เมื่อวันที่ 5-7 เมษายน 2560 “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม” (The Grand Mufti of Egypt) หรือผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย – อียิปต์ รวมถึงการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมลงพื้นที่สัมผัสวิถีชีวิตพุทธ-มุสลิม
และล่าสุดเมื่อ 25 เมษายน 2560 ฮาบีบ
อาลี หรือ Habib
Ali Zainal Abidin Al-Kaff ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา
นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนศาสนา
และเป็นส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมิติศาสนา
และประชาสัมพันธ์บอกกล่าวผ่านคำบรรยายให้กับกลุ่มประเทศมุสลิม
ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ทั้งนี้
ฮาบีบ อาลี ชื่นชมไทยใช้หลักศาสนาแก้ปัญหาเยาวชน
การเดินทางมาของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม
คณะ OIC
ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ หรือแม้กระทั่งผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา
นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.)
ในหลายโอกาสที่คณะเหล่านั้นได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเรา
ได้รับรู้ปัญหาและสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กลับพบว่าเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย
และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขทั้งชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน
ซึ่งจากการเดินทางมาของ“แกรนด์ ดร.ชัคกี
อัลแลม”ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ ได้นำปรัชญาและหลักคำสอนมาเผยแพร่ให้กับพี่น้องผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ในพื้นที่ จชต.ตามหลักคำสอนศาสนาอิสลามที่ถูกต้องดั้งเดิม และแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
(peaceful
coexistence)
“แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม”ได้กล่าวเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อีกทั้งยังมั่นใจรัฐบาลไทยต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เดินมาถูกทางแล้ว
ในส่วนของท่าน ฮาบีบ อาลี หรือ Habib Ali
Zainal Abidin Al-Kaff ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา
นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซีย กล่าวชื่นชมไทยที่ใช้หลักศาสนาแก้ปัญหาเยาวชน
เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้นำศาสนา
และผู้นำชุมชนร่วมกันสร้างชุมชนศรัทธา (กำปงตักวา) ตามแนวทางของศาสดา
ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง อีกทั้งมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
รวมทั้งรัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการศึกษาทั้งทางด้านศาสนา
และวิชาสามัญควบคู่กันไป ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน ประชาชน
ให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญการที่รัฐบาลไทยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ทุกเชื้อชาติ ศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข นับเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข
ซึ่งในสมัยท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด ซ.ล.
บางกลุ่มที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามก็ยังอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
และอยู่ด้วยกันด้วยความเคารพ ให้ความปลอดภัยต่อศาสนานั้นด้วย
โดยทุกศาสนาจะเท่าเทียมกัน เคารพซึ่งกันและกัน
ทุกครั้งที่บุคคลสำคัญทางศาสนาอิสลามได้มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้
ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่
ต่างได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญ
และความเท่าเทียมของผู้คน ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติและศาสนา
โดยเฉพาะต่อพี่น้องประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลาม
รัฐบาลมิได้ขัดขวางหรือกีดกันในการประกอบศาสนกิจแต่อย่างใด
มีแต่สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาไม่ว่าการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการทำอุมเราะห์
แถมยังส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาดีกว่าประเทศอิสลามบางประเทศด้วยซ้ำ
จากการโฆษณาชวนเชื่อของบุคคลบางกลุ่มได้การกล่าวหารัฐบาลไทยกีดกันการนับถือศาสนา
และ ไม่ได้รับความเท่าเทียมในสังคม มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
นำประเด็นในเรื่องศาสนาซึ่งมีความละเอียดอ่อนต่อความคิดความเชื่อเป็นเครื่องมือ
ปลุกกระแสให้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการทำญีฮาด ซึ่งจากการที่ “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม”
ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ และฮาบีฟหนุ่ม ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา
นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซียที่มาเยือน จชต.กลับพบว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทย
ไม่ได้ขัดขวางพี่น้องมุสลิมในการนับถือศาสนาด้วยซ้ำ และไม่เข้าเงื่อนไขการปลุกกระแสให้ให้มีการญีฮาดแต่ประการใด.
----------------------------