คาร์บอมยะลา ฆ่าประชาชน ล้างแค้นรัฐตัดทางผลประโยชน์ชั่ว
สิ้นเสียงระเบิดดังกึกก้องจากเหตุระเบิดคาร์บอมที่เขตเศรษฐกิจกลางเมืองยะลา เสียงร้องระงมด้วยความเจ็บปวดของผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์นับร้อยก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ ขณะที่ต้องมีผู้สังเวยชีวิตไปถึง 10 คน เมื่อวันที่ 31 มี.ค.55 ที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งในการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงความเลวทรามต่ำช้าทางจิตใจของขบวนการหรือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยมิได้คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี และกระทำเหมือนคนที่ไม่มีศาสนาอยู่ในจิตใจ ทั้งๆ ที่พวกเขาแอบอ้างพระเจ้ากับพี่น้องมลายูมุสลิมเพื่อสร้างความชอบธรรมและสร้างแนวร่วม แต่จะมีพระเจ้าองค์ใดเล่าที่มีพระประสงค์ให้เข่นฆ่าคนเหมือนผักปลาเช่นนี้
ด้านฝ่ายความมั่นคงโดยโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็ออกมาฟันธงทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ว่า เหตุที่เกิดขึ้นนั้นได้รับทราบทางการข่าวแล้วว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามจะก่อเหตุใหญ่โดยใช้ระเบิดคาร์บอมในพื้นที่เขตเมือง แต่ทั้งๆ ที่ได้เพิ่มมาตราการอย่างเข้มงวดแล้วก็ยังไม่สามารถป้องกันได้
ดูแล้วก็เข้าตำรา “คนจ้อง” กับ “คนระวัง” ที่ฟังดูก็น่าเห็นใจ
เหตุผลแรกคือการปิดล้อมตรวจค้นและจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงของเจ้าหน้าที่ซึ่งก็ได้ทั้งผู้ต้องหาตามหมาย ป.วิอาญา และ พรก.ฉุกเฉินฯ จำนวนเกือบ 50 คน พร้อมอาวุธและอุปกรณ์ในการก่อเหตุร้ายจำนวนมาก และที่มาของการจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงได้อย่างต่อเนื่องครั้งนั้นเกิดจากการที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ทำงานด้านมวลชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ประชาชนทั่วไปที่เบื่อหน่ายกับการกระทำของโจรกลุ่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยเป็นแนวร่วมเริ่มตาสว่าง โดยให้ข้อมูลทั้งทางลับและทางเปิดแก่เจ้าหน้าที่จนนำไปสู่การจับกุมทั้งคนและอาวุธ และแน่นอนว่านี่ต้องส่งผลกระทบต่อขบวนการเป็นอย่างมากจนถึงกับต้องออกฟาดหัวฟาดหางตอบโต้โดยการฆ่าคนไม่เลือกหน้า
อีกเหตุผลหนึ่งที่มีความเป็นไปได้มากคือ “การตัดท่อน้ำเลี้ยง” ของขบวนการที่ฝ่ายความมั่นคงทราบดีว่า นอกจากอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนที่กลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่อย่างแน่นอนแล้ว ขบวนการยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจผิดกฏหมายซึ่งมีอดีตนักการเมืองระดับชาติที่เอ่ยชื่อแล้วต้องร้องอ๋อหนุนหลังและแบ่งปันผลประโยชน์ในลักษณะต่างตอบแทนกันอยู่ ทั้งน้ำมันเถื่อน ของหนีภาษี และที่ร้ายที่สุดคือกลุ่มพ่อค้ายาเสพติด
เพราะที่ผ่านมานั้นสามารถจับกุมพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้ 2 ราย และหลังการจับกุมจะเกิดการตอบโต้โดยขบวนการทันที
ถ้ายังจำกันได้เหตุระเบิดที่หน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เกิดขึ้นภายหลังการจับกุมพ่อค้ายาเสพติดซึ่งมีตำแหน่งเป็นกำนันตำบลตะลุโบ๊ะจังหวัดปัตตานี ยึดทรัพย์สินได้กว่า 30 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหานั้นนอกจากจะพัวพันกับการค้ายาแล้ว ยังมีประวัติเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุรุนแรงด้วย คาร์บอมในครั้งนั้นบ่งบอกถึงความไม่สนใจในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะเป็นการกระทำกับหน่วยงานทางการแพทย์ที่แม้แต่ในสนามรบที่คู่กรณีต่างฝ่ายต่างใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างเต็มที่ แต่หน่วยแพทย์จะยังเป็นหน่วยที่ได้รับการยกเว้นด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมที่เป็นสากลและทุกฝ่ายพึ่งปฏิบัติ แต่สำหรับกับขบวนการแล้วความเป็นจริงนี้อยู่นอกเหนือจากกฏบัตรใดๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ว่ากันว่าแม้แต่ตัวการใหญ่ของขบวนการยังไม่เห็นด้วยที่ทำกับหน่วยงานทางการแพทย์เช่นนั้นเพราะทำให้เสียมวลชนไปเยอะ แต่ก็ได้แต่บ่นเพราะถึงอย่างไรก็ยังต้องแบมือขอเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดมาก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนอยู่ดี
แล้วก็เหมือนกับแผ่นเสียงตกร่องอีกครั้ง เมื่อมีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ที่เช่นเคยคือเป็นผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ครั้งนี้ยึดทรัพย์ได้กว่า 150 ล้านบาท ซี่งหากมองว่าเงินส่วนนี้มีการแบ่งไปสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงก็จะเห็นว่าสามารถนำไปทำอะไรเลวๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
จึงไม่น่าแปลกว่านั้นคือเหตุผลของการล้างแค้นครั้งใหญ่ของขบวนการที่ยะลาในครั้งนี้ ก็โถ....เงินไม่น้อยอยู่นี่นะ
งานนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนก็แสดงบทบาทอย่างแข็งขันเหมือนเดิมคือ “หดหัวเงียบ” ซึ่งก็เป็นบทบาทเดิมๆ ที่ทำซ้ำซาก คำถามคือ ทำไมไม่ออกมาแสดงความเป็นองค์กรที่รักษาสิทธิของชาวบ้านที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ หรือเป็นเพราะครั้งนี้เป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของขบวนการซึ่งเรียกร้องไปก็คงไม่ได้อะไร ไม่ได้มีส่วนช่วยให้เงินสนับสนุนจากประเทศตาบอดต่างๆ มาถึงมือตัวเองและพวกพ้องมากขึ้น หรือหากออกมาตามบทบาทจริงๆ คงกลัวว่าจะได้ลูกกระสุนปืนเป็นสิ่งตอบแทน
เหตุระเบิดครั้งนี้ไม่ว่าจะเกิดจากการ “ตามไม่ทัน” ของฝ่ายความมั่นคง หรือความเลวทรามของขบวนการก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นนั้นสร้างความสูญเสียมากมายมหาศาลทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์และชื่อเสียงของประเทศไทยในเวทีโลก ความต้องการของกลุ่มโจรที่จะยกระดับเหตุการณ์ไปสู่ระดับที่มีความรุนแรงจนสหประชาชาติต้องยื่นมือเข้ามานั้นอยู่ไม่ไกลแล้ว สิ่งเดียวที่ฝ่ายความมั่นคงต้องทำต่อไปคือ อย่าละความพยายาม วลีที่พูดถึงบ่อยๆ คือ “เรามาถูกทางแล้ว” จะเป็นจริงในอีกไม่นานนัก อยู่ที่ว่า “ใครจะอึดกว่ากัน”
ซอเก๊าะ นิรนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น