"แบดิง โกตาบารู"
ท่ามกลางสถานการณ์ไฟใต้ความขัดแย้งที่เกิดจากการคิดต่างนำไปสู่ความรุนแรง
ตลอดระยะเวลา13
ปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ รัฐบาลแก้ปัญหาด้วยการเลี่ยงใช้ความรุนแรง..มุ่งแสวงหาทางออกด้วย"แนวทางสันติวิธี"ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย
การเปิดเวทีการพูดคุยด้วยการเชิญกลุ่มคิดต่างจากรัฐกลุ่มต่างๆ
มาถกปัญหาเพื่อหาทางออกให้กับประเทศซึ่งที่ผ่านมานับว่าเป็นสิ่งที่ดีกับการเปิดพื้นที่ในการพูดคุยแทนการใช้กำลัง
ซึ่งในระยะแรกจะเรียก"การพูดคุยเพื่อสันติภาพ"และในตอนหลังมีการเปลี่ยนมาเป็น"การพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้"ก็ตามที
ตลอดระยะเวลา 13
ปีความรุนแรงชายแดนใต้ มีหนักบ้าง เบาบ้างตามสถานการณ์ กลุ่มขบวนการก่อเหตุเพื่อแสดงศักยภาพ
ส่งผลให้หลายองค์กร ทั้งหน่วยงานภาครัฐเอง NGOs นักวิชาการได้จัดเวทีระดมสมอง
ระดมความคิด รวบรวมปัญหาทำการศึกษาวิจัย นำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปมความขัดแย้ง
หลายองค์กรมีความจริงใจร่วมแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกันท่ามกลางความขัดแย้ง กลับมีองค์กรบางองค์กรฉกฉวยโอกาสจัดเวทีเสวนาโดยใช้ชื่อที่สื่อเพื่อ"สันติภาพ"เพื่อสันติสุขของผู้คนส่วนใหญ่ในพื้นที่บังหน้า
เลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ แต่เนื้อหาในเวทีเสวนากลับมีการปลุกเร้าปลุกระดม"การกำหนดใจตนเอง"
(RSD) เพื่อให้มีการลงประชามติแยกตัวเป็น"เอกราช"จากรัฐบาลไทย
หากเรามาดูคำว่า"สันติภาพ"และ"เอกราช"ความหมายของคำทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...
ในขณะที่ "สันติภาพ"
ใช้อธิบายการยุติแห่งความขัดแย้งไม่ใช้ความรุนแรง
สันติภาพอาจหมายถึงสถานะแห่งความเงียบหรือความสุข อาจจะใช้อธิบายความสัมพันธ์ของผู้คนที่มีความเคารพ
ความยุติธรรมและความหวังดี ความเข้าใจและคำจำกัดความของคำว่า "สันติภาพ" จะแปรผันไปตามแต่ภูมิภาค
วัฒนธรรม และศาสนา
ส่วน"เอกราช"คือ
ความเป็น"อิสระ"ในการปกครองตนเองของชาติหรือรัฐ มีอำนาจอธิปไตยไม่ถูกกดขี่ควบคุมทางการเมือง
หรือเป็นอาณานิคมจากรัฐบาลภายนอก หรือพูดง่ายๆ คือ "มีอิสรภาพ"เป็นใหญ่...ไม่ขึ้นตรงต่อใคร…
เพราะฉะนั้นผู้ที่กระสันอยากได้อำนาจทั้งหลายแหล่
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ NGOs หรือกลุ่มองค์กรอีแอบสายโจรใต้ทั้งหลาย
แกล้งตีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ทำทีต้องการ"สันติภาพ สันติสุข"แต่พฤติกรรมสวนทางกับความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องการ"เอกราช"จนตัวสั่น
อย่างเช่นล่าสุดกับกระแสข่าวการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช
ของชาวคาตาลันในแคว้นกาตาลุญญาของสเปนเมื่อวันที่
1 ต.ค.60 และข่าวชาวบราซิลใน 3 รัฐทางใต้ของประเทศร่วมลงคะแนนเสียงประชามติแบ่งแยกประเทศอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่
7 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักวิชาการ NGOs กลุ่มองค์กรแนวร่วมในพื้นที่
จขต.ของไทย ทำการขยายผลปลุกกระแสสร้างการรับรู้นำประเด็นดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ทำการชี้นำปัญหาใน
จชต.เป็นปัญหาความขัดแย้งที่มีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม
ระหว่างรัฐบาลไทย กับกลุ่มขบวนการ ซึ่งใช้ความรุนแรงก่อความไม่สงบในพื้นที่มานาน นำไปสู่การสู้รบด้วยการใช้กำลังตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การแยกตนเป็น"เอกราช"โดยมีกลุ่ม BRN เป็นหลัก
ที่ผ่านมาเรามักจะได้รับคำตอบแบบวิชาการ
แบบทฤษฎี และในแง่ของกฎหมายจากผู้หลักผู้ใหญ่ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในทางกฎหมายและในทางทฤษฎีไม่สามารถยอมรับได้
แต่หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองสาธารณะไม่ใช่การเมืองในกรอบกฎหมายเพราะฉะนั้นหากไม่ระมัดระวัง!!
ด้วยการสร้างตระหนักรู้และจับตาพฤติกรรมนักวิชาการ NGOs และกลุ่มองค์กรปีกการเมืองโจรใต้
ปล่อยให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ปลุกระดมและโฆษณาชวนเชื่อตามอำเภอใจ ในไม่ช้าอาจจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับสเปนและบราซิล...
แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าการลงประชามติในผืนแผ่นดินไทยไม่สามารถทำได้
แกนนำขบวนการและปีกการเมืองสิ้นหวัง เนื่องจากรากเหง้าปัญหาแคว้นกาตาลุญญาของสเปนกับปัญหาในพื้นที่
จชต.แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฝากไปยัง NGOs องค์กรภาคประชาสังคมล้มเลิกความคิดดังกล่าว
เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชจากผืนแผ่นดินไทย..จะมีแต่กลุ่มคนส่วนน้อยที่เห็นผลประโยชน์ส่วนตนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้องการ...
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น