"กะ กันดา"
ฉันเติบโตมาท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิด
เสียงไซเรนของรถกู้ภัยมูลนิธิและรถพยาบาลวิ่งกันขวักไขว่
ความโกลาหลของผู้คนหลังสิ้นเสียงระเบิดและเสียงปืน ต่างถามหาคนในครอบครัวบุคคลอันเป็นที่รักว่าได้รับภัยอันตรายหรือไม่
คราใดที่คนใกล้ชิดหรือบุคคลที่เรารู้จักได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ใจฉันหวั่นไหว!!
กลัวเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับคนอื่นจะเกิดกับครอบครัวอันเป็นที่รักของฉัน
ก่อนนอนทุกคืน..
ตื่นนอนเช้ามาทุกวันฉันได้แต่ภาวนา วันนี้ขออย่าได้มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย
ตั้งแต่ฉันจำความได้ เหตุเกิดเมื่อต้นปี 47 ซึ่งในตอนนั้นฉันอายุแค่ 7 ขวบ พอจะรับรู้เรื่องราวต่างๆ
ที่พ่อแม่เล่าให้ฉันฟังแต่ฉันยังไม่รู้สึกกลัวอาจจะยังเป็นเด็ก
จนกระทั่งปัจจุบันนี้ฉันอายุ 21 ปีแล้วกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานี
ได้ซึมซับรับรู้ถึงความรุนแรงที่อยู่รอบๆ ตัวเราและเกิดขึ้นกับคนรอบข้างซึ่งจะเกิดตอนไหนเวลาใดก็ได้
โดยไม่เลือกเป้าหมายว่าจะต้องเป็นไทยพุทธหรือไทยมุสลิมอีกทั้งยังไม่เว้นสถานที่แม้แต่กุโบร์สถานที่ฝังศพ
ฝังร่างบรรพชนก็ยังทำลาย
ตลอดระยะเวลา
14 ปีของสถานการณ์
ครอบครัวของฉันต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ท่ามกลางควันปืนและเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการยัดเยียดให้ของกลุ่มขบวนการ
ครอบครัวแล้วครอบครัวเล่าที่อยู่ในหมู่บ้านของฉัน
ซึ่งเราได้รู้จักมักคุ้นกันมาได้ย้ายหนีไปตั้งรกรากยังที่อื่น
ฉันเคยถามพ่อและแม่ว่าทำไมไม่ย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นเหมือนเค้าบ้าง พ่อแม่ได้แต่นิ่งมองตาฉัน
ก่อนที่จะเดินมาหาฉันแล้วประคองกอดและลูบหัวฉันเบาๆ พ่อบอกฉันว่า "เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ปู่ย่าตายาย เราเกิดและเติบโตที่นี่และตายที่นี่แล้วจะให้เราย้ายหนีไปไหน? เพราะที่นี่คือบ้านของเรา
" ฉันได้แต่เก็บคำตอบของพ่อมาคิด ก็จริงอย่างที่พ่อพูดแล้วเราจะย้ายหนีไปทำไม?
ซึ่งอีกไม่นานสันติสุขจะกลับคืนมาแล้ว ซึ่งฉันได้แต่ตั้งตารอด้วยความหวัง
ทุกวันนี้ฉันจึงมีความพอใจและภูมิใจที่จะอยู่อาศัยในผืนแผ่นดินนี้
แผ่นดินที่ฉันเกิด และไม่คิดรบเร้าให้พ่อแม่พาฉันย้ายหนีไปจากพื้นที่นี้อีกเลย ขณะเดียวกันจากที่ฉันได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ
หลายคนในมหาวิทยาลัย ทุกคนต่างรักบ้านเกิด มีความผูกพันดินแดนแห่งนี้ ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความเสี่ยง
ต้องทุกข์ทนรับรู้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่เว้นวัน ขณะเดียวกันในกลุ่มฉันและเพื่อนซึ่งมีหัวอกเดียวกันต่างรู้สึกว่า
"ถูกซ้อมทรมานทางจิตใจ
" จากกลุ่มขบวนการ และ NGOs จากที่เราเคยสนุกสนาน
วิ่งเล่นกันตอนเป็นเด็ก อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข กลับมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ยัดเยียดความทุกข์ให้โดยไม่เคยถามฉันหรือเพื่อนของฉันสักคำว่าต้องการหรือไม่?
ส่วน NGOs ในสายตาฉัน หลายครั้งมาจัดกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่ฉันศึกษาอยู่
แรกๆ ฉันไม่ได้สนใจและใส่ใจสักเท่าไหร่
แต่ในระยะหลังเห็นมาจัดกิจกรรมถี่ขึ้นมีการเกณฑ์นักศึกษา และชาวบ้านเข้าร่วม
ซึ่งตัวฉันไม่เคยเข้าร่วมหรอก จะมีแต่เพื่อนฉันมาเล่าให้ฟังในกลุ่ม
มีการพูดถึงบุคคลที่สามในทางเสียๆ หายๆ พร้อมกับโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ โจมตีรัฐบาล
โจมตีโครงการต่างๆ ที่รัฐอนุมัติลงมาเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องของฉัน
มีการกล่าวหาโน่นนี่ ซึ่งฉันได้แต่เพียงรับฟัง เพื่อนๆ
ฉันต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า คราวหน้าจะไม่ขอเสียเวลาไปนั่งฟังกับเรื่องไร้สาระที่กลุ่ม
NGOs จัดขึ้นอีกเป็นเด็ดขาด
ฉันและกลุ่มเพื่อนชอบติดตามข่าวสารที่เกิดขึ้นในพื้นที่ปาตานีในเฟสบุ๊ค
ซึ่งดูผ่านโทรศัพท์มีความสะดวกรวดเร็วและเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีอยู่หลายครั้งที่ฉันเห็นการเคลื่อนไหวของ
NGOs บางกลุ่ม
ซึ่งเป็นจริงอย่างที่เพื่อนๆ เล่าให้ฉันฟัง ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า NGOs กลุ่มนี้เป็นใคร? และมาจากไหน? ไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนอ้วนๆ
ผิวคล้ำๆ ที่ชื่อ "อัญชนา หีมมิหน๊ะ" ที่ชอบด่าว่าเจ้าหน้าที่รัฐ
ฟังจากสำเนียงไม่ใช่คนบ้านฉันแน่นอน เห็นเขาทุ่มเท อยากรู้เขาทำกิจกรรมแล้วได้อะไร?
มีเงินเดือน มีค่าจ้างหรือค่าตอบแทนบ้างมั๊ย!!
หรือทำด้วยใจเหมือนชื่อองค์กรของเค้า หากทำด้วยใจจริงๆ ฉันขอเคารพนับถือและยกย่อง
แต่นั่นแหละความคิดแว๊บในใจ ยังมีหรือคนประเภทนี้ในสังคมของเราอยู่อีกหรือ!! ฉันได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ และขอตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าสักวันจะหาคำตอบให้ได้
แต่ที่อยากจะขอในวันนี้ไปยัง NGOs และกลุ่มขบวนการ
เป็นสิ่งที่ฉันและเพื่อนๆ ต้องการคือ "หยุดซ้อมทรมานฉันเสียที" เพราะตลอดระยะเวลา
14 ปีที่ผ่านมายังไม่พออีกหรือ!! สงสารฉัน เพื่อนๆฉัน
และประชาชนตาดำๆ ด้วยเถอะ!!
----------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น