9/30/2559

แอมเนสตี้ "บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้" ทำไม?..ต้องล่ม


“Ibrahim”

"บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้: การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในประเทศไทย ซึ่งทางแอมแนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อ้างว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลจากรายงาน บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้ เกิดจากการเก็บข้อมูล 74 กรณี การกระทำความรุนแรง และทรมานที่โหดร้าย ของเจ้าหน้าตำรวจ และทหาร ทั้งการทุบตี การใช้ถุงพลาสติกรัด ใช้มือหรือเชือกบีบคอ และการกระทำให้อับอายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน รวมทั้งในรายงานยังระบุอีกว่า พบปัญหาเหล่านี้เพิ่มขึ้นหลังการรัฐประหาร

การจัดงาน "บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้ : การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในประเทศไทย เมื่อ 28 ก.ย.59 ต้องล่มกลางคัน เนื่องจากหนึ่งในผู้ร่วมบรรยาย คือนาย ราเฟนดิ จามิน ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอทเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไม่มีใบอนุญาตทำงานในไทย โดยกระทรวงแรงงาน ระบุว่าตัวแทนจากแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลไม่มีใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย หากขึ้นพูดบนเวทีอาจถูกจับตามกฎหมายได้ แต่ไม่ได้ยุติงานแต่อย่างใด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้แถลงยุติการจัดงานดังกล่าว



องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นใคร? มาจากไหน

องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล เป็นองค์การพัฒนาเอกชนที่มีจุดประสงค์ ในการค้นคว้าและดำเนินการป้องกันและยุติการทำร้ายสิทธิมนุษยชน และเพื่อแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิซึ่งก่อตั้งขึ้นกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อปี ค.ศ. 1961

องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มุ่งแต่เปิดเผยรายงาน บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้ว่าด้วยการทรมานผู้ต้องหาในประเทศไทย 74 กรณี ในช่วงปี 57-58 ที่ได้จากการวบรวมเอกสารของศาล ประวัติการรักษาพยาบาล และบทสัมภาษณ์ของเหยื่อ

ซึ่งก่อนหน้านี้การนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จขององค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีการกล่าวเกินจริงและหน่วยงานความมั่นคงได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกันอยู่ในชั้นศาล


ปัญหาการกระทำความรุนแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่อยากให้องค์กรภาคประชาสังคม หรือองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล มองแค่ด้านเดียว ที่มุ่งศึกษาจากข้อมูลจากการวบรวมเอกสารของศาล ประวัติการรักษาพยาบาล และบทสัมภาษณ์ของเหยื่อ เพราะข้อมูลหรือข้อเท็จจริงมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ที่สำคัญผู้ต้องหา หรือผู้ต้องสงสัยที่มีการควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐคือผู้ที่กระทำความโหดร้าย และมีความโหดเหี้ยมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ เมื่อมีการมุ่งเป้าไปทำการศึกษาคนกลุ่มนี้เสมือนหนึ่งช่วยกันปกป้องโจรชั่วให้พ้นผิด พ้นมลทิน...

ความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐย่อมมีบ้าง แต่เป็นประเด็นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเกินจริงที่ได้มีการนำข้อมูลมาเปิดเผยขององค์กรบางองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องในปัจจุบันกระบวนการซักถาม กระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัยได้กระทำอย่างเปิดเผย หน่วยงานและองค์กรรวมไปถึงญาติและครอบครัวสามารถตรวจสอบได้


องค์กรภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือแม้กระทั่งองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เคยกล่าวถึงหรือปกป้องเหยื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกระทำจากกลุ่มขบวนการอย่างโหดเหี้ยมทารุณ และป่าเถื่อนสักครั้งมั๊ย?..ไม่เคยมี แม้กระทั้งการออกมาประณามกลุ่มคนอำมหิตสุดโต่งกลุ่มนี้การกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกลุ่มขบวนการ

การกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกลุ่มขบวนการที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ แต่เหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าสะเทือนใจต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ คือเหตุการณ์กลุ่มขบวนการโจรใต้ได้สังหาร 2 นาวิโยธิน เสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหด เมื่อวันที่ 21 ก.ย.48 ในพื้นที่บ้านตันหยงลิมอ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์กลุ่ม ผกร.ทำร้าย ครูจูหลิง ปงกำมูล ครูโรงเรียนบ้านกุจิงลือปะ ม.4 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เสียชีวิตอย่างทรมานเมื่อ 8 ม.ค.49


อยากถามไปยังองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และบรรดาองค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งเป็นมือเป็นเท้าขององค์กรระหว่างประเทศ มีจิตสำนึกที่ดี เป็นปากเป็นเสียงทำงานเพื่อสังคมจริงหรือ? หรือการเคลื่อนไหวเป็นได้เพียงแค่อาชีพๆ หนึ่งที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เคลื่อนไหวแล้วรวยเพื่อดูดแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศ สร้างจุดขายให้กับองค์กรตัวเองเข้าไว้นำข้อมูลของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนไปขายเพื่อแลกตำแหน่งใหญ่โต เพื่อเป็นผู้อำนวยการองค์กรบางองค์กรในประเทศไทย โดยไร้ซึ่งจิตสำนึก..น่าเศร้าใจและเจ็บใจแทนคนไทยทั้งประเทศที่ยังมีคนคิดขายชาติ ขายแผ่นดิน นำข้อมูลมั่วๆ ไปขายให้กับฝรั่งตาน้ำข้าว..คนเยี่ยงนี้สมควรอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอยู่อีกหรือ?..ช่างไร้ยางอาย.



-------------------

9/29/2559

ความโหดร้ายที่ชายขอบ..โจรใต้ฟาตอนีมุ่งใช้ความรุนแรงปลิดชีวิตผู้คน



…Ibrahim…

หลายชีวิต..ที่มาจากหลายครอบครัว และต่างพื้นที่ และที่สำคัญคนในพื้นที่เองที่ต้องทนทุกข์กับความเดือดร้อนแสนสาหัส และมีจำนวนไม่น้อยต้องจบชีวิตลงจากน้ำมือของกลุ่มคนร้ายที่มักอ้างตัวเองว่าเป็นนักรบฟาตอนี เป็นนักรบที่มีเกียรติต่อสู้เพื่อขบวนการ แต่พฤติกรรมกลับตรงกันข้ามเยี่ยงสัตว์ร้าย สุดโต่ง ไม่กล้าเผยตัวตนหลบซ่อนในมุมมืด..หลายครั้งแต่งกายคล้ายหญิงเพื่อปิดบังอำพรางกายหลีกเลี่ยงซ่อนเร้นหลบหลีกเพื่อมุ่งกระทำชั่ว

เมื่อวันที่ 29 ก.ย.59 เวลาประมาณ 10.45 น.ความสูญเสียได้เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้รถ จยย. จำนวน 5 คัน ใช้อาวุธปืนสงคราม ยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.อ.สไหงโกลก ชุด รปภ.ครูโรงเรียนบ้านลูโบ๊ะลือซง ขณะออกปฏิบัติหน้าที่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ อส.ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และเสียชีวิต 1 นาย เหตุเกิดหน้าโรงเรียนลูโบ๊ะลือซง ม.2 ต.มูโนะ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส


พฤติกรรมของคนร้ายแต่งกายคล้ายผู้หญิง ด้วยชุดคลุมยาว จำนวน 10 คน โดยใช้ รถ จยย 5 คัน เป็นยานพาหนะ ได้ขับขี่มาจอดบริเวณหน้าโรงเรียนบ้านลูโบ๊ะลือซง แล้วคนร้าย 5 คน ที่ซ้อนท้ายรถ จยย. ได้ตรงลงไปใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงใส่เจ้าหน้าที่ อส.ชุด รปภ.โรงเรียนบ้านลูโบ๊ะลือซง คมกระสุนทำให้เจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย นำตัวส่งโรงพยาบาลสุไหงโกลก


หลังจากคนร้ายได้ทำการก่อเหตุกราดยิงแล้วได้ตรงเข้าหยิบเอาอาวุธปืนยาวประจำกาย ของ อส. ขึ้นรถ จยย. หลบหนีไปด้วย จำนวน 3 กระบอก ส่วนรายชื่อผู้ที่เสียชีวิตคือ อส.อุสมาน รูเป๊ะ และได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 นาย คือ อส.สุรินทร์ และสุบ และ อส.มะรอสือลี ตาตูเละ


การกระทำของคนร้ายมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีลงมือก่อเหตุแล้วทำการปล้นอาวุธปืนไปด้วย 3 กระบอก ไม่เว้นแม้กระทั่งพี่น้องที่นับถือศาสนาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ อส.เหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวม ดูแลความปลอดภัยครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งทำหน้าที่อบรมให้ความรู้กับบุตรหลานของพี่น้องในพื้นที่

ขอสดุดีแห่งดวงวิญญาณของผู้กล้า ผู้เสียสละเพื่อประเทศชาติและผืนแผ่นดิน อส.อุสมาน รูเป๊ะ เจ้าหน้าที่ อส.อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ที่ทำหน้าที่ของท่านจนวาระสุดท้าย คนเราหนีไม่พ้นความตาย.. 

แต่ความหมายการตายนั้นไม่เหมือนกัน.. บ้างมีค่าหนักกว่าขุนเขา.. บ้างไร้ค่าเบากว่าขนนก..! อส.ท่านนี้เลือกความตายของตัวเองแล้วว่าจะตายแบบไร้ค่าหรือมีค่า และท่านจะเป็นที่จดจำของผู้คนที่อยู่ข้างหลังตลอดไป..อามีน




-------------------

9/28/2559

โจรใต้ซุกระเบิด-ปืน เตรียมก่อเหตุป่วนระแงะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน



นราธิวาส - จนท.อีโอดีนราฯ เข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย พบโจรใต้ซุกรถ จยย. ระเบิดแสวงเครื่องพร้อมทำงาน ปืน และกระสุนอีกหลายรายการ คาดเตรียมนำก่อเหตุป่วนในพื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส


เมื่อวันที่ 27 ก.ย.59 เจ้าหน้าที่ชุด EOD นราธิวาส เข้าตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่เจ้าหน้าที่กรมทหารพรานที่ 45 พบซุกซ่อนอยู่ภายในป่า ในพื้นที่หมู่ 2 บ้านกลูโฆ ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีการเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่


ซึ่งนอกจากจะพบรถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่ยังพบระเบิดแสวงเครื่องแบบกล่อง พร้อมวงจรระเบิดที่พร้อมทำงาน ปืนลูกซอง 5 นัด 1 กระบอก ซองกระสุนปืนเอเค 47 จำนวน 1 ซอง ลูกระเบิดแบบขว้าง 1 ลูก กล่องวงจรจุดระเบิด 2 กล่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดไว้เพื่อตรวจสอบเตรียมขยายผลต่อไป


จากการตรวจสอบรถจักรยานยนต์ พบว่า รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นของ นางสุวรรณา พรหมกา ที่ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิตในพื้นที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และคนร้ายได้นำรถจักรยานยนต์หลบหนีไปด้วย โดยมีการเปลี่ยนไฟเบอร์รถจักรยานยนต์จากสีขาวแดง-ดำ มาเป็นสีดำ-แดง เพื่อหลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่



อย่างไรก็ตาม การเข้าตรวจสอบในพื้นที่เป้าหมายครั้งนี้ พ.อ.อิศรา จันทะกระยอม ผบ.ฉก.ทพ.45 ได้กล่าวขอบคุณประชาชนในพื้นที่ที่มีการแจ้งเบาะแสจนเจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตรงจุด สามารถลดการก่อเหตุจากกลุ่มก่อความไม่สงบได้ และลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

9/26/2559

สันติภาพจอมปลอมในปาตานี

แบดิง โกตาบารู

สันติภาพ คำๆ นี้มักได้ยินอยู่บ่อยครั้งในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องที่กล่าวอ้างว่าเพื่อประชาชนในพื้นที่ ดำเนินการโดยปีกการเมืองของขบวนการบีอาร์เอ็นซึ่งมีการปลุกระดมและชี้นำมาอย่างต่อเนื่องนั่นคือ กลุ่มนักศึกษา PerMAS”
สันติภาพที่กลุ่มขบวนการและกลุ่มนักศึกษา PerMAS ได้กล่าวอ้างแท้จริงแล้วเป็นความใฝ่ฝันทะเยอทะยานของคนเพียงบางกลุ่มที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ โดยใช้ สันติภาพ บังหน้า อีกทั้งมักชอบแอบอ้างกระทำเพื่อประชาชนปาตานี
จากการสำรวจความต้องการของประชาชนในพื้นที่ของหน่วยงานที่มีความเป็นกลางและเชื่อถือได้  ผลสำรวจออกมามักจะตรงกันข้ามกับในสิ่งที่กลุ่มขบวนการได้ทำการโฆษณา เสียงประชาชนส่วนใหญ่ต้องการที่จะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่
แต่น่าแปลกใจที่กลุ่มคนและขบวนการเหล่านี้ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการกำหนดใจตนเองเพื่อลงประชามติแบ่งแยกดินแดนเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่สามารถกระทำได้และไม่เข้าเงื่อนไขใดๆ ในสนธิสัญญาขององค์การสหประชาชาติ

สันติภาพของกลุ่มขบวนการคือภาพลวงตาที่ได้หลอกให้มวลสมาชิกยอมเข้าร่วมกับขบวนการ โดยใช้วิธีการทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ปัตตานี บิดเบือนหลักคำสอนศาสนาให้คนที่หลงเชื่อทำการต่อสู้เพื่อศาสนา กล่าวหาว่าถูกรุกราน กีดกันการนับถือศาสนา ไม่ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียมในสังคม
แต่ที่น่าสลดใจและเศร้าใจเป็นอย่างยิ่งคือสันติภาพในรูปแบบของกลุ่มขบวนการได้ทำร้าย ทำลายชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่เว้นวัน ลูกเล็กเด็กแดง ผู้เฒ่าคนชรา แม้กระทั่งสตรีและผู้อ่อนแอที่ไม่มีทางต่อสู้ไร้ซึ่งอาวุธ แต่กลุ่มขบวนการโจรใต้กลับกระทำได้ลงคอโดยไม่มีการแยกแยะความผิดถูก ไม่เกรงกลัวต่อบาป
ผ่านมาหลายสิบปีสันติภาพของกลุ่มขบวนการคือการหยิบยื่นความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำลายวิถีชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน สร้างความเสื่อมให้ศาสนา มุ่งการใช้ความรุนแรงแสวงการใช้กำลัง เป็นพวกปากอย่างใจอย่าง


ฉากหน้าสันติภาพ ที่ดูสวยหรูที่กลุ่มขบวนการและนักศึกษา PerMAS ได้สร้างภาพไว้ กับฉากหลัง สันติภาพที่แท้จริงมันช่างต่างกันสุดขั้ว ความชั่วความป่าเถื่อนสุดโต่งมีให้เห็นทุกวัน ตราบใดที่กลุ่มขบวนการยังไม่หยุดใช้ความรุนแรง อย่าใช้คำว่าสันติภาพมาเขียนหลอกประชาชนอีกเลย... สันติภาพ ของกลุ่มขบวนการมิใช่ เอกราช หรอกหรือ? พฤติกรรมของกลุ่มคนที่กินบนเรือนขี้บนหลังคากลุ่มนี้น่าขยะแขยงที่สุด...ไม่สมควรที่จะอยู่ในผืนแผ่นดินไทย ไม่สมควรเอาดินกลบหน้าในยามที่สิ้นลมหายใจ...

9/21/2559

พฤติกรรมสร้างความแตกแยก ความหวาดระแวงของกลุ่มขบวนการ


เว็บเพจ: Suara Patani ได้ทำการโพสต์ภาพพร้อมข้อความโดยกล่าวถึง SIAM ITU PENJAJAH สยามนั้น คือ ล่าอาณานิคม ปาตานีคือปาตานี สยามคือสยาม ปาตานีไม่ใช่สยาม และสยามก็ไม่ใช่ปาตานี สงคราม ณ.แผ่นดินแห่งนี้มีแค่สองฝ่าย มีฝ่ายปาตานี และฝ่ายนักล่าอาณานิคมสยาม ไม่ใช่ฝ่ายไทยพุทธ-ไทยมุสลิมอย่างที่ (แกล้ง) เข้าใจกัน
ปาตานีไม่ใช่สยาม..สยามไม่ใช่ปาตานี..ไม่มีปาตานีในผืนแผ่นดินไทย..แต่มีจังหวัดปัตตานีอยู่ในผืนแผ่นดินไทย และไทยมีปัตตานีซึ่งเป็นจังหวัดๆหนึ่งของไทย
สันดอนขุดง่ายแต่สันดานนั้นขุดยากจริงๆ คำตอบของเรื่องนี้ถามคนในพื้นที่คงได้คำตอบที่ชัดเจนการแบ่งเค้าแบ่งเรา แบ่งแยกไทยพุทธมุสลิมให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผู้คนในพื้นที่มีความต่างในเรื่องความคิดความเชื่อในเรื่องการนับถือศาสนา แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขภายใต้พหุวัฒนธรรม แต่มีบุคคลบางกลุ่มพยายามสร้างความแตกแยก ความแตกต่าง โดยเรียกขานพี่น้องไทยพุทธว่า ซีแย หรือ คนสยาม
ที่ผ่านมาทั้งชาวไทยพุทธ และไทยมุสลิมในประเทศไทย ต่างอยู่ร่วมกันด้วยดีถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมานับร้อยปี
สังคมไทยเป็นสังคมที่น่ารัก ทุกศาสนาทุกเชื้อชาติอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว หลากสีสัน หลายวัฒนธรรม เช่นเดียวกับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมีความเด่นในเรื่องพหุวัฒนธรรมที่ชาวโลกต้องทึ่ง..
เพราะความรักใคร่กลมกลืนของพี่น้องไทยพุทธ และไทยมุสลิมมิใช่หรือ? ที่กลุ่มขบวนการกลัว จึงต้องมาบิดเบือนในเรื่องประวัติศาสตร์สร้างความเกลียดชังกล่าวหาสยามคือนักล่าอาณานิคม ทั้งที่ปัจจุบันไม่มีคำว่าสยามในแผนที่โลกมีแต่ประเทศไทยเท่านั้นแต่กลับรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีต ที่สำคัญมีการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการก่อเหตุสร้างความรุนแรง เนื่องจากศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นจิตวิญญาณของพี่น้องมุสลิม เพื่อไปสู่จุดหมายการแบ่งแยกดินแดนของผู้มักใหญ่ใฝ่สูงบางกลุ่ม
กลุ่มขบวนการไม่เคยหันกลับไปมองตัวเองและนึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่เป็นที่ตั้ง ในอดีตที่ผ่านมากับพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้ากระทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดและผลประโยชน์ของขบวนการแทบทั้งสิ้น ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสชั่งมัน

ทุกวันนี้ประชาชนในพื้นที่ต่างรู้สันดานของกลุ่มขบวนการมักใหญ่ใฝ่สูงกลุ่มนี้เป็นอย่างดี ว่าเป็นผู้ฆาตรกรเลือดเย็นที่ยัดเยียดความเจ็บปวด ยัดเยียดความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนหาเช้ากินค่ำ สร้างแต่เหตุไม่เคยคำนึงถึงเป้าหมายลูกเล็กเด็กแดงจะบาดเจ็บล้มตายไม่ใช่ลูกหลานกู กูทำการก่อเหตุเสร็จสรรพกูหลบหนีไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วพฤติกรรมอย่างนี้เค้าเรียกว่า กินบนเรือนขี้บนหลังคา ใช่ไหมค่ะ?

9/20/2559

จับผู้ต้องหาคดีความมั่นคงต้องสงสัยเอี่ยวเหตุรุนแรง 7 จว.ใต้ตอนบนที่พัทลุง


เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย เกี่ยวข้องต่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีหมายจับติดตัว 4 หมายจับ และต้องสงสัยเชื่อมโยงก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน

วันที่ 20 ก.ค.59 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงสืบสวนติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งเหตุความไม่สงบทั้งวางเพลิง และวางระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน อย่างต่อเนื่อง


ล่าสุด พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทั้ง บก.สส.ภ.9 กก.วิเคราะห์ข่าว กก.ตชด.43 ฉก.ตชด.43 กก.สส.ภ.จว.สงขลา กก.6บก.ป. สภ.ปากพะยูน ทพ.41 นปพ.ร่วม ชร. ร้อย รส.มทบ.42 ช.40 ติดตามจับกุม นายอาบีดิน โตะมิง อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาเดิมอยู่ในพื้นที่ ม.2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญาฯ ของ สภ.ห้วยปลิง อ.เทพา จ.สงขลา จำนวน 4 หมาย
โดยถูกจับกุมตัวได้ใกล้กับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ก่อนนำตัวตรวจค้นบ้านพักตามที่อยู่ปัจจุบัน เลขที่ 611 ม.1 ต.ปากพะยูน อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง ตามมาตรา 44 แต่ยังคงให้การปฏิเสธ


และเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปยังศูนย์ซักถาม หน่วยข่าวกรองทางทหารส่วนหน้า จ.ปัตตานี เพื่อสอบสวนขยายผลอย่างละเอียด เพราะอยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนร่วม หรือเกี่ยวข้องต่รอเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ก่อนส่งตัวไปดำเนินคดีในพื้นที่ซึ่งถูกออกหมายจับต่อไป.

ขึ้นป้ายไล่ล่า 10 ผู้ต้องหามือระเบิดภาคใต้


ตำรวจสันติบาลขึ้นป้ายผู้ต้องหาเหตุระเบิดในพื้นที่ภาคใต้ ตรงบริเวณสี่แยกควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อให้ประชาชนแจ้งเบาะแส เผยเป็นหนึ่งในมาตรการกดดัน และไล่ล่ากลุ่มคนร้าย โดยอาศัยมวลชนเข้ามามีส่วนร่วม

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงพยายามทุกวิถีทางในการไล่ล่าติดตามจับกุม และหาเบาะแสกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะงานด้านมวลชน โดยล่าสุด ในวันนี้ (20 ก.ย.) ตำรวจสันติบาลใน จ.สงขลา ได้นำป้ายไวนิลขนาดใหญ่ซึ่งเป็นภาพของผู้ต้องหาคนสำคัญตามหมายจับเหตุระเบิดภาคใต้ จำนวน 10 คน มาติดไว้บริเวณสี่แยกควนลัง ถนนเพชรเกษม ตัดถนนสายเอเชีย ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่แยกหลักที่เชื่อมต่อการเดินทางทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ภาคใต้ตอนบน และ จ.สตูล เพื่อขอความร่วมมือประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส ทั้งสายด่วน 191 หรือตำรวจในพื้นที่ โดยแยกเป็นผู้ต้องที่ก่อเหตุระเบิดในพื้นที่จังหวัด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน จำนวน 5 คน และเหตุระเบิดที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2558 จำนวน 5 คน

และเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงนำมาใช้เพื่อไล่ล่า และกดดันกลุ่มก่อความไม่สงบที่อาจเข้ามาแฝงตัวในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายที่ยังคงมีการเฝ้าระวัง และเป็นเมืองหลัก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางที่กลุ่มก่อความไม่สงบกระจายตัวเดินทางไปลงมือก่อเหตุในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน


สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 10 คน ประกอบด้วย นายอัสมีน กาเต็มมาดี, นายฮากีม ดอเลาะ, นายเสรี แวมามุ, นายรุสลัน ใบมะ, นายอาหามะ เลงฮะ, นายอัสมีน กาเต็มมาดี, นายฮากีม ดอเลาะ, นายอัลดุลเลาะ สาแม, นายอัมมัร แวดาราแม และนายมูหาหมัดยากี สาและ โดยนอกจากสี่แยกควนลังแล้ว ทางตำรวจสันติบาลจะดำเนินการติดตั้งป้ายแบบเดียวกันนี้บริเวณทางแยกและจุดสำคัญอีกหลายจุดเพื่อให้ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัด

9/11/2559

จนท.ทพ.ฉก.47 ยะหา ขยายผลสอบปากคำแนวน่วมก่อเหตุความไม่สงบ พบที่ซุกซ่อนอาวุธปืนบนเทือกเขา อีก 6 กระบอก กระสุนปืนอีกว่า 300 นัด



วันนี้ (11 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ทหารพรานจากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ยะหา จำนวน 30 นาย ภายใต้คำสั่งการของ พันโทชลัช ศรีวิเชียร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ยะหา สั่งการให้นำกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมาย บริเวณบ้านกูวิง ม.6 ต.บาโล๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา หลังจากที่เมื่อวันที่ 8 ก.ย.59 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวนายลาหริ สาและ อายุ 36 ปีเลข อยู่บ้านเลขที่ 88/1ม.2 ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา ผู้ต้องหาก่อเหตุความไม่สงบ ขณะเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายตามที่ได้รับแจ้ง


โดยภายหลังการควบคุมตัวลาหริ สาและ ผู้ต้องหา และทำการซักถามเพื่อขยายผล ผู้ต้องหาก็ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทางเจ้าหน้าที่ โดยระบุว่า มีการซุกซ่อนอาวุธปืนสงครามไว้ในสวนยางพารา บนเทือกเขา บ้านอุยงซูแง บ้านย่อยบ้านกูวิง ม.6 ต.บาโล๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่ง พันโทชลัช ศรีวิเชียร ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพื้นที่ ตามที่ได้ข้อมูลจากการสอบปากคำลาหริ สาและ


โดยภายหลังเจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ในสวนยางพารา ก็พบร่องรอยของการขุดดินฝั่งกลบจำนวน 3 จุด จึงได้ทำการขุดเพื่อตรวจสอบ ก็พบอาวุธปืน HK 33 จำนวน 4 กระบอก ถูกบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีดำฝังดินไว้ โดยจากการรวบรวมหลักฐานที่ขุดพบจากทั้ง 3 จุด ก็มีอาวุธปืน HK33 จำนวน 4 กระบอก กระสุนปืนอีกกว่า 300 นัด เสื้อกั๊กบรรจุซองกระสุนอีก 4 ตัว ซองกระสุนอีก 20 ซอง จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หา จ.ยะลา ทราบ พร้อมกับขอกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา และชุดพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอาวุธปืน และสิ่งของที่ตรวจยึดได้


โดยจากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า อาวุธปืน HK 33 หมายเลข 225952 สูญหายจากเหตุการณ์คนร้ายซุ่มยิง เจ้าหน้าที่ทหารพราน ชุด นพส.47 -3 ขณะเดินทางกลับจากละหมาดที่มัสยิดตาเซะ บ.ตาเซะ ม.3 ต.ตาเซะ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อปี 2552 ปืน HK 33 หมายเลข 050769 เป็นของ ฐานปฏิบัติการคุ้มครองตำบลบาโร๊ะ ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา ถูกคนร้ายปล้นไปจากฐานปฏิบัติการคุ้มครองตำบลบาโร๊ะ เมื่อ 31 ก.ค.58 และปืน HK 33 หมายเลข 224778 ตรวจสอบพบว่าเป็นปืนของ สำนักงานอุทธยานแห่งชาติบางลาง หายเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.45 ส่วนอีก 1 กระบอก ยังไม่พบข้อมูลต่อมาในเวลา 15.00 น.เจ้าหน้าที่ได้พบปืนเล็กยาว AK-47 และปืนลูกซองเพิ่มเติมอีก 2 กระบอก


โดยภายหลัง พลตรีสุภโชค ธวัชพีระชัย ผู้การหน่วยเฉพาะกิจยะลา ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุเปิดเผย พร้อมกับเปิดเผยว่าการปฏิบัติการดังกล่าวเป็นไปตามแผนปฏิบัติการดุซงซูแง 1 ในการปิดล้อมพื้นที่ติดตามตัวบุคคลเป้าหมาย และสามารถขยายผลจนตรวจสอบพบอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ และถูกลักขโมยมาจากหน่วยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมาย และเร่งดำเนินการตรวจสอบอาวุธปืนอย่างละเอียดอีกครั้ง