‘แบดิง โกตาบารู’
“กลุ่มด้วยใจ ร่วมมือกับ องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี
และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม” มั่วหลอกประชาชนให้หลงเชื่อ รายงานซ้อมทรมานในห้วงปี
2557-2558 มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ
และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล ส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547
มารายงานซ้ำ เป็นการกล่าวอ้างจากคำบอกเล่าที่เลื่อนลอย โดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์
และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
นับเป็นการแหกตาประชาชนครั้งมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงองค์กรต่างประเทศผู้ที่สนับสนุนในเรื่องทุนในการเคลื่อนไหวของทั้งสองนาง
ในนามส่วนตัวผู้เขียนเองเข้าใจดีที่นางทั้งสองเร่งทำผลงานเพื่อดูดงบ เข้าใจดีว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นอาชีพหนึ่งที่ทำเงินมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้าสู่ครอบครัว
ไม่ได้เคลื่อนไหวด้วยอุดมการณ์ใดๆ เลย หรือกระทำเพื่อสังคม
เพื่อประชาชนด้วยการอุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็น ผอ.โน่นนี่
แต่ที่ประชาชนทั่วไปรับไม่ได้กับพฤติกรรมของนางทั้งสองคือ
ความหน้าด้าน ไร้ยางอาย ด้วยการนำข้อมูลเก่ามาเล่าใหม่ โดยไม่มีการตรวจสอบ นำข้อมูลมาเปิดเผยต่อสาธรณชนแบบมั่วๆ
กลับทำลายภาพลักษณ์ของประเทศที่คุณซุกหัวนอน
โดยไร้จิตสำนึกมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตน
ในความจริงสถานการณ์การซ้อมทรมานในปัจจุบันแทบจะไม่มี
ให้เห็น เจ้าหน้าที่ตระหนักดีในเรื่องสิทธิมนุษยชน ปฏิบัติหน้าที่ภายในกรอบของกฎหมาย
ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยด้วยความระมัดระวัง และมีความโปร่งใส
ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนกระบวนการ ภายใต้การมีส่วนร่วมของผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น
ผู้นำศาสนา และบุคคลในครอบครัวตามแนวทางสันติวิธี ตั้งแต่ขั้นตอนของการจับกุม
โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก
การเปิดโอกาสให้บุคคลในครอบครัวเข้าเยี่ยมได้ทุกวันตามห้วงเวลาที่กำหนด
โดยไม่เคยกีดกัน หรือขัดขวางตามที่ถูกกล่าวอ้างในระหว่างที่มีการซักถาม พร้อมทั้งจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ญาติ
เช่น ที่พัก (หากมีความต้องการ) มีกิจกรรมนันทนาการ
และการประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนา
การเปิดโอกาสให้เครือข่ายองค์กรต่างๆ
ทั้งองค์กรระหว่างประเทศ กาชาดสากล คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)
ทั้งใน และต่างประเทศ ตลอดจนสื่อมวลชน รวมทั้งมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
กลุ่มด้วยใจและเครือข่ายองค์กร สามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ควบคุมตัว
และซักถามในหน่วยทหารได้ตลอดเวลา โดยไม่เคยปิดกั้นแต่อย่างใด
ซึ่งทุกองค์กรต่างให้การยอมรับในการพยายามปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะสม
และวิธีการดำเนินการตามคำแนะนำ
ประเด็นการร้องเรียนจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ดีขึ้นโดยลำดับ
ชำแหละรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมาน
เมื่อผู้เขียนได้อ่านรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมานในพื้นที่
จชต. ของมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและกลุ่มด้วยใจ โดย น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ
น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ด้วยความเคารพ ด้วยใจที่เป็นกลางกลับพบว่าเป็นการ “ต้มคนอ่าน หลอกคนดู” นำเสนอข้อมูลแบบมั่วๆ
เพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่างมิอาจทราบได้
รายงานดังกล่าวมีการนำเสนออย่างเป็นทางการ
ครั้งล่าสุดคือวันที่ 10 ก.พ.59 แต่ข้อมูลต่างๆ ในรายงานทั้งหมดเป็นข้อมูลเก่าที่เคยดำเนินการแล้วเมื่อ
28 พ.ค.55 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย และการรายงานรูปแบบการซ้อมทรมานที่เหมือนๆ เดิม
อย่างไรก็ดี
เมื่อศึกษาเนื้อหาอย่างละเอียดพบว่า ส่วนใหญ่เป็นการนำข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี 2547 มาฉายซ้ำ
รูปแบบยังเป็นลักษณะเดิม คือการกล่าวแอบอ้างลอยๆ จากคำบอกเล่า เค้าเล่าว่าโดยขาดหลักฐานเชิงประจักษ์
และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้นก่อนที่จะนำมาเสนอต่อสาธารณชน
ในรายงานทั้ง
2 ครั้ง มีการระบุนอกจากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ยังมีข้อสังเกตในหลายประเด็นที่เป็นไปไม่ได้ หรือนางทั้งสองแค่มโนไปเอง เช่น
การข่มขืน การผ่าตัดนำอวัยวะภายในออก บังคับให้ทานสารเคมี การเผาไหม้
และประเด็นล่าสุดที่นางทั้งสองช่างกล้าอย่างหน้าด้านๆ
ชนิดสัตว์บางชนิดยังอาย คือการเสนอข้อมูลกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ “ให้ทหารพรานหญิงใช้นมปิดใบหน้าให้ผู้ต้องสงสัยขาดลมหายใจตาย” หรือประเด็นการทำร้ายร่างกาย เช่น ใช้ลำกล้องปืนกระแทกจนฟันกรามหัก
ศีรษะแตก เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงย่อมมีร่องรอย
หรือหลักฐานให้ปรากฏต่อแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ทั้งก่อน และภายหลังการควบคุมตัว
รวมทั้งปรากฏต่อญาติ และครอบครัวที่เข้าเยี่ยมได้ทุกวัน
ซึ่งเครือข่ายองค์กรเหล่านี้ต่างก็ทราบดีอยู่แล้ว
แต่นางทั้งสองยังหน้าด้านนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน
ดังนั้นจากพฤติกรรมของ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ในการเคลื่อนไหวตลอดเวลาที่ผ่านมา
ถือได้ว่า “เป็นการจงใจพยายามทำลายความน่าเชื่อถือในระบบอำนาจรัฐ
และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีสากล สร้างความเสื่อมเสียที่ไม่น่าให้อภัย”
จากการติดตามข่าวล่าสุด
ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้ให้ความสนใจต่อกรณีดังกล่าว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงของรายงานที่ถูกกล่าวอ้างอย่างเร่งด่วน
พร้อมทั้งพิสูจน์ความจริงการให้ปรากฏต่อสาธารณชนว่าเป็นอย่างไร?
มีมูลความจริงหรือไม่? หากเป็นความจริงที่มีการกล่าวอ้างให้ทำการลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่โดยทันที
พร้อมทั้งเอาผิดทางอาญาอย่างเด็ดขาด แต่หากไม่เป็นความจริง
หรือมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง นางทั้งสองและองค์กรเหล่านี้ก็จะต้องรับผิดชอบจากสิ่งที่ได้กระทำไป
นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เคยถูกกองทัพไทยแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญา
โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาททำให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา
ต้อง“เสื่อมเสียชื่อเสียง” เมื่อวันที่
20 พฤษภาคม 2557 จากกรณีที่นางสาวพรเพ็ญฯ
บิดเบือนข้อเท็จจริง และเรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัว
ซึ่งในภายหลังเรื่องกลับเงียบไป จากข้อมูลเชิงลึกทราบมาว่าหน่วยงานที่ฟ้องร้องยอมถอนแจ้งความไม่อยากรังแกผู้หญิง
ให้โอกาสกลับเนื้อกลับตัว แต่นางไม่เคยสำนึกกลับเคลื่อนไหวรุกหนัก
จ้องจังหวะและโอกาสในการขุดคุ้ย บิดเบือนข้อมูลมาโดยตลอด
แล้วอย่างนี้สมควรจะปล่อยให้ปากดีอยู่ต่อไปอีกหรือ?
องค์กรภาคประชาสังคมหลายองค์กรใน
จชต. ใช้เพศหญิงซึ่งเป็นเพศแม่ แต่ได้เปรียบในเชิงจิตวิทยา โดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่ไม่กล้าเตะจะเป็นข้อครหา
“รังแกผู้หญิง” แต่หากดูจากพฤติกรรมของทั้งสองนาง
ที่มุ่งกระทำความเสื่อมเสียมาสู่ประเทศชาติอยู่บ่อยๆ ไม่สมควรที่จะไว้หน้าอีกต่อไป
หลายองค์กรเคลื่อนไหวเรียกงบสนับสนุนโครงการจากต่างชาติจนร่ำรวย
ผู้นำองค์กรหลายคน ซื้อที่ดิน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาหลายสิบล้าน มีรถยนต์หรูขับ รูปแบบการจัดกิจกรรมมีการเชื้อเชิญคนใหญ่คนโตมาเป็นประธานเปิดงานยิ่งเป็นการดี
เพราะภาพดังกล่าวจะเป็นสิ่งยืนยันแนบรายงานในการแลกงบ
อยากจะเห็นมิติใหม่ในการจัดระเบียบองค์กรภาคประชาสังคมที่มีอยู่ยั๊วเยี๊ยะเต็มพื้นที่
จชต.จัดการกับองค์กรที่บิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายประเทศชาติ เป็นภัยต่อความมั่นคง
ความสงบเรียบร้อยของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยให้กระทำได้ตามใจชอบ
รัฐต้องเชือดไก่ให้ลิงดู มิเช่นนั้นองค์กรเหล่านี้ยังเหิมเกริมมุ่งทำลายประเทศชาตินำความเสื่อมเสียมาสู่มาตุภูมิอยู่ต่อไป
ในส่วนสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสาร
โปรดระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง
และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศ โดยขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน ก่อนนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างสมดุล
เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังสองนางที่กำลังยืมมือสื่อมวลชนทำการเคลื่อนไหวเรียกงบอยู่ในปัจจุบันอยู่คือ
น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ และ น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ....
---------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น