‘แบดิง โกตาบารู’
“ผมไปมาแล้ว
ปอเนาะญีฮาด เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมรับรู้ได้ว่า
แม้ศาลจะตัดสินอย่างยุติธรรมให้ริบทรัพย์ที่ดินปอเนาะให้เป็นของแผ่นดิน
แต่ความสูญเสียมากมายที่ครอบครัวแวมะนอได้รับนั้นก็สร้างความสะเทือนใจและเกิดความรู้สึกเห็นใจของผู้คนในพื้นที่อย่างมาก
การจัดงานกินข้าวยำเพื่อหาทุนซื้อที่ดินสร้างปอเนาะหลังใหม่ในวันนี้
ซึ่งได้รับการตอบรับมาร่วมงานให้กำลังใจอย่างล้นหลามหลายหมื่นคน
สะท้อนถึงความรู้สึกไม่เป็นธรรมของคนพื้นที่ในความเป็นธรรมของรัฐไทย”
สำหรับผมในสายตาคนพุทธคนหนึ่ง
นี่คือกระบวนการแสดงออกอย่างสันติวิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของแผ่นดินไทย และนี่ก็คือกระบวนการอารยะขัดขืนอย่างสงบที่สุดครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
อำนาจรัฐแสดงออกด้วยปืนด้วยกองทัพด้วยศาลด้วยตำรวจ ขอรัฐไทยอย่ามองปรากฏการณ์นี้เป็นอื่น
ขอให้มองว่านี่คือการแสดงออกอย่างสันติที่สุด สำหรับผม
นี่คือการอารยะขัดขืนที่งดงามที่สุดเท่าที่ชีวิตผมเคยพบเห็นมา
นั่นคือข้อความบางส่วนที่ผู้ใช้เฟสบุ๊ค: Supat
Hasuwannakit ได้ทำการโพสต์ภาพพร้อมข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว
ได้กลับกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในวันที่มีการกินข้าวยำที่ปอเนาะญิฮาด
ผู้เขียนชักเอะใจในทันทีเมื่อสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะเครือข่ายแนวร่วมกลุ่มขบวนการมีการแชร์ภาพพร้อมข้อความกันมากมาย“ผมไปมาแล้ว ปอเนาะญิฮาด
เมื่อเดือนที่ผ่านมา”ของผู้ใช้เฟสบุ๊ค: Supat
Hasuwannakit ซึ่งได้ทำการโพต์ในเครือข่ายเมื่อวันที่ 19 มี.ค.59
เวลา 19.10 น. และในต่อมาเวลา 23.47 น. วันเดียวกันได้มีการเผยแพร่ในเว็บไซต์ deepsouthwatch.org
ผู้เขียนชักสงสัย
Supat
Hasuwannakit ท่านนี้เป็นใครมาจากไหน
จึงได้เป็นพระเจ้าในชั่วข้ามคืนในสายตาของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เมื่อเข้าไปดูในเฟสบุ๊คถึงบางอ้อ
ผู้ใช้เฟสบุ๊ค: Supat
Hasuwannakit ท่านนี้เคยศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลา เป็นชาวไทยพุทธ ประกอบอาชีพเป็นหมอ และเป็นหนึ่ง NGOs
ที่ร่วมคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และจากการวิเคราะห์ข้อความที่ทำการโพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว
“มากรุงเทพ พาลูกชายมาสอบแข่งขัน เลยแวะมาตามหา
"รัฐธรรมนูญที่หายไป" และ “นาหม่อม
อำเภอที่ควรเป็นปอดของสงขลา เพราะมีเขามีน้ำ มีนามีสวน แต่ในแผนผังการพัฒนา
เนินพิจิตรจะเป็นพื้นที่รถไฟรางคู่ผ่านและอาจเป็นที่สร้างโรงงานมากมายตามมา”
นั้นแสดงให้เห็นว่านอกจากประกอบอาชีพเป็นหมอแล้ว
หมอท่านนี้ยังเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยง เป็น NGOs และไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจของ
คสช. นั่นคือสิทธิของประชาชนคนไทยทุกคนย่อมที่มีความคิดต่างในเรื่องต่างๆ
แต่มาสะดุดตรงที่การแสดงความคิดเห็นกรณีศาลยึดที่ดินปอเนาะให้เป็นของแผ่นดิน
แต่ความสูญเสียมากมายที่ครอบครัวแวมะนอได้รับนั้นก็สร้างความสะเทือนใจและเกิดความรู้สึกเห็นใจของผู้คนในพื้นที่อย่างมาก
การจัดงานกินข้าวยำเพื่อหาทุนซื้อที่ดินสร้างปอเนาะหลังใหม่ อารยะขัดขืนอย่างสงบที่สุดครั้งสำคัญที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
แล้วชีวิตของประชาชนชาวไทยพุทธ
และผู้บริสุทธิ์ที่ตายจากน้ำมือซึ่งเป็นผลผลิตของปอเนาะญีฮาดล่ะ!! กี่ศพ กี่ครอบครัว
ที่สมาชิกต้องตายจากไปหรือไม่ต้องมาพิการทนทุกข์ทรมานเหมือนตายทั้งเป็น
หมอสุพัฒน์ในฐานะชาวไทยพุทธคนหนึ่งเคยเห็นความสำคัญของผู้สูญเสียกลุ่มนี้บ้างมั๊ย!!มองไม่เห็นไม่เป็นไร..แต่กลับออกมาเรียกร้องให้สังคมสงสาร“ครอบครัวแวมะนอ”นี่สิ!!
ในความเป็นจริงแล้วลึกๆ
คุณหมอสุพัฒน์ อาจจะรู้อะไรบางอย่างแต่แสร้งไม่รู้เนื่องจากอยู่ในเครือข่าย NGOs ที่ประสานความร่วมมือกับกลุ่มนักศึกษา PerMAS กลุ่ม LAMPAR
และองค์กรภาคประชาสังคมอีกหลายองค์ในการขับเคลื่อนคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
หากไม่รู้ผู้เขียนจะให้ข้อมูลหมอจะได้รู้เท่าทันไม่ให้หมอถูกหลอกใช้
ทำไม? ไม่มีการอุทธรณ์ที่ดินปอเนาะญิฮาด เป็นเกมการเมืองเรียกร้องความสงสารจากสังคมกล่าวหารัฐกลั่นแกล้ง
“ครอบครัวแวมะนอ” ของกลุ่มขบวนการแนวร่วมที่ได้วางหมากเอาไว้แล้ว
เริ่มต้นตั้งแต่ยื้อเวลาในการอุทธรณ์ออกไปแล้วสรุปไม่อุทธรณ์แล้วมา โฆษณาชวนเชื่อว่าถึงต่อสู้ไปก็ไม่ชนะ
หลังจากนั้นรีบย้ายออกจากที่ดินปอเนาะญิฮาดไปอาศัยมัสยิดท่าด่านเรียกคะแนนสงสารไปแบบเต็มๆ
มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือครอบครัวโรงเรียนปอเนาะญิฮาดวิทยา
โดยไม่สนใจใยดีที่หน่วยงานรัฐพยายามหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือ
จนในที่สุดมีการกำหนดจัดงานระดมทุนช่วยเหลือครอบครัวปอเนาะญิฮาดและเพื่อการพัฒนาชุมชนท่าด่านขึ้นเมื่อวันที่
19 มี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งหมดเป็นแผนการชิงการนำทางการเมืองโดยกลุ่มนักศึกษา
PerMAS
กลุ่ม LAMPAR ของนายตูแวดานียา ตูแวแมแง มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม และ นางชลดา
ทาเจริญศักดิ์ ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชน
มีการดึงกลุ่มมุสลิมจากต่างประเทศมาร่วมงาน
และมีความพยายามชี้ให้ประชาชนเห็นว่าศาลไทยไม่มีความยุติธรรม
ขอแสดงความยินดีที่ยอดการรับบริจาคการกินข้าวยำของศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือครอบครัวโรงเรียนปอเนาะญิฮาดวิทยา
ได้บรรลุไปตามเป้าที่ได้วางเอาไว้ เพื่อสนองตอบความต้องการของชุมชน และร่วมสืบทอดเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งปอเนาะญิฮาด
ที่สำคัญอยากจะเห็นปอเนาะต้นแบบที่ไม่ให้กลุ่มขบวนการใช้เป็นแหล่งฝึกคอมมานโดเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา
--------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น