11/26/2562

"นักการเมือง" กับพฤติกรรมที่ชัดเจน ในการสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงภาคใต้..

เมื่อก่อนนั้นชาวบ้านในชายแดนใต้ทุกเชื้อชาติศาสนา อยู่ด้วยกันด้วยความรักความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แม้จะแตกต่างแต่ก็ไม่เคยมีความแตกแยก.. ต่อมาในยุคที่สิ้นสุดการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ ด้วยการยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธ ออกจากป่าสู่เมืองกลับเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตามนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้น..คนจากพรรคคอมมิวนิสต์หลายคนได้เข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว..
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามในการสร้างเสียหายแก่ประเทศไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยเฉพาะความพยายามสร้างความแตกแยกในด้านเชื้อชาติศาสนา.. เพราะครั้งหนึ่งในวันที่นักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ ได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญนั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระเบียบวิธีปฏิบัติในระบบราชการมากมายหลายประการ..รวมถึงการเปิดโอกาสให้มีการก่อตั้งโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม (ปอเนาะ) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐตามจำนวนนักเรียน (เป็นเงินอุดหนุนรายหัวต่อหัวต่อคนเป็นรายปี) และอื่นๆ ที่ยังคงดำเนินการมาจนถึงวันนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันในสร้างโรงเรียนปอเนาะขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อย่างมากมายเรื่อยมาจนถึงวันนี้...
โดยมีความพยายามสร้างความเป็นตัวตนให้เป็นคนมลายูให้เป็นคนมุสลิม ด้วยการกำหนดให้มีการแต่งกายในโรงเรียนในรูปแบบของเครื่องแบบในสถานศึกษาเด็กผู้ชายต้องใส่หมวกกาปีเยาะ เด็กผู้หญิงต้องคลุมผ้าฮิญาบ ตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งที่ผ่านมาในอดีตนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นมาและแสดงออกด้วยความสมัครใจโดยทั่วไปมักเริ่มปฏิบัติกันเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว.. แต่วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว..
นักการเมืองเหล่านี้สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลในสมัยนั้น และดำเนินการประสบความสำเร็จจนทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงมาจนถึงวันนี้..เมื่อไม่นานมานี้ คนกลุ่มนี้ ก็แสดงบทบาทมีความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 เพื่อให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงสามารถแบ่งแยกรูปแบบการปกครองจากรัฐชาติรัฐเดียว ให้กลายเป็นหลายรัฐได้ ด้วยมุ่งหวังที่จะกลับมามีอำนาจในการปกครองพื้นที่ในฐานะเจ้าผู้ครองนครในอดีตที่มันหมดสิ้นจากแผ่นดินไทยไปหลายร้อยปีแล้ว..
ข่าวล่าสุดกับความพยายามในการต่อต้านคัดค้านการลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ ในระบบยืนยันตัวตน ที่ได้ดำเนินการในพื้นที่ชายแดนใต้.. ซึ่งคนทั่วไปใครๆ ก็รู้ว่าการก่อเหตุร้ายรายวัน ด้วยการลอบวางระเบิดทำร้ายผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่จะใช้โทรศัพท์ในการก่อเหตุและสั่งการ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงฯ ได้พยายามหาวิธีการอุดช่องว่างช่องโหว่ต่างๆ จนนำมาสู่ความร่วมมือกับ กสทช. ในการลงทะเบียนซิมฯ ดังกล่าว.. แต่สุดท้ายแล้ว.. ตัวตน.. ของคนที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน.. ก็ยังคงมีความพยายามต่อต้านคัดค้านการดำเนินการต่างๆ ของภาครัฐ..สังคมช่วยดูกันเอาเองเถอะ.. ว่านี่คืออะไร.. สนับสนุนและอยู่ข้างกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้..ชัดเจนแบบนี้.. ประชาชนคนบริสุทธิ์อย่างเราท่านจะยอมกันได้หรือกับพฤติกรรมของนักการเมืองเหล่านี้..
...............................................

11/11/2562

อดีตนักสิทธฯ กลุ่มPerMAS หัวหน้าพรรคประชาชาติ "คนละบ้าน แต่มุ้งเดียวกัน"


      จากเหตุการณ์สลด คนร้ายไม่ทราบจำนวน  ยิงใส่จุดตรวจ ชรบ. ม.5 ต.ลำพะยา และจุดตรวจ อส.ชุด ชคต. บ้านทุ่งสะเดา ม.5 ต.ลำพะยา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 15 ราย ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 4 ราย เมื่อ 5 พ.ย.2562 เวลา 22.15 น.  น่าเชื่อว่า เป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ จชต. หลายฝ่ายประณามเหตุรุนแรงครั้งนี้ และกดดันกลุ่มการเมือง ภาคประชาสังคมให้ออกมาแสดงจุดยืนหรือร่วมประณามกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จนปรากฏการออกมาแถลงการณ์ดังนี้

       คุณอังคณา นีละไพจิตร อดีตนักสิทธิมนุษยชน  เหตุการณ์ยิงชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)ทำให้มีผู้เสียชีวิต15 ศพและบาดเจ็บอีก 4 คน ที่ลำพะยาเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจอย่างยิ่งต่อคนทั่วประเทศ ชรบ. อรบ. และ อส. ถือเป็นกองกำลังติดอาวุธฝ่ายพลเรือน ที่จัดตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย โดยคาดหวังให้ประชาชนปกป้องตัวเอง ทำหน้าที่คุ้มครองหมู่บ้าน รวมถึงเป็นกำลังเสริมในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ต้องยอมรับว่ากองกำลังพลเรือนเหล่านี้เป็นอาสาสมัคร ได้รับการฝึกฝนน้อยทั้งเรื่องการใช้อาวุธ  และขาดอุปกรณ์ต่างๆในการปฏิบัติหน้าที่ เรื่องนี้ทุกฝ่ายคงต้องถามตัวเองว่า #นอกจากการออกมาประณามผู้ก่อเหตุ และสร้าง #FakeNews #เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อนักปกป้องสิทธิการสร้าง #IOเพื่อสร้างความเกลียดชังนักสิทธิมนุษยชน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการโยนความผิดให้คนทำงานสิทธิ ทั้งที่ #รัฐเองมีหน้าที่ในการปกป้องสิทธิในชีวิตของบุคคลทุกคน  (รัฐดูแลประชาชนทั้งประเทศ คุณอังคณา ดูแลใคร )

         กลุ่มนักศึกษา PerMAS  ขอเรียกร้องให้การเมืองนำการทหารและทบทวนการติดอาวุธให้พลเรือน ตลอดระยะเวลา 15ปี ตราบใดที่แนวนโยบายเป็นไปตามแนวคิดความมั่นคง การทหารนำการเมืองนั้นไม่สามารถแสวงหาทางออกของความขัดแย้งได้ ทั้งยังปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน และจำเป็นที่รัฐไทยต้องทบทวนแนวนโยบายและเปิดพื้นที่ทางการเมืองโดยคำนึงถึงการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชน ในการนี้ทาง PerMAS จึงขอเสนอข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

           1.รัฐไทยต้องทบทวนการติดอาวุธให้พลเรือน การพยายามดึงพลเรือนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางอาวุธ และขอให้คู่ขัดแย้งหลักคำนึงถึงหลักกฎหมายมนุษยธรรมสากล (International Humanitarian Law)

          2.ให้รัฐไทยและคู่ขัดแย้งหลักทบทวนปฏิบัติการที่อาจเป็นเงื่อนไขขยายเวลาการทำสงคราม และให้กลับสู่การแสวงหาทางออกของความขัดแย้งด้วยวิธีการทางการเมือง เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและเพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองอย่างเสรี

         3.ขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆร่วมกันผลักดันให้เกิดการเจรจาเป็นวาระแห่งชาติ ที่อยู่บนหลักการสากลและเคารพเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง (นักศึกษากลุ่มนี้ พยายามจะแบ่งแยกดินแดนไทยตลอดเวลาโดยใช้คำว่า รัฐไทย  ที่จริงควรจะเรียกว่าประเทศไทย )

        วันมูหะมัดนอร์   มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุจงใจทำลายกระบวนการสันติสุข ซึ่งรัฐบาลเองต้องเดินหน้าต่อไปเรื่องการเจรจาสันติภาพและความสงบให้เกิดขึ้น  แต่ ยืนยันว่ากฎหมายความมั่นคง เช่น กฎอัยการศึกหรือ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควร ได้รับการทบทวนพิจารณาค่อยๆ ยกเลิกออกไปอย่างมีขั้นตอน และกำลังที่เสริมก็ควรเป็นกำลังในพื้นที่ (ขึ้นต้นดูดีลงท้ายก็ให้ยกเลิกกฎหมายความมั่นคงซึ่งกฎหมาย 3 ฉบับนี้มีไว้ปราบโจร ไม่ใช่หรือ)

         นี่เป็นคำแถลงการณ์ ของคนที่อยู่คนละบ้าน  แต่มุ้งเดียวกัน  อยู่กันคนละที่  ทำหน้าที่คนละอย่าง  แต่คำพูดที่ออกสื่อ เหมือนกันยังกับแพะชนแกะ เหมือนเป็นพวกเดียวกัน   พยายามยกสถานการณ์ในพื้นที่ให้ดูเป็นสงครามทั้งๆ ที่เป็นแค่เหตุรุนแรงและกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่ การกล่าวอ้าง กำลังประชาชนที่เป็นจิตอาสา รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านให้กลายเป็นกองกำลังติดอาวุธ พยายามเชื่อมโยงกฎหมายมนุษยธรรมสากล (IHL)เข้าใช้ในพื้นที่ จชต.และจะขอยกเลิกกฎหมายความมั่งคง เพื่อให้โจรใต้ก่อเหตุสะดวกโยธิน  อยากจะบอกว่า แผ่นนี้ดินเป็นของประชาชนคนไทย จะมาแบ่งแยกไม่ได้  ประชาชนทั้งประเทศไม่มีวันยอม  คนไทยพุทธ ไทยมุสลิม ในพื้นที่ ส่วนใหญ่ ประกาศไปแล้วว่า ไม่ต้องการยกเลิกกฎหมายความมั่นคงและต้องการให้คงกำลังทหารไว้ เพื่อดูแลพื้นที่ให้ความอบอุ่น ปลอดภัยกับพี่น้องต่อไป จำไว้นะทั้ง ๓ กลุ่ม ที่อยู่มุ้งเดียว


*******************************


10/25/2562

Hak asasi manusia di atas hujung hulu kapak.


          Menguatkuasakan undang-undang keselamatan di wilayah sempadan selatan Thailand itu. Maka orang awam yang tidak bersalah yang tidak terlibat dengan keganasan itu. Maka tidak menterjejaskan oleh undang-undang keselamatan akan mereka itu di atas kehidupan sehariannya. Mereka terus berkehidupan dengan cara yang normal seperti orang-orang di kawasan-kawasan yang lain di Thailand kerana mereka itu mempunyai kuasa yang sah dan mempunyai hak asasi manusia mengikut undang-undang. Adapun kumpulan ganas. Maka akan dibatasi akan pergerakan mereka itu yang menjadikannya lebih sukar atas melakukan pelbagai kejahatan.

          Daripada diperhatikan di atas usaha oleh kumpulan organisasi untuk tuntutan akan "Hak asasi manusia" di wilayah sempadan selatan Thailand itu. Yang lalunya, Bertujuan oleh mereka itu untuk membuat tuntutan untuk pesalah dan mereka yang terlibat dengan kesalahan yang mati dengan akibat berjuang akan pegawai dan mereka yang ditangkapkan dan suspek yang dijemputkan untuk memberikan bukti. Sebaliknya, Tidak pernah membantukan oleh kumpulan-kumpulan yang menyerukan hak asasi manusia ini untuk pegawai yang cedera atau yang terbunuh daripada tugas mereka itu dan tidak pernah membantukan oleh mereka itu akan orang yang tidak bersalah yang menjadi mangsa, terutamanya orang Buddha Thailand.


……………………………..……….

สิทธิมนุษยชนบนปลายด้ามขวาน (ภาษามลายู)


10/22/2562

สิทธิมนุษยชนที่ชอบธรรม กับ การเลือกปฏิบัติ


สิทธิมนุษยชนที่ชอบธรรมกับองค์กรสิทธิฯ ที่ไร้เงาและเงียบงันในการทำหน้าที่ปกป้องชาวบ้าน..

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อน มีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน  แต่กลับกลายเป็นว่าได้สร้างงานสร้างอาชีพใหม่ให้กับคนบางกลุ่ม ได้มีการจัดตั้งองค์กร NGOs ทั้งที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนมากกว่า 500 องค์กรขึ้นมา เพื่อดึงเงินทุนสนับสนุนจากต่างชาติ แต่แทบทุกครั้ง ที่มีการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กร  ได้สร้างปัญหาและขัดขวางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาของชาติอย่างชัดเจน  มีพฤติกรรมอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในพื้นที่  ไม่ว่าจะเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต  กลุ่มองค์กรสิทธิมนุษยชนเหล่านี้กลับนิ่งเฉยธุระไม่ใช่  ในขณะที่ฝ่ายบ้านเมือง/เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย  ได้ทำงานเพื่อความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามจับกุมสมาชิกแนวร่วมขบวนการที่ทำการก่อเหตุ หรือเมื่อเกิดการปะทะจนมีความสูญเสีย   องค์กรที่อ้างตนเป็นนักสิทธิมนุษยชนเหล่านี้จะต้องออกมาแสดงบทบาทมีการเคลื่อนไหวในการต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่ร่ำไป  แสดงให้เห็นอย่างชัดแนวความคิดของกลุ่มองค์กรได้อย่างชัดเจนว่า มุ่งปกป้องสิทธิมนุษยชนให้แก่กลุ่มโจรผู้ที่ทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์  แต่เมื่อใดที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ตกเป็นเหยื่อ หรือทางฝ่ายเจ้าหน้าที่เป็นผู้สูญเสีย  กลุ่มองค์กรเหล่านี้ก็จะเงียบเฉย ไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอันได้แก่ สิทธิ-เสรีภาพ ที่ทุกคนได้รับอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะมีความแตกต่างกันทางด้านชาติกําเนิด เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ภาษา วิถีชีวิต เพศ รูปลักษณ์ภายนอก อายุ และสติปัญญา หรือมีความไม่เท่าเทียมกันในฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมมากน้อยเพียงใดก็ตาม  เป็นสิ่งที่องค์กรสิทธิ์ทั้งหลายจะต้องตระหนักให้ความสำคัญไม่ใช่หรือ..  ที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด   ทุกคนต้องได้รับ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ..  การเลือกปฏิบัติจากผู้ที่ทำหน้าที่และอ้างตนว่าเป็น นักสิทธิ์มันถูกต้องเหมาะสมแล้วหรือ..


การอาศัยสถานการณ์เพื่อทำการเคลื่อนไหว (หาประโยชน์ให้ตัวเอง)  และใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อลดความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ  โดยพยายามชี้นำให้เห็นถึงความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างผลงานและรายงานไปยังองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์  โดยไม่สนใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองประเทศชาติและพี่น้องประชาชน  เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์จากผู้ให้การสนับสนุน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกลุ่มการเมือง โดยใช้ชีวิตประชาชนเป็นเดิมพัน   สิบหาปีที่ผ่านมาคงตอบคำถามในใจประชาชนได้แล้วว่า เรามีกลุ่มองค์กรสิทธิ์ไว้ทำไม..! และเพื่ออะไร..?! ทำไมองค์กรสิทธิ์จึงไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ..  หรือว่า การเลือกปฏิบัติ และออกหน้าแทนกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้น คือจุดยืนขององค์กรฯ ใช่หรือไม่….

..................................................

10/21/2562

สิทธิมนุษยชนบนปลายด้ามขวาน


เหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  แต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มีสถิติเหตุรุนแรงทุกประเภททั้ง  ยิง  เผา  ระเบิด  โจมตีเจ้าหน้าที่ และอื่นๆ  เกิดขึ้นรวม 10,076 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 4,054 ราย บาดเจ็บอีกหมื่นกว่าราย มาถึงวันนี้แม้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงต่างๆ จะลดลงและดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้สงบจบสิ้นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะยังคงมีความพยายามจุดกระแส สร้างความสับสนของกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่ม ผสมโรงด้วยกลุ่มการเมืองทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น ที่พยายามหยิบยกคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการสร้างกระแสอยู่ในเวลานี้

สิทธิมนุษยชน แยกคำเป็น 2 คำ คือคำว่า  “สิทธิ” หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมตามกฎหมาย กับคำว่า “มนุษยชน” หมายถึง บุคคลทั่วไป เมื่อรวมกันจึงหมายถึง อำนาจอันชอบธรรมตามกฎหมายของบุคคลทั่วไป  เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย และได้รับการตอบสนองตามความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิตตามกฎหมายของแต่ละประเทศ

การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั่วไปซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุฯ จะไม่ได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวันแต่ประการใด ยังคงใช้วิถีชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย เพราะ มีอำนาจอันชอบธรรม/มีสิทธิมนุษยชนตามกฎหมาย  ในขณะที่กลุ่มผู้ก่อเหตุฯ จะถูกจำกัดความเคลื่อนไหว ทำให้โอกาสในการก่อเหตุร้ายทำได้ยากขึ้น  

เป็นที่น่าสังเกตว่า ความพยายามของกลุ่มองค์กรฯ ที่เรียกร้อง “สิทธิมนุษยชน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมานั้น  มุ่งที่จะเรียกร้องให้แก่ผู้ที่กระทำความผิดและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อเหตุร้าย ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่  ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุม และผู้ต้องสงสัยที่ถูกเชิญตัวเพื่อให้ปากคำ แทบทั้งสิ้น  ในทางตรงกันข้าม กลุ่มองค์กรฯ ที่ออกมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ ไม่เคยได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือหรือเรียกร้องสิทธิใดใดให้กับเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อโดยเฉพาะพี่น้องไทยพุทธ บ้างเลย

คนส่วนใหญ่ในสังคมได้มองเห็นและมีความเคลือบแคลงสงสัยแล้วว่า.. กลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้อง “สิทธิมนุษยชน” และเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เขาต้องการอะไรกันแน่..  ต้องการช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อเหตุฯ ให้ไม่สามารถก่อเหตุรุนแรงได้อย่างเสรี.. หรือว่าทำเพื่อให้กลุ่มตัวเองได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มองค์กรฯ ที่มีแนวคิดในการแทรกแซงก้าวกายกิจการภายในและความมั่นคงของประเทศไทย.. ใช่หรือไม่..  


............................

10/02/2562

“ก้าวผิดชีวิตเปลี่ยน” วงการนี้เข้าง่าย “อยู่ยาก”


จากเหตุการณ์ จนท.ฝ่ายความมั่นคง ทหารชุดจรยุทธ์ ร้อย ทพ.4809 ปะทะกลุ่มโจรใต้ เมื่อช่วงเย็นของวันที่   1 ตุลาคม 2562 โดย จนท.สืบทราบจากแหล่งข่าวในพื้นที่ และได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแส ว่ามีกองกำลังติดอาวุธกลุ่มของ นายตอเย็บ แมทารง เคลื่อนไหวบนเทือกเขาหลังหมู่บ้านสือแด หมู่ 7 ต.สากอ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส จึงจัด จนท.ชุดจรยุทธ์ ร้อย ทพ.4809 จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ นำกำลังขึ้นพิสูจน์ทราบ

ในระหว่างที่ จนท.ทหารกำลังเดินลาดตระเวนในสวนยางพาราของชาวบ้านที่ปลูกไว้ที่เชิงเขา ซึ่งเป็นทางขึ้นน้ำตกสือแดอยู่นั้น จนท.ทหารได้พบกับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มนายตอเย็บ ซึ่งมีกำลังจำนวน 5-6 คน ที่กำลังเดินลงจากเทือกเขา ซึ่งกองกำลังของนายตอเย็บก็เห็น จนท.เช่นกัน จึงเปิดฉากยิงใส่ จนท. ทำให้ทั้งสองฝ่ายยิงปะทะกันนานกว่า 10 นาที จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้ใช้ความชำนาญพื้นที่ และใช้อาวุธปืนยิงเบิกทางหลบหนีไปเข้าเขตรอยต่อบ้านดอเฮะ หมู่ 3 ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส โดยที่สองฝ่ายไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

นายตอเย็บ แมทารง แกนนำที่เคลื่อนไหวก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ เขตรอยต่อของพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อ.ระแงะ อ.จะแนะ อ.เจาะไอร้อง และ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคงติดตัวอยู่หลายคดีรวมถึงคดีซุ่มยิง อส.สุไหงปาดี ขณะขี่รถจักรยานยนต์ปฏิบัติหน้าที่ รปภ.ครู เสียชีวิต 2 นาย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561

นายตอเย็บ แมทารง ยังเป็นแกนนำปลุกระดมแนวร่วมในพื้นที่ โดยใช้วิธีบิดเบือนหลักคำสอนศาสนา กลายเป็นกลุ่มแนวร่วมรุ่นใหม่ที่เป็น “เยาวชนชาย” จนชาวบ้านในพื้นที่เอือมระอาต่อพฤติกรรมดังกล่าว      ทั้งการก่อเหตุแบบสุดโต่ง ลอบทำร้าย จนท. สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมไปถึงหลอกล่อลูกหลานเข้าสู่ขบวนการ

การปฏิบัติการพิสูจน์ทราบของ จนท.ในครั้งนี้ แสดงให้เห็นประสิทธิภาพงานด้านการข่าวของฝ่ายความมั่นคง และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ จนท. ในการแจ้งเบาะแสความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วม รวมทั้งการจัดกำลังจรยุทธ์เข้ากดดัน เพื่อจำกัดเสรีผู้ก่อเหตุรุนแรงในทุกพื้นที่

ฝากถึงแนวร่วมที่ยังเคลื่อนไหวและหลบซ่อนตัวอยู่ในขณะนี้ ยังมีเวลากลับตัวกลับใจ หันหลังให้กับขบวนการ กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข อยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รัก ดีกว่าใช้ชีวิตเร่ร่อน อดมื้อกินมื้อ แถมตกเป็นเครื่องมือของแกนนำที่เสวยสุขอยู่ต่างประเทศ บทเรียนที่ผ่านมาก็มีให้เห็นเยอะแยะ ชีวิตเมื่อเข้าสู่วงการนี้ นอกจากไร้ที่ซุกหัวนอนแล้ว ไม่ตายก็คุก!!

.........................................

9/23/2562

ทำไมต้องจัดละหมาดฮายัต?


จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสืบเนื่องมาจากการควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในในพื้นที่ และได้ให้การซัดทอดว่าใช้โรงเรียนสอนศาสนาดังกล่าวเป็นที่หลบซ่อนตัวในช่วง 3-4 เดือน (อ่านข่าวเพิ่มเติม https://www.southernreports.org/2019/09/15/13615-2/)

ล่าสุดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาดังกล่าว ทำหนังสือเกณฑ์คนเข้าร่วมละหมาดฮายัตขอดุอาอ์จากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้เกิดความปลอดภัยจากฟิตนะฮ์ทั้งหลาย โดยให้เหตุผลว่า การตรวจค้นโรงเรียนที่ผ่านมา ไม่พบผู้ต้องสงสัยหรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาดังกล่าว ทำให้ส่งผลกระทบต่อโรงเรียนในด้านภาพลักษณ์ ร่วมไปถึงสภาพจิตใจของคณะครู บุคลากร นักเรียนตลอดจนผู้ปกครองที่อยู่ทางบ้าน ในวันพุธที่ 25 กันยายน 2562 เวลา 10.00 น. ณ โรงเรียนดังกล่าว

การจัดละหมาดฮายัตในครั้งนี้ เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราว หรือมีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือไม่? การดำเนินการตรวจค้นของ จนท.เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมาย ในเมื่อผู้ต้องหาให้การตรงกันและยอมรับสารภาพว่า พวกตนทั้ง 4 คน ได้อาศัยหลบซ่อนตัวในโรงเรียนดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3-4 เดือน จึงนำไปสู่การตรวจค้น โดยผู้ต้องหาได้ชี้ห้องพักในโรงเรียน ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนได้ถูกต้องทั้ง 2 คน

มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า อาจมีการช่วยเหลือจากบุคคลภายในโรงเรียนเอง โดยทางโรงเรียนไม่ทราบ แต่ระยะเวลาถึง 3-4 เดือน ทางโรงเรียนจะ ไม่รู้ ไม่เห็น ก็คงปฏิเสธได้ยาก หรือบุคคลภายนอกก็สามารถเข้าออกโรงเรียนได้ตามอำเภอใจ ก็คงเป็นอะไรที่แปลก เหตุการณ์นี้เป็นที่สงสัยเพราะท่าทีของทางโรงเรียน ประกอบกับในอดีตก็มีเหตุการณ์ซ้ำๆ ที่โรงเรียนสอนศาสนาบางแห่งให้ที่พักพิงแก่กลุ่มแนวร่วม เป็นที่ซ่องสุ่มอาวุธ เพื่อก่อเหตุในพื้นที่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา 

การแสดงท่าทีชิงความได้เปรียบ โดยการจัดละหมาดฮายัตของทางโรงเรียน เพื่อขอความเห็นอกเห็นใจ และปลุกอารมณ์ร่วมของคนในพื้นที่ ทั้งๆที่คดีก็ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ ดูเหมือนว่าจะ กินปูนร้อนท้อง แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน คนนอกดูยังไงก็จับพิรุธได้ ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานให้เห็นตำตา หรือจับได้คาหนังคาเขาก็ตาม แนะนำให้ทางโรงเรียนเชิญชวนละหมาดฮายัต เพื่อไม่ให้มีผู้มีพฤติกรรมเป็นอาชญากรเพียงแค่ไม่กี่คน เข้ามาพักพิงอาศัย ทำให้โรงเรียนเดือดร้อนวุ่นวาย ยังจะเข้าท่าเข้าทางมากกว่าเกณฑ์คนมาละหมาดกดดัน จนท. สะอีก

.........................................

9/17/2562

โจรใต้ใช้โรงเรียนสอนศาสนาเป็นที่หลบซ่อนตัว



          โรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอใน จ.สงขลา กลับมาอื้อฉาวอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ตกเป็นข่าวมีการทุจริต เบิกเงินรายหัวนักเรียนซ้ำซ้อน อมเงินค่าตอบแทนครู เมื่อทำการสาวลึกพบมีความเชื่อมโยงกับขบวนการโจรใต้สนับสนุนในการก่อเหตุ จนกระทั่งมีการปูพรหมตรวจสอบโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาทั้งระบบพบมีความผิดเข้าข่ายทุจริตหลายร้อยโรง

          กรณีเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา สืบเนื่องมาจากการควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุในชายแดนใต้ และได้ให้การซัดทอดว่าใช้โรงเรียนสอนศาสนาดังกล่าวเป็นที่หลบซ่อนตัวในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา

          โจรใต้ที่ถูกควบคุมตัวได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ว่าเข้ามาหลบซ่อนตัวในพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ได้ติดตามหาข่าวจนกระทั่งพบเป้าหมายใช้รถยนต์ฮอนด้า ซีวิค สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน กฉ 9154 สงขลา ขับมาบนถนนสายเอเชีย และขับไปจอดที่ร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา จึง เข้าตรวจค้น แต่คนในรถยนต์ จำนวน 4 คน ไหวตัววิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่จับกุมได้ 2 คน

          สำหรับผู้ที่ถูกจับกุมทราบชื่อคือ นายเดะแว อาแว เป็นผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบยิงสำนักสงฆ์ชะเมา อ.โคกโพธิ์ จ.เทพา และนายสาการียา อาแวลาเตะ มีพฤติกรรมต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าใน อ.ควนเนียง อ.บางกล่ำ จ.สงขลา เมื่อปลายปี 2561

          สำหรับผู้ที่วิ่งหนีการจับกุมคือ นายอับดุลเลาะ บาเฮง และ นายฮาฟิส โต๊ะแวมะ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ในพื้นที่หรือไม่ ซึ่งในเบื้องต้นพบว่า บุคคลทั้ง 2 คนที่หลบหนีไป เป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการของกลุ่มอาร์เคเค มีหมายจับ พ.ร.ก.ติดตัวอยู่หลายหมายด้วยกัน

          จากการตรวจสอบรถยนต์ที่ใช้เป็นพาหนะ พบกระสุนปืนขนาด .5.56 มม.จำนวน 90 นัด อุปกรณ์ที่ใช้ดำรงชีพในป่า เสื้อผ้า โทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ รวม 44 รายการ จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน โดยผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้ง 2 ได้ปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าของอุปกรณ์ทั้งหมดภายในรถยนต์ และอ้างว่าเป็นของเพื่อนทั้ง 2 คนที่หลบหนีไป

          เป็นไปตามคาดคราวใดที่โจรใต้เหล่านี้ถูกจับกุมจะปฏิเสธ ไม่เคยก่อเหตุ ไม่เคยยิง เป็นแค่คนดูต้นทาง ผู้ชี้เป้า เช่นเดียวกับหลักฐานภายในรถอ้างเป็นของผู้ที่หลบหนี จากการสอบสวนผู้ถูกควบคุมตัวทั้ง 2 ราย ให้การตรงกันว่า พวกตนทั้ง 4 คน ได้อาศัยอยู่ในโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็นเวลา 3-4 เดือนแล้ว

          ต่อมาเมื่อ เวลา 21.00 น. ตามหมายค้นของศาลจังหวัดนาทวี เจ้าหน้าที่ได้นำตัว นายเดะแว อาแว และ นายซาการียา  อาแวปูเต๊ะ เข้าชี้ห้องพักในโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิสงขลา ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งใช้เป็นที่หลบซ่อนพักพิง ทำการเก็บดีเอ็นเอและหลักฐานอื่นๆ เพื่อสืบสวนสอบสวนถึงผู้เกี่ยวข้องต่อไป

          ในส่วนของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ซึ่งเป็นผู้ให้ที่พักพิง ในเบื้องต้น ยังไม่ได้แจ้งข้อหาการให้ที่พักพิงแต่อย่างใด ซึ่งหากการสอบสวนพบรู้เห็นกับการใช้โรงเรียนเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของโจรใต้ซึ่งมีหมาย ป.วิอาญา เป็นผู้ให้การสนับสนุน ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะได้รับโทษในฐานให้ที่พักพิง ซึ่งได้กำหนดอัตราโทษสูงสุดให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 40,000 บาทแล้ว ยังอาจได้รับโทษฐานมีส่วนร่วมหรือการสนับสนุนการกระทำความผิด ซึ่งมีโทษที่สูงขึ้นอีกด้วย

          การใช้โรงเรียนสอนศาสนาเป็นที่หลบซ่อนตัว ซุกซ่อนอาวุธ หรือแม้กระทั่งผลิตระเบิดมีข่าวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสิ่งยืนยันชัดเจนกลุ่มโจรใต้ 4 คน หลบซ่อนตัวอยู่ในโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ 3-4 เดือน เป็นไปได้อย่างไร? คณะผู้บริหารไม่เคยระแคะระคายบ้างหรือ? ที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาอาศัย

          การเข้าทำการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา หรือปอเนาะ มีกลุ่ม NGOs และกลุ่มนักศึกษาเคลื่อนไหวกล่าวหาเจ้าหน้าที่ละเมิดคุกคามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ รังแกผู้นับถือศาสนาอิสลามและเป็นการสร้างเงื่อนไข เช่นการปิดล้อมตรวจค้นสถานศึกษาปอเนาะมัดรอลาดุลฟาละห์ ม.4 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี ควบคุมตัว 13 ราย จัดเก็บ DNA ลายนิ้วมือ 25 ราย

          ซึ่งหลายเหตุการณ์กลุ่มโจรใต้ที่หลบซ่อนตัวในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนามีการซ่องสุมกำลังวางแผนเตรียมก่อเหตุ หรือแม้กระทั่งก่อเหตุเสร็จกบดานในโรงเรียนเนื่องจากปลอดภัยเจ้าหน้าที่ไม่กล้าติดตาม เนื่องจากมีเกราะจากของบุคคลบางกลุ่มคอยคุ้มกัน

          คงตอบคำถาม NGOs บางกลุ่มเหตุผลทำไม? เจ้าหน้าที่ทหารต้องเข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นปอเนาะหลายแห่งที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็นการปิดล้อมตรวจค้นสถาบันปอเนาะแห่งหนึ่งใน อ.ยะรัง จ.ปัตตานี กระทั่งสามารถยึดอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก เครื่องกระสุนและของกลางจำนวนมากในปี 58, การปิดล้อมมูลนิธิสมบูรณ์ศาสน์ (ปอเนาะดาลอ) ตั้งอยู่หมู่ 5 ต.มะนังหยง อ.ยะหริ่ง หลังจากสืบทราบว่ามีคนร้ายเข้ามาหลบซ่อนตัวภายในปอเนาะเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่เกิดการปะทะใต้เสียชีวิต 1 ราย จับเป็น 3 ราย เมื่อปี 51, เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าติดตามบุคคลเป้าหมายโรงเรียนปอเนาะยุวะอิสลามวิทยามูลนิธิ อ.มายอ จ.ปัตตานี เกิดการยิงปะทะเป็นเหตุให้คนร้ายถูกวิสามัญ 2 คน จับกุมได้ 5 คน เมื่อปี 61
----------------

9/03/2562

معومومكن اوليه جواتنكواسافرليندوغن حق اساسي مأنسي اكن حاصيل فثياستن كماتين عبد الله عيسى موسى










Mengumumkan oleh Jawatankuasa Perlindungan Hak Asasi Manusia akan hasil penyiasatan kematian Abdullah Isa Musa.


Pada 27 Ogos 2019 pukul 05.10 petang, di Pusat Kerajaan Wilayah Sempadan Selatan, Daerah Muang, Wilayah Jala. Telah mengumumkan oleh Jawatankuasa Perlindungan Hak Asasi Manusia akan hasil siasatan kes Abdullah seperti berikut:
Daripada kes Abdullah Isa Musa, Saspek keselamatan, Tidak sedarkan diri di dalam Unit Soal Siasat, Unit Tertentu Tentera Hitam 43, Kem Ingkhayutthaborihan. Telah berlakukan kejadian ini pada 21 Julai 2019 pada kira–kira jam 03.00 malam. Dan pada masa ini meninggal dunia ia pada jam 04.30 pagi pada hari Ahad 25 Ogos 2019 di Hospital Songkhla Nakarin dengan paru–paru jangkitan teruk dan keracuan yang disebabkan oleh jangkitan. Butirannya di tunjukkan di dalam pernyataan Hospital Songkhla Nakarin.
Hal yang tersebut. Jawatankuasa Perlindungan Hak Asasi Manusia Di Wilayah Sempadan Selatan yang telah Melentikkan dia dengan kakitangannya dengan mereka – mereka yang diterimakan oleh masyarakat yang terdiri ia daripada wakil–wakil organisasi hak asasi manusia dan organisasi masyarakat madani dan organisasi keagamaan dan ahli akademik dan sektor awam dan pegawai dengan kewajipan mereka itu adalah untuk menyiasatkan akan kebenaran secara bebas dan telus untuk memastikan keadilan bagi semua pihak dengan memeriksakan ia akan tempat siasatan dan menjemputkan ia akan pegawai yang berkaitan untuk bertanya soal dan memberikan maklumat dan memeriksakan oleh mereka itu akan maklumat sekitar yang berkaitannya. Ringkasan operasi seperti berikut:
1.Menjalankan pemeriksaan akan operasi pegawai dan membuat pertanyaan akan pegawai yang terlibat dengan kejadian ini dan mendapatikan oleh kami akan bahawasanya telah mengambilkan oleh pegawai akan pelbagai perbuatan yang betul di dalam semua aspek. Daripada pertanyaan peribadi, Tidak terdapatkan seberang ketidakbiasaan.
2.Menjalankan pemeriksaan di tempat soal siasat itu adalah memenuhi ia akan piawai tetapi tidak boleh digunakan akan kamera pengawasan. Dan daripada memeriksakan akan bangunan itu, baru selesai ia. Dan mula digunakan dia pada Mei 2019. Dan sudah dipasangkan akan kamera pengawasan tetapi belum diserahkan dia. Maka tidak boleh digunakannya. Kemudian telah menyuruhkan oleh Pejabat Keselamatan Dalam Negeri, Wilayah Ke 4 (Bahagian Dihadapan)akan syarikat untuk selasai menyampaikan dan membenarkan ia untuk memeriksakan oleh organisasi akan piawai Unit Soal Siasat pada bila-bila masa.
3.Pemantaun maklumat peribadi dan maklumat perubatan daripada doctor yang ber kaitan maka mendapatikan akan bahawasanya
    3.1 Penyebab kematian adalah berasal daripada radang paru-paru yang teruk (severe pneumonia) dan keracuan yang disebabkan oleh jangkitan (septic shock) yang adalah ia menjadi punca utama pada setrok iskimia dan hipoksia (hypoxic ischemic encephalopathy)menurut lapuran doktor.
    3.2 Adapun isu yang mencarikan oleh social akan punca hipoksia sirebral dan idimia sirebral itu. Telah mengumpulkan oleh jawatankuasa akan kebenaran daripada penjelasan pendapat pasukkan perubatan yang mengenai dengan rawatan. Maka boleh membuat kesimpulan akan bahasanya kekurangan oksigen pada otak itu boleh berlaku ia daripada
           3.2.1 Memukul yang kuat daripada luaran yang terjejas ia akan otak sehingga terdapat kesakitan dalaman yang teruk yang telah memeriksakan oleh pasukkan perubatan dengan halus sama ada ia pada pemeriksaan luaran x-ray dan x-ray computer maka tidak menemuikan ia akan mana-mana lebam tisu atau mana-mana tulang yang patah yang menjadikan bukti pada pukulan luaran sama ada ia pada hal dipukulkan oleh objek luaran atau daripada kemalangan jatuh dan bentur ke atas seberang bahan yang keras.
           3.2.2 Pecah saluran darah diotak. Boleh terjadi ia daripada penyakit aniurismi(aneurysm) yang tidak menunjukkan ia akan seberang gejala semasa berkehidupan dan mungkin tidak mempunyai gejala sebelum pecahnya. Berdarah di dalam otak seperti ini boleh memberi kesan yang teruk ke atas otak dan daripada x-ray otak maka didapatikan akan bahawasanya berdarah ia di bawah lapisan kortikal otak yang di salutkan dengan daging otak arachnoid (subarachnoid hemorrhage) dan tidak ditemuikan akan berdarah di dalam kortikal otak luar yang jika ada pukulan daripada luaran maka aka nada pendarahan di kortikal otak terlebih dahulu. Oleh itu, Dapat difahamikan akan bahawasanya pembengkakkan adalah hasil daripada artius kelerusis di otak dan berpcah dan berdarah di bawah lapisan kortikal otak yang di salutkan dengan tisu otak yang mengakibatkan pada kekurangan oksigen dan bengkok otak. Dan telah meusahakan oleh pasukkan perubatan untuk membuat diaknosis jelas dengan menyuntikkan radiasi serta dengan x-ray computer tetapi tidak dapat memasukkikan ia kepada otak kerana kekurangan aliran darah di dalam otak maka tidak boleh mengasahkan dengan jelas. Dan pada hal ini, Jika hendak memeriksakan dengan jelas. Maka boleh di lakukan dia dengan kaedah otopsi. Dan setelah daripada kematian Abdullah. Tidak dibenarkan untuk melakukan otopsi kerana proses otopsi untuk hal ini mungkin mengambil masa yang panjang mengikut prosedur perubatan. Maka tidak dapat mengasahkan diagnosis di atas.
           3.2.3 Kekurangan oksigen untuk memberi makan kepada otak. Maka berlaku ia pada banyak hal seperti mungkin dibuatkan oleh orang lain akan pesakit seperti yang dikatakan aka nada menutup akan kepala dengan plastic dan menutupkan akan muka dengan kain basah kemudian mencorahkan air atau tidak sedarkan diri oleh pesakit dan mempunyai keadan penyekatan pernapasan dan tidak di bantukan dia dengan masa yang munasabah. Dan daripada mengadakan pertemuan dengan pasukkan perubatan yang berkaitan di dalam kes ini. Maka menunjukkan oleh doctor akan bahawasanya jika berlakulah ia dengan sebab yang tersebut maka perlu ada pertitikkan pendarahan seperti dapat menyatakan dengan jelas di mata seperti pecahlah kortikal saluran darah dan ber darah di mata dan gusi dan akan gelapkan bibir mulut dan akan di koyakkan kortikal dan bengkak muka. Orang yang kekurangan oksigen boleh menunjukkan ia dengan jelas di bibir mulut. Dan pada kes Abdullah, Tidak menemuikan ia akan sifat yang tersebut.
4. Penyakit yang menyebabkan kematian Abdullah yang berada ia di bawah jagaan pegawai kerajaan itu. Maka bersetujulah oleh jawatankuasa akan bahawasanya hendaklah ada bantuan dengan akan mengumpulkan oleh jawatankuasa akan hasil pemeriksaan dan diagnosis doctor untuk melaporkan kepada Pusat Pentadbiran Wilayah Sempadan Selatan untuk berbuat pertimbangan selanjutnya. Dan telah memutuskan oleh jawatankuasa akan bahawasanya hendak memberikan bantuan mengikut dasar kemanusiaan yang munasabah dengan di jemputkan akan isteri dan keluarga Abdullah untuk perbincangan.
Jawatankuasa Perlindungan Hak Asasi Manusia Di Wilayah Sempadan Selatan
27 Ogos 2019.

………………………………………..

8/30/2562

"แขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์ สร้างความปั่นป่วน" ผิดกฎหมายมาตรา 116



เนื่องจากในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เป็นวันชาติของประเทศมาเลเซีย และเป็นวันสถาปนากลุ่มเบอร์ซาตู ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายโจมตีของกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ สร้างสถานการณ์เพื่อหวังก่อกวน สร้างความระส่ำระสายต่อบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความวุ่นวาย และก่อเหตุความไม่สงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมักจะทำการก่อเหตุลอบวางระเบิด เผายางรถยนต์ เผาธงชาติไทย ปักธงชาติมาเลเซีย พร้อมทั้งวางวัตถุต้องสงสัยทั้งระเบิดจริง ระเบิดปลอมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอ จ.สงขลา ซึ่งการกระทำของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในการก่อเหตุก่อกวนป่วนใต้ เป็นการหวังผลทางการเมือง ซึ่งมีการเผาทำลายธงชาติไทย แล้วเอาธงชาติมาเลเซียขึ้นแทน เพื่อให้เกิดความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลบุคคลแปลกหน้า วัตถุต้องสงสัยที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีอาจลักลอบนำเข้ามาก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ในช่วงนี้ได้


การแขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์มีความผิดหรือไม่? เมื่อมาเปิดดูประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ความผิดตามมาตรานี้คือ “ยุยงปลุกปั่น” ได้บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต (๑) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย (๒) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ (๓) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”

ตัวอย่างการกระทำความผิดดังกล่าวมีให้เห็นจากคำพิพากษาของศาลจังหวัดนาทวี เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562  สั่งจำคุก นายมูฮัมหมัด เปาะเล๊าะ จำนวน 4 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นศาล ศาลจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือ “จำคุก 2 ปี”

 

นายมูฮัมหมัด เปาะเล๊าะ ทำการแขวนป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐรวม 3 จุด ประกอบด้วย จุดแรกริมถนนสายสะบ้าย้อย – กาบัง บ้านคอลอมูดอ ต.จะแหน อ.สะบ้าย้อย จุดที่ 2 บ้านสวนโอน ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย และจุดที่ 3 ริมถนนสายลำไพล – เทพา บ้านทุ่งพระยอด ม.4 ต.เทพา อ.เทพา จ.สงขลา และข้อความทั้ง 3 จุด เป็นลักษณะเดียวกันที่พบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถสืบหาตัวผู้กระทำผิด จึงได้ออกหมายจับ นายมูฮัมหมัด ส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดีตามกฎหมายตัดสินจำคุกในเวลาต่อมา


การที่ศาลสั่งลงโทษผู้ที่กระทำการแขวนป้ายผ้าเขียนข้อความโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ สืบเนื่องจากการตรวจพบ DNA ของผู้ต้องหาที่ติดอยู่กับป้ายผ้า หรือเชือกที่ใช้ในการแขวน การนำวิทยาศาสตร์ ในการเก็บและพิสูจน์หลักฐาน ตรวจร่างกายและวัตถุพยานเพื่อช่วยในการค้นหาความจริงในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแพร่หลาย โดยเฉพาะในชั้นการพิจารณาคดีของศาล

จึงขอความร่วมมือไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ศอ.บต. และฝ่ายปกครอง ช่วยสื่อเป็นเครื่องมือสร้างการรับรู้ ความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ให้ผู้ปกครองสอดส่องดูแลบุตรหลานมิให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี ทำการแขวนป้ายผ้า พ่นสีสเปรย์โจมตีรัฐเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ซึ่งหากถูกจับกุมตัวได้จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ความผิดฐาน “ยุยงปลุกปั่น” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี 

………………………………………




8/29/2562

โจรใต้เป็นลมตายในมาเลย์ ญาติรับศพกลับมาฝังที่บ้านเกิด



          โจรใต้ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ฝั่งไทย เข่นฆ่าเจ้าหน้าที่และประชาชนบริสุทธิ์หนีคดีไปอาศัยประเทศเพื่อนบ้าน หลายครั้งที่ได้รับทราบข่าวสารโจรใต้เหล่านี้เสียชีวิตยังต่างแดน บ้างนำศพมาประกอบพิธีทางศาสนายังบ้านเกิด แต่มีจำนวนไม่น้อยต้องฝั่งร่างในประเทศมาเลเซียญาติไม่สามารถนำศพกลับมายังภูมิลำเนาอาจจะมีข้อจำกัดหลายประการ ที่น่าใจหายคือไม่มีญาติไม่มีครอบครัวดูใจครั้งสุดท้ายก่อนตาย

          เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ได้รับข่าวว่า นายมาหามะ กาเจ ปัจจุบันอายุ 57 ปี ได้เสียชีวิต (เป็นลม)  ที่โรงพยาบาลอลอสตาร์เคด้า ประเทศมาเลเซีย นายโซเฟียน กาเจ พร้อมญาติได้เดินทางไปรับศพโดยผ่านด่านประกอบ อ.นาทวี จ.สงขลา มาประกอบพิธีทางศาสนา ณ มัสยิดอุเบ็ง ม.4 ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา   
      
          สำหรับพฤติกรรม นายมาหามะ กาเจ เป็นสมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ ได้ผ่านการฝึก RKK จากลุ่มนายฮูไบดีละห์ รอมือลี บุคคลตามหมายจับ ป.วิฯ จำนวน 13 หมาย (หน.ระดับ KOMPL รับผิดชอบพื้นที่ อ.ยะหา, อ.กาบัง จ.ยะลา)

          นายมาหามะ ยังเคยเป็นครูฝึกสอนอบรม ทำการปลุกระดมชาวบ้านในพื้นที่ เคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ฝ่ายรักษาความสงบ ในเวลาต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้ากลุ่มแทน นายมาดาโอ๊ะ สนิมิง เนื่องจาก นายมาดาโอ๊ะ ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเมื่อ 30 มีนาคม 2553 นายมาหามะ เคยก่อเหตุยิง นายไพรัตน์ แซ่เหง่า ร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต ขณะลาดตระเวนด้วย จยย.เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เหตุเกิดเมื่อ 30 กันยายน 2548 ทำการก่อเหตุร่วมกันลอบโจมตีและวางเพลิงบ้าน นายดอเลาะ เซ็งมะสู เมื่อ 25 สิงหาคม 2554

          นายมาหามะ เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ตามหมายจับที่ จส.323/2548 ลง 20 ก.ค.48 จากเหตุเหตุยิง นายไพรัตน์ แซ่เหง่า แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ


          ก่อนหลบหนีไปอยู่ประเทศมาเลเซีย นายมาหามะ มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 1 หมาย ตามหมายจับเลขที่ จส.444/2549 ลง 18 ต.ค.48 จากเหตุลอบวางระเบิดและซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต ขณะลาดตระเวนด้วย จยย.เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 นาย ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย เหตุเกิดเมื่อ 30 กันยายน 2548

          ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอนอยู่ดีๆ ก็เป็นลมตายนับประสาอะไรกับกรณีการช็อกหมดสติของนายอับดุลเลาะ  อีซอมูซอ ในศูนย์ซักถามที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหามีการซ้อมทรมาน ก็คงเป็นลมหรือเกิดจากโรคประจำตัวอย่างใดอย่างหนึ่งต้องหามส่งโรงพยาบาลทำการรักษา สุดท้ายไม่สามารถยื้อไว้ได้และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา...
-------------------