‘ลมใต้ สายบุรี’
เป็นอันสิ้นสุดของคดีเมื่อ“ครอบครัวแวมะนอ”ไม่มีการอุทธรณ์
กรณีศาลแพ่ง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.26/2556 ให้ยึดที่ดินโรงเรียนญีฮาดวิทยา
ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนเกี่ยวกับการกระทำการก่อการร้าย
14 ก.พ.59 “ครอบครัวแวมะนอ” เก็บข้าวของทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านที่ตะโละกาโปร์
อ.ยะหริ่ง จ. ปัตตานี มีชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ช่วยในการขนย้ายออกจากบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนปอเนาะ
นายบันยาล แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ
แวมะนอ กล่าวว่า “ผมเคารพการตัดสินใจของศาล” ส่วนเรื่องที่ว่าคนที่มีหมายจับและเป็นต้นตอของการยึดทรัพย์หนนี้
ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินหรือเป็นเจ้าของโรงเรียนนั้น เขาเชื่อว่าศาลรู้แล้ว“ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร แต่เรื่องที่ดินผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามันเป็นของคนอื่น
แต่ศาลคงคิดว่ามีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เมื่อศาลตัดสินผมก็ยอมรับ
ผมบอกแต่แรกแล้วว่า เมื่อเราสู้คดี ไม่ว่าแพ้หรือชนะเราก็จะยอมรับคำตัดสิน”
“ครอบครัวก็ไม่ทราบว่าพ่อไปทำอะไร”ซึ่งเป็นคำพูดที่สะดุดหูและชวนคิด มีอยู่บ่อยครั้งที่สมาชิกในครอบครัวไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทำ
แต่เมื่อเกิดเรื่องแล้วก็จะต้องยอมรับจากผลการกระทำของคนในครอบครัว
“วันนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารมาถาม
พอเห็นเราจะย้ายไปอยู่มัสยิดก็บอกว่าทำไมไม่ไปบอกทหารก่อน
ผมก็บอกว่ามีชาวบ้านที่จะช่วยเราอยู่แล้ว ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของผมบ้าง”นายบันยาล ได้กล่าวถึงเจ้าหน้าที่ที่มาสอบถาม
ภาพที่ชาวบ้านที่ช่วยกันขนข้าวของ“ครอบครัวแวมะนอ”ออกจากผืนแผ่นดินที่เคยอยู่อาศัยและใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนปอเนาะญีฮาดวิทยามานานหลายสิบปี
สื่อแนวร่วมจงใจกันและพร้อมใจเผยแพร่ ไปในทิศทางเดียวกัน เสมือนหนึ่งมีการนัดหมายและได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า
ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกทางด้านจิตวิทยาสังคม โดยปฏิเสธเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าทำการช่วยเหลืออย่างไม่มีเยื่อใย
นายบันยาล ยังกล่าวต่อไปว่า“มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาพูดคุยบอกให้เราอุทธรณ์ ครอบครัวก็รู้สึกแปลก
ทำไมเจ้าหน้าที่มาบอกให้พวกเราอุทธรณ์ ในเมื่อพวกเขาเองเป็นคนฟ้องร้องเรา
มันเหลือจะบรรยาย ตกลงเจ้าหน้าที่จะเอายังไงกับเรากันแน่”
นายโสภณ ทิพย์บำรุง
อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 9 กล่าวว่า “ถ้าครอบครัวแวมะนอไม่ยื่นอุทธรณ์
ก็ต้องถือว่าคดีสิ้นสุด คำพิพากษามีผลทันที โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินจะตกเป็นของรัฐ
หมายถึงรัฐเป็นเจ้าของ อย่างไรก็ดี หากรัฐยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ใครก็ตามสามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่มีสิทธิครอบครอง
แต่ถ้าวันใดรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา ก็ต้องย้ายออกไป”
“แนวทางที่ดีสำหรับครอบครัวแวมะนอ
คือ การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าไม่ต่อสู้ตามกระบวนการ
ก็ไม่มีช่องทางอื่นที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลย และเห็นว่าทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ”อัยการโสภณ ระบุ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์
2559 อัยการโสภณ ทิพย์บำรุง ได้แถลงข่าวอธิบายเหตุผลของศาลแพ่งในการริบที่ดินอันเป็นที่ตั้งของปอเนาะญีฮาดให้ตกเป็นของแผ่นดินให้สาธารณชนได้รับรู้
โดยย้ำเหตุผลที่ศาลรับฟัง คือ
ที่ดินผืนนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกของกลุ่มคนร้ายในขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งมีหลักฐานทั้งพยานบุคคล และพยานแวดล้อมอื่นๆ ครบถ้วน
หากวิเคราะห์สาเหตุที่“ครอบครัวแวมะนอ”ไม่ยื่นอุทธรณ์
น่าจะมาจากสาเหตุไม่สามารถนำหลักฐานมาหักล้างต่อศาลได้ และที่สำคัญ
มูลนิธิทนายความมุสลิมที่ปรึกษาในคดี“ครอบครัวแวมะนอ” อาจจะมีการประเมินหนทางต่อสู้แล้วว่าหากอุทธรณ์ไปก็ไม่สามารถชนะคดีความได้
ที่น่าสนใจทำไม? “ครอบครัวแวมะนอ”จึงรีบย้ายออกจากที่ดินผืนดังกล่าวทั้งๆ
ที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนดังกล่าวได้อยู่ ยกเว้นรัฐต้องการใช้ประโยชน์ขึ้นมา
จึงจะต้องย้ายออกไป ตามที่ทนายโสภณได้กล่าวไว้
ซึ่งจากข้อสังเกตน่าจะมีบุคคลอยู่เบื้องหลังให้ทำการย้ายออก
เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะสื่อแนวร่วมที่ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอดว่ารัฐรังแกประชาชน
และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ มีการนำภาพพร้อม และเขียนข่าวมีการขยายผลแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างกว้างขวาง
สร้างกระแสให้ประชาชนมลายูปาตานีรู้สึกคล้อยตาม สงสารและเห็นอกเห็นใจ“ครอบครัวแวมะนอ”ซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำมาโดยตลอดตามที่ นายบันยาล
แวมะนอ ลูกชายของ นายดอเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่ปอเนาะญีฮาด ได้กล่าวมาโดยตลอด
ในความเป็นจริงการหาทางออกที่ดินผืนดังกล่าว
รัฐมิได้ยึดมาเป็นทรัพย์สินของรัฐโดยที่ประชาชนในชุมชนไม่สามารถใช้ในการใดการหนึ่งได้เลย
ผู้นำศาสนา
ผู้นำชุมชนในพื้นที่รวมทั้งชาวบ้านสามารถที่เสนอความต้องการในการใช้ที่ดินผืนดังกล่าวตามที่ตกลงกัน
แล้วนำเสนอต่อรัฐเพื่อเข้าไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ในขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาครัฐ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่ขับเคลื่อนและใกล้ชิดประชาชนมาโดยตลอด คือ
ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต. ได้มีแนวทางช่วยเหลือเยียวยา“ครอบครัวแวมะนอ”อยู่แล้ว
โดยมีแนวความคิดในการปรับปรุงปอเนาะญีฮาดแห่งนี้ให้เป็นสถานศึกษาของชุมชนต่อไป
และให้เจ้าของปอเนาะเดิมเป็นผู้จัดการบริหารสถานศึกษาอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วมีทางออก
และหนทางในการแก้ไขปัญหา ยกเว้นการไม่ยอมให้ความร่วมมือหันหลังให้กับปัญหา
มีการตั้งแง่รังเกียจรังงอน มีอคติกับรัฐและเจ้าหน้าที่ กลายเป็นช่องว่างให้ผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยโอกาสในการสร้างบาดแผลทางใจ
ตกเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความบาดหมางจนยากจะแก้ไข
ในส่วนของคดีความทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล ตัดสินไปตามหลักฐานและพยานแวดล้อม
ด้วยความสุจริตยุติธรรมให้ความเท่าเทียมและเสมอภาคกับทุกฝ่ายทุกคนอยู่แล้วโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนา...เพราะฉะนั้นตามที่ได้มีบุคคลผู้ไม่หวังดีทำการยุยงปลุกปั่นกล่าวหารัฐกลั่นแกล้ง
รัฐรังแกประชาชนไม่ได้เป็นความจริงที่ได้มีการกล่าวอ้างแต่ประการใดเลย...จะเห็นได้ว่ารัฐได้มีการอะลุ่มอล่วยยืดหยุ่นในการปฏิบัติมาโดยตลอดเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีผลกระทบกับประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้....
---------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น