ได้รังแกประชาชน คดีความได้ว่าไปตามกฎหมาย
ส่วนการยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินนั้นมิได้หมายความว่าจะห้ามการใช้ประโยชน์ใดๆ“ทำการยึด”เพื่อคืนที่ดินผืนดังกล่าวให้เป็นสาธารณะประโยชน์ให้คนในชุมชน
ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ได้บริหารจัดการใช้ประโยชน์ร่วมกันในการจรรโลงศาสนา
สานต่อเจตนารมณ์ของเจ้าของเดิมต่อไป
--------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น