“ก๊ะเจ๊าะแจ๊ะ”
เรื่องที่ 1 ... สิทธิ์ของเด็กๆ!!!
เคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไม?? นักสิทธิมนุษยชนและสื่อออนไลน์บางสื่อในพื้นที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องออกมาต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก ในการที่ทหารได้เข้าไปดำเนินกิจกรรม
ในสถาน ศึกษา โดยอ้างว่าอาจเป็นการละเมิดสิทธิในเด็ก และได้ตั้งข้อสังเกตมากมาย ทั้งๆที่……
ในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษ
ทหารสวมเครื่องแบบสามารถนำพาอาวุธไปมาโดยเปิดเผยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งเครื่องแบบและการจับถืออาวุธโดยเปิดเผย
ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ชื่ออะไร มาจากหน่วยไหน ใช้ยานพาหนะและปืนอะไรเป็นอาวุธประจำกาย ซึ่งหากมีใครสงสัยก็สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย
การที่ทหารต้องนำพาอาวุธไปด้วย
ก็เพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยของ ครู นักเรียน ตลอดจนสถานศึกษาและตัวของทหารเองเป็นหลัก
โดยเฉพาะในเรื่องของการป้องปรามผู้ก่อเหตุ
ซึ่งที่ผ่านมา การเกิดเหตุร้ายกับ ครู นักเรียน และโรงเรียนในพื้นที่
เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ในวงกว้าง และเจ้าหน้าที่ก็พยายามป้องกันอย่างเต็มที่
ซึ่งในภายหลังทหารได้มีการปรับเปลี่ยน
ให้นำพาอาวุธไปเฉพาะทหารที่รักษาความปลอดภัยอยู่ภายนอกอาคารเท่านั้น
โดยที่ผู้เข้าไปดำเนินกิจกรรมกับนักเรียนโดยตรงไม่ได้นำอาวุธติดตัวไปด้วย
การจัดหาสิ่งของอุปกรณ์ประกอบการดำเนินกิจกรรม
ก็มิได้ใช้งบประมาณของสถานศึกษา แต่ใช้งบประมาณของหน่วยต้นสังกัดของทหารเอง ที่ต้องจัดซื้อ
มาจัดทำกันเอง และช่วงเวลาการดำเนินกิจกรรมก็ไม่ได้กระทบกับชั่วโมงเรียนของเด็กๆ
การเข้าไปดำเนินกิจกรรมในสถานศึกษาของทหาร
ทั้งผู้นำในพื้นที่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน
ชมรมโต๊ะอิหม่ามในพื้นที่ก็เห็นด้วยและให้การสนับสนุน ตลอดจนคำแนะนำแก่ชุดของทหาร ที่เข้าไปดำเนินกิจกรรมเป็นอย่างดี
จากการเข้าไปสังเกต
เนื้อหา และวิธีการดำเนินกิจกรรม ก็ไม่ได้ขัดกับหลักศาสนา หรือ หรือเข้าข่ายจะเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กแต่อย่างใด
แต่เน้นไปที่กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน สอดแทรกอุดมการณ์ ความรักในชาติและสถาบัน
เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วม เท่าที่เห็นเด็กๆรู้สึกสนุกสนาน ด้วยซ้ำไป แม้ว่าครั้งแรกๆ
เด็กบางคนจะเขินอายอยู่บ้างก็ตาม
หากมองโดยรวมจะเห็นว่า
การดำเนินกิจกรรมของทหาร เป็นการช่วยป้องกันสิทธิของเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยเฉพาะ ในด้านสิทธิหลักๆ
ของเด็กถึง 3 ด้าน ด้วยซ้ำไป ซึ่งถ้าหากไม่เคยเห็นการดำเนินกิจกรรมของทหารด้วยตาของตนเอง
ไม่ลงรายละเอียดของกฎหมายระหว่างประเทศที่นักสิทธิและสื่อบางคน ได้นำแต่ชื่ออนุสัญญามากล่าวอ้าง ก็อาจคิดเข้าข้างนักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ด้วยซ้ำไป
เรื่องที่ 2 ... ตั้งข้อหาปอเนาะบากงพิทยาสนับสนุนการก่อการร้าย
# พบส่อทุจริตงบประมาณหลายล้านบาท
# พบส่อทุจริตงบประมาณหลายล้านบาท
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า
นักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ ก็รับงานมาอีกทีจากกลุ่มผู้บงการตัวจริง ที่ใช้สถานศึกษาบิดเบือนหลักศาสนา
และประวัติศาสตร์ เสี้ยมสอนสร้างโจรใต้รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ต่อไป
เมื่อ 23 ก.พ.61 ได้มีการแถลงความคืบหน้าการติดตามจับกุม
โจรใต้รายสำคัญโดยเฉพาะ นายสาลาฮูดิง ลาเตะ และ นายมาหามะ เจ๊ะและ พร้อมพวก รวม 9
คน ที่หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี โดย มีการเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเพื่อขยายผลการจับกุม
นำไปสู่การตรวจค้นในพื้นที่ และได้พบอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากถูกฝังไว้ในพื้นดิน
ภายในพื้นที่ป่า ใน ต.บางเขา อ.หนองจิก จว.ปัตตานี และยังพบเอกสารปลุกระดมมวลชน
เอกสารการฝึกชุดปฏิบัติการขนาดเล็ก หรือ RKK รวมไปถึงบันทึกการประชุมเกี่ยวกับการต่อสู้ทางยุทธศาสตร์ของกองทัพรัฐปัตตานี
จำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดพบว่า เป็นเอกสารสำหรับขับเคลื่อนการต่อสู้
เพื่อต่อต้านรัฐและที่สำคัญผู้ต้องสงสัยสารภาพว่า กลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ทั้งที่มีหมายจับอยู่แล้ว และกลุ่มแนวร่วม ได้แฝงตัวในหมู่บ้านหลายแห่งใน
ต.บางเขา อ.หนองจิก จว.ปัตตานี เพื่อเข้าไปทำการฝึกชุดปฏิบัติการขนาดเล็ก
หรือ RKK ในโรงเรียนบ้านบากงพิทยา
เจ้าหน้าที่ จึงได้ตัดสินใจเข้าทำการตรวจค้น ปรากฏว่า
พบเอกสารสำคัญ และ วัตถุพยานที่น่าเชื่อว่า เกี่ยวข้องต่อการก่อเหตุรุนแรง หลายรายการ
สอดคล้องกับคำให้การของผู้ต้องสงสัยสำหรับ
หลักฐานที่ยึดได้เป็นเอกสารที่มีเนื้อหาบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนต่างศาสนา
เอกสารต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ และเอกสารบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องที่ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินของ
โรงเรียนญีฮัดวิทยา ให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
โดยเอกสารดังกล่าวเป็นภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ ยังได้ยึดถังแก๊ส ถังดับเพลิง ปุ๋ยยูเรีย และเครื่องมือขุดเจาะหลุมระเบิดใต้ถนน ซึ่งจะได้นำไปทำการตรวจสอบในทางนิติวิทยาศาสตร์ ว่าจะตรงกันกับหลักฐานเชื่อมโยงกับบุคคล
หรือคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้านี้หรือไม่
เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบ หลักฐานสำคัญที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตงบประมาณของรัฐ
ในโครงการอุดหนุนรายหัวนักเรียน และค่าตอบแทนครู รวมทั้ง เงินเสี่ยงภัย
เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ และสวัสดิการอื่นๆ ของครู รวมไปจนถึงค่าอาหารกลางวัน และอุปกรณ์การเรียนของนักเรียน โดยพบว่า
โรงเรียนบากงพิทยา ได้รับเงินอุดหนุนปีละประมาณ 33 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นค่าตอบแทนรายเดือนของครู จำนวน 17 ล้านบาท
จากรายชื่อครู จำนวน 121 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินความจริงถึง
76 คน หรือคิดเป็นงบประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าอาจจะมีการทุจริตอื่นๆ อีก เช่น เงินอุดหนุนการศึกษาของรัฐในโครงการเรียนฟรี
15 ปี และที่ยังพบว่าครูสอนศาสนาบางคนมีพฤติกรรมให้การสนับสนุน
และอบรมแนวคิดอิสลามในแนวทางที่รุนแรงด้วย
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า
นักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ ก็รับงานมาอีกทีจากกลุ่มผู้บงการตัวจริง
ที่ใช้สถานศึกษาบิดเบือนหลักศาสนา และประวัติศาสตร์ เสี้ยมสอนเด็กๆ
เพื่อสร้างโจรใต้รุ่นใหม่ๆ ให้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ต่อไป
การถูกทุบทุบกล่องดวงใจในครั้งนี้ จึงต้องสร้างเหตุก่อกวนเพื่อตอบโต้ กลบความจริง และถือโอกาสแสดงถึงความมีตัวตน
ของขบวนการ ในโอกาสที่คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม
หรือ OIC จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย
ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีกำหนดเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อปลายปี 2559 แกนนำของขบวนการ ในนาม MARA Patani ก็ได้เข้าพบปะเลขาฯ OIC ระหว่างเยือนมาเลย์
ด้วยหวังให้ OIC สนับสนุนแต่ต้องผิดหวัง เพราะ OIC แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการเรียกร้องเอกราช และไม่ใช่วัตถุประสงค์ของ OIC
จนทำให้ MARA Patani
ต้องแก้เก้อ ด้วยการออกแถลงการณ์ตามหลังว่า OIC ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพูดคุย
และในช่วงที่ใกล้จะปิดเทอมนี้
ซึ่งมักจะมีการเข้าค่ายอบรมนอกสถานที่ ของโรงเรียนต่างๆ โอกาสเช่นนี้ ผู้ปกครอง
ผู้บริหารสถานศึกษา และเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยกันป้องกันเยาวชนของเรา
ให้พ้นจากการถูกชักจูง มอมเมา ปลุกระดม ซึ่งเป็นละเมิดสิทธิในเด็กแบบไร้ร่องรอย
ด้วยการบิดเบือนหลักคำสอน
และประวัติศาสตร์ เกลี้ยกล่อมเยาวชน บุตรหลานของเราให้ออกจากหนทางที่ถูกต้อง
ซึ่งโจรร้ายในพื้นที่ยังกระทำอยู่…….
--------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น