2/27/2561

กำลังใจจากปัตตานีถึงบางกอก.....ที่หลอกลวง!!!

“ก๊ะเจ๊าะแจ๊ะ”
วิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลุ่มติดอาวุธได้ปรับเปลี่ยนวิธีการในการก่อเหตุ   ในขณะที่ปีกด้านการเมืองก็ต้องแสวงหาพันธมิตรจากซีแย ต้นเหตุของการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเหล่านี้ล้วน  มาจากความรู้สึกของประชาชนที่สุดจะทนกับพฤติกรรมของกลุ่มโจร ซึ่งถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงวิธีการก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จ และนี่จึงเป็นศักยภาพ ณ เวลานี้ของขบวนการ

หากวิเคราะห์จากวิธีการก่อเหตุของกลุ่มโจรในพื้นที่ เช่นเผารถบัสโดยที่ช่วยขนกระเป๋าของผู้โดยสารลงให้ด้วย การที่ต้องใช้วัตถุระเบิดแสวงเครื่องในขวดน้ำดื่มของจักรยาน หรือ กระเป๋าเงิน และล่าสุดก่อเหตุก่อกวนพร้อมกัน 12 จุดใน 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ลดลงของกลุ่มโจรอย่างเห็นได้ชัด  อย่างไรก็ตามวิธีการทางทหารและกลุ่มโจร ย่อมไม่ใช่หนทางอีกทั้งเครื่องมือหลักของขบวนการแต่อย่างใด เฉพาะยิ่งการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่โดยไม่เลือกเป้าหมายในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ยอมรับ เอือมระอาและสุดเบื่อหน่ายซึ่งเป็นสัญญาณของความพ่ายแพ้ทางการเมือง ยิ่งช่วยตอกย้ำว่าที่ผ่านมาสิ่งที่กลุ่มโจรทำนั้น ไม่ตอบโจทก์ทางยุทธศาสตร์เป็นความผิดพลาดทางยุทธวิธี  ทั้งยังผลักให้เอกราชที่เรียกร้อง ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้าย ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

การที่ IGOs และ NGOs ไม่ให้ค่ากับขบวนการแม้กระทั่งองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ที่เป็นองค์การระหว่างรัฐบาลที่สำคัญที่สุดของโลกมุสลิม  ก็ไม่สนับสนุนการประกาศเอกราชของขบวนการ จึงต้องหวังพึ่ง CSOs สื่อและนักสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ ตลอดจนทีมงานการเมืองระดับเยาวชน ที่ต้องถูกผลักออกมาแอ๊คชั่น เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องมวลชนถดถอยในพื้นที่แทน

และการเคลื่อนไหวหนึ่งทางการเมืองของแกนนำระดับเยาวชน ที่ได้ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเพื่อหวังการสนับสนุนจากมวลชนนอกพื้นที่ โดยเชื่อมความเคลื่อนไหวกับแกนนำเยาวชนนอกพื้นที่ นำเอาวาทกรรมทางการเมือง ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร มาขยายปมจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ฉวยโอกาส ชูประเด็นความเป็นประชาธิปไตยร่วมกับกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เรียกร้องความสนใจจาก IGOs และ NGOs และประเทศมหาอำนาจ ให้หันมามองหวังอาศัยสถานการณ์ เพื่อยกระดับ ผลักตัวเองไปสู่จุดที่ต้องการ โดยล่าสุดจับมือกับแกนนำเยาวชนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการเลือกตั้ง ประกาศเอาความเป็นประชาธิปไตยของชาติเป็นสิ่งเดียวกันกับเอกราชของปัตตานี  แสดงความปลิ้นปล้อนทางวาทะที่ซ่อนนัยยะการไม่ยอมรับความเป็นรัฐชาติเดียวกันกับคนส่วนใหญ่ ย้อนยุคไปเกือบสามร้อยปี สมัยปัตตานีกับบางกอก  ฉวยโอกาสในขณะที่สังคมห่างเหินการเลือกตั้ง และอยากเห็นความเป็นประชาธิปไตย อยากได้ผู้แทนและผู้ปกครองที่ยึดโยงกับประชาชน ปีกการเมืองแนวร่วมโจรใต้มองเห็นเป็นโอกาส ได้คิดเป้าหมายไปไกล และใหญ่กว่าคนอยากเลือกตั้ง เชื่อมสายสัมพันธ์ในระดับเยาวชน หวังเกาะกระแสสังคมไปสู่เป้าหมายคือเอกราชโดยใช้คำว่าสันติภาพซ่อนพรางไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายของแนวร่วมนี้ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเมื่อได้รู้ความจริงก็คงรับไม่ได้เช่นกัน ยิ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ยินยอมอย่างแน่นอน  ถอนตัวออกมาจากกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนเสียเถิด หากยังร่วมมือกับกลุ่มโจรใต้ต่อไปคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของเยาวชน นักศึกษาที่หลงผิดเหล่านี้  วิญญาณทหารหาญ และบรรพชนที่สละชีวิต เพื่อปกป้องแผ่นดินนี้ไว้ คงสาปแช่งและไม่ให้อภัย ....... ถอยออกมาก่อนที่จะถลำลึกไปกว่านี้ ก่อนที่จะถูกลงโทษและโดดเดี่ยวจากสังคม จะพลอยให้คนรอบข้างและครอบครัวไม่มีที่ยืน ซึ่งเชื่อได้เลยว่ารัฐเองก็กำลังหาช่องทางในการดำเนินการทางกฎหมายกับปีกการเมือง ของแนวร่วมกลุ่มนี้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐจำเป็นต้องทำ เพื่อยืนยันถึงความเป็นนิติรัฐอย่างแน่นอน

ผู้เขียน ค่อนข้างเชื่อในพลังและเจตนาบริสุทธิ์ของเยาวชน นักศึกษา ว่าในช่วงของวัยนี้สมองกล้าที่จะวิพากษ์ ปากที่กล้าวิจารณ์ถึงความไม่ถูกต้องในความคิดตน และสองมือที่พร้อมจะอุทิศหยาดเหงื่อเพื่ออุดมการณ์ เพื่อต้องการพิสูจน์ตนเองสร้างการจดจำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น  แต่การร่วมมือกับปีกการเมืองของโจรใต้ทำร้ายพี่น้องร่วมชาติ  ทำลายแผ่นดินตนเองนั้น เป็นสิ่งที่ เยาวชน นิสิต นักศึกษา ของไทยในอดีต ไม่เคยกระทำ.....

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 

2/25/2561

3 เรื่องที่เชื่อมโยงกัน


“ก๊ะเจ๊าะแจ๊ะ”
เรื่องที่ 1 ... สิทธิ์ของเด็กๆ!!!
เคยสงสัยเหมือนกันว่า ทำไม?? นักสิทธิมนุษยชนและสื่อออนไลน์บางสื่อในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องออกมาต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก ในการที่ทหารได้เข้าไปดำเนินกิจกรรม ในสถาน ศึกษา โดยอ้างว่าอาจเป็นการละเมิดสิทธิในเด็ก  และได้ตั้งข้อสังเกตมากมาย ทั้งๆที่……

ในพื้นที่บังคับใช้กฎหมายพิเศษ ทหารสวมเครื่องแบบสามารถนำพาอาวุธไปมาโดยเปิดเผยได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งทั้งเครื่องแบบและการจับถืออาวุธโดยเปิดเผย ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า ชื่ออะไร มาจากหน่วยไหน ใช้ยานพาหนะและปืนอะไรเป็นอาวุธประจำกาย  ซึ่งหากมีใครสงสัยก็สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย

การที่ทหารต้องนำพาอาวุธไปด้วย ก็เพื่อใช้ในการรักษาความปลอดภัยของ ครู นักเรียน ตลอดจนสถานศึกษาและตัวของทหารเองเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องของการป้องปรามผู้ก่อเหตุ    ซึ่งที่ผ่านมา การเกิดเหตุร้ายกับ ครู นักเรียน และโรงเรียนในพื้นที่ เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ในวงกว้าง และเจ้าหน้าที่ก็พยายามป้องกันอย่างเต็มที่ ซึ่งในภายหลังทหารได้มีการปรับเปลี่ยน ให้นำพาอาวุธไปเฉพาะทหารที่รักษาความปลอดภัยอยู่ภายนอกอาคารเท่านั้น โดยที่ผู้เข้าไปดำเนินกิจกรรมกับนักเรียนโดยตรงไม่ได้นำอาวุธติดตัวไปด้วย

การจัดหาสิ่งของอุปกรณ์ประกอบการดำเนินกิจกรรม ก็มิได้ใช้งบประมาณของสถานศึกษา แต่ใช้งบประมาณของหน่วยต้นสังกัดของทหารเอง ที่ต้องจัดซื้อ มาจัดทำกันเอง  และช่วงเวลาการดำเนินกิจกรรมก็ไม่ได้กระทบกับชั่วโมงเรียนของเด็กๆ

การเข้าไปดำเนินกิจกรรมในสถานศึกษาของทหาร ทั้งผู้นำในพื้นที่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ชมรมโต๊ะอิหม่ามในพื้นที่ก็เห็นด้วยและให้การสนับสนุน ตลอดจนคำแนะนำแก่ชุดของทหาร ที่เข้าไปดำเนินกิจกรรมเป็นอย่างดี

จากการเข้าไปสังเกต เนื้อหา และวิธีการดำเนินกิจกรรม ก็ไม่ได้ขัดกับหลักศาสนา หรือ หรือเข้าข่ายจะเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กแต่อย่างใด แต่เน้นไปที่กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน สอดแทรกอุดมการณ์ ความรักในชาติและสถาบัน เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วม เท่าที่เห็นเด็กๆรู้สึกสนุกสนาน ด้วยซ้ำไป แม้ว่าครั้งแรกๆ เด็กบางคนจะเขินอายอยู่บ้างก็ตาม

หากมองโดยรวมจะเห็นว่า การดำเนินกิจกรรมของทหาร เป็นการช่วยป้องกันสิทธิของเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก โดยเฉพาะ ในด้านสิทธิหลักๆ ของเด็กถึง 3 ด้าน ด้วยซ้ำไป ซึ่งถ้าหากไม่เคยเห็นการดำเนินกิจกรรมของทหารด้วยตาของตนเอง ไม่ลงรายละเอียดของกฎหมายระหว่างประเทศที่นักสิทธิและสื่อบางคน ได้นำแต่ชื่ออนุสัญญามากล่าวอ้าง  ก็อาจคิดเข้าข้างนักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ด้วยซ้ำไป

เรื่องที่ 2 ... ตั้งข้อหาปอเนาะบากงพิทยาสนับสนุนการก่อการร้าย
              
# พบส่อทุจริตงบประมาณหลายล้านบาท

จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า นักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ ก็รับงานมาอีกทีจากกลุ่มผู้บงการตัวจริง ที่ใช้สถานศึกษาบิดเบือนหลักศาสนา และประวัติศาสตร์ เสี้ยมสอนสร้างโจรใต้รุ่นใหม่ๆ เพื่อให้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ต่อไป

เมื่อ 23 ก.พ.61  ได้มีการแถลงความคืบหน้าการติดตามจับกุม โจรใต้รายสำคัญโดยเฉพาะ นายสาลาฮูดิง ลาเตะ และ นายมาหามะ เจ๊ะและ พร้อมพวก รวม 9 คน ที่หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี  โดย มีการเปิดเผยว่า จากการสอบสวนเพื่อขยายผลการจับกุม นำไปสู่การตรวจค้นในพื้นที่ และได้พบอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากถูกฝังไว้ในพื้นดิน ภายในพื้นที่ป่า ใน ต.บางเขา อ.หนองจิก จว.ปัตตานี และยังพบเอกสารปลุกระดมมวลชน เอกสารการฝึกชุดปฏิบัติการขนาดเล็ก หรือ RKK รวมไปถึงบันทึกการประชุมเกี่ยวกับการต่อสู้ทางยุทธศาสตร์ของกองทัพรัฐปัตตานี จำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดพบว่า เป็นเอกสารสำหรับขับเคลื่อนการต่อสู้ เพื่อต่อต้านรัฐและที่สำคัญผู้ต้องสงสัยสารภาพว่า กลุ่มที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่  ทั้งที่มีหมายจับอยู่แล้ว และกลุ่มแนวร่วม ได้แฝงตัวในหมู่บ้านหลายแห่งใน ต.บางเขา อ.หนองจิก จว.ปัตตานี  เพื่อเข้าไปทำการฝึกชุดปฏิบัติการขนาดเล็ก หรือ RKK  ในโรงเรียนบ้านบากงพิทยา


เจ้าหน้าที่ จึงได้ตัดสินใจเข้าทำการตรวจค้น ปรากฏว่า พบเอกสารสำคัญ และ วัตถุพยานที่น่าเชื่อว่า เกี่ยวข้องต่อการก่อเหตุรุนแรง หลายรายการ  สอดคล้องกับคำให้การของผู้ต้องสงสัยสำหรับ หลักฐานที่ยึดได้เป็นเอกสารที่มีเนื้อหาบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนต่างศาสนา เอกสารต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ และเอกสารบิดเบือนข้อเท็จจริงในเรื่องที่ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินของ โรงเรียนญีฮัดวิทยา ให้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน โดยเอกสารดังกล่าวเป็นภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน  นอกจากนี้ ยังได้ยึดถังแก๊ส  ถังดับเพลิง ปุ๋ยยูเรีย  และเครื่องมือขุดเจาะหลุมระเบิดใต้ถนน  ซึ่งจะได้นำไปทำการตรวจสอบในทางนิติวิทยาศาสตร์ ว่าจะตรงกันกับหลักฐานเชื่อมโยงกับบุคคล หรือคนร้ายที่ก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้านี้หรือไม่

เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบ หลักฐานสำคัญที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตงบประมาณของรัฐ ในโครงการอุดหนุนรายหัวนักเรียน และค่าตอบแทนครู รวมทั้ง เงินเสี่ยงภัย เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ และสวัสดิการอื่นๆ ของครู  รวมไปจนถึงค่าอาหารกลางวัน และอุปกรณ์การเรียนของนักเรียน โดยพบว่า โรงเรียนบากงพิทยา ได้รับเงินอุดหนุนปีละประมาณ  33 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นค่าตอบแทนรายเดือนของครู  จำนวน 17 ล้านบาท จากรายชื่อครู จำนวน 121 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เกินความจริงถึง  76 คน  หรือคิดเป็นงบประมาณ  12  ล้านบาทต่อปี  และคาดว่าอาจจะมีการทุจริตอื่นๆ อีก เช่น เงินอุดหนุนการศึกษาของรัฐในโครงการเรียนฟรี 15 ปี  และที่ยังพบว่าครูสอนศาสนาบางคนมีพฤติกรรมให้การสนับสนุน และอบรมแนวคิดอิสลามในแนวทางที่รุนแรงด้วย

จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า นักสิทธิฯ และสื่อโจรในพื้นที่ ก็รับงานมาอีกทีจากกลุ่มผู้บงการตัวจริง ที่ใช้สถานศึกษาบิดเบือนหลักศาสนา และประวัติศาสตร์ เสี้ยมสอนเด็กๆ เพื่อสร้างโจรใต้รุ่นใหม่ๆ ให้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ต่อไป การถูกทุบทุบกล่องดวงใจในครั้งนี้ จึงต้องสร้างเหตุก่อกวนเพื่อตอบโต้ กลบความจริง และถือโอกาสแสดงถึงความมีตัวตน ของขบวนการ ในโอกาสที่คณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม หรือ OIC จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ  ซึ่งมีกำหนดเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย  ลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อปลายปี 2559 แกนนำของขบวนการ ในนาม MARA Patani    ก็ได้เข้าพบปะเลขาฯ OIC ระหว่างเยือนมาเลย์ ด้วยหวังให้ OIC สนับสนุนแต่ต้องผิดหวัง เพราะ OIC แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนการเรียกร้องเอกราช และไม่ใช่วัตถุประสงค์ของ OIC จนทำให้  MARA Patani ต้องแก้เก้อ ด้วยการออกแถลงการณ์ตามหลังว่า OIC ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพูดคุย

และในช่วงที่ใกล้จะปิดเทอมนี้ ซึ่งมักจะมีการเข้าค่ายอบรมนอกสถานที่ ของโรงเรียนต่างๆ โอกาสเช่นนี้ ผู้ปกครอง ผู้บริหารสถานศึกษา และเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยกันป้องกันเยาวชนของเรา ให้พ้นจากการถูกชักจูง มอมเมา ปลุกระดม  ซึ่งเป็นละเมิดสิทธิในเด็กแบบไร้ร่องรอย  ด้วยการบิดเบือนหลักคำสอน และประวัติศาสตร์ เกลี้ยกล่อมเยาวชน บุตรหลานของเราให้ออกจากหนทางที่ถูกต้อง ซึ่งโจรร้ายในพื้นที่ยังกระทำอยู่…….

--------------------------------------------------

PerMAS ตอแหล!! เกาะกระแสคนอยากเลือกตั้งเบื้องหลังอยากแยกดินแดน




"ฮิดัลโก"

เครือข่ายเยาวชนอิสระจังหวัดชายแดนใต้ (IKATAN REMAJA INDEPENDENT SE-PATANI) หรือ IRIS ซึ่งเป็นติ่งหนึ่งของ PerMAS ได้จัดกิจกรรม อยากเลือกตั้งบริเวณอาคารเรียนรวม 19 โรงอาหารลานอิฐ, ลานประดู่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีการเซลฟี่   ชูป้ายข้อความ สิทธิทางการเมืองเพื่อทำการเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ได้จัดเวที มองประชาธิปไตยบางกอกและปาตานีผ่านเรื่องราวในวรรณกรรม ๑๙๘๔ โดยมีวิทยากรร่วมเสวนาประกอบด้วย อ.ดวงยี่หวา อุตรสินธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์, นายอารีฟีน โสะ อดีตประธาน PerMAS และนายสาเล็ม มะดูวา นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ โดยมี นางสาวบูไรดะห์ เจะหลง เป็นผู้ดำเนินรายการ กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อต้องการสร้างกระแสการเลือกตั้ง เรียกร้องพื้นที่ทางการเมือง และโจมตีรัฐบาล
        รูปแบบการจัดกิจกรรมเป็นการเกาะกระแสการเลือกตั้ง เรียกร้องพื้นที่เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่แฝงด้วยการเรียกร้องเอกราช การกล่าวหามีการทำลายอัตลักษณ์และคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เรียกร้องสิทธิความเป็นเจ้าของ ปลุกระดมให้คนรุ่นใหม่คือกลุ่มที่มีพลัง เป็นกลุ่มคนที่ไม่ฝักใฝ่กับขบวนการจะต้องมีปากมีเสียงเรียกร้องไปสู่จุดหมายในการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทย
        การเคลื่อนไหวสอดรับกับนักการเมืองระดับชาติ ที่เผลอตัวแสดงธาตุแท้ ตัณหาออกมา เก็บเกี่ยวความได้เปรียบประสานสอดคล้องโจมตีรัฐบาลทหาร ยุคของ คสช. เป็นยุคของการควบคุมข่าวสาร ต้องการเปลี่ยนจากเสียงปืนเสียงระเบิดให้เป็นเสียงทางการเมือง เปลี่ยนกระสุนให้เป็นปากกา นั่นคือท่าทีของปีกการเมืองของกลุ่มขบวนการที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐ
        กลุ่มเครือข่ายเยาวชนอิสระจังหวัดชายแดนใต้ (IKATAN REMAJA INDEPENDENT SE-PATANI) หรือ IRIS ได้ก่อตัวกันขึ้นในปี 2554 โดยนายอาร์ฟาน วัฒนะ พร้อมกับกลุ่มเพื่อนประมาณ 4-5 คน เนื่องด้วยความเชื่อพื้นฐานที่ว่าเยาวชนเป็นพลังสำคัญของสังคม และควรเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ หลังจากรวมกลุ่มในปี 2554 กลุ่ม IRIS ได้เชื่อมเครือข่ายในการดำเนินกิจกรรมกับกลุ่ม PerMAS ทำให้กิจกรรมของ IRIS ได้ขยายวงมากขึ้น จึงไม่แปลกที่กลุ่ม IRIS คือติ่งหนึ่งของ PerMAS ปีกการเมืองที่สนับสนุนขบวนการโจรใต้
        กลุ่ม PerMAS เป็นปีกการเมืองขบวนการมีหน้าที่ในการขับเคลื่อนงานการเมือง เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มจะเรียกร้องและปลุกกระแสสิทธิในความเป็นเจ้าของ เรียกร้องให้มีการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากรัฐบาลไทยมาโดยตลอด ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ได้บัญญัติไว้ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ใครก็ตามแต่ที่มีแนวความคิดจะแบ่งแยกประเทศ ผู้นั้นถือได้ว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินไทย
        การเลือกตั้งเป็นแค่ส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย ซึ่งประชาธิปไตยจะต้องมีบริบทหลายๆ อย่างประกอบกัน ประชาธิปไตยจะต้องยอมรับเสียงส่วนมากและฟังเสียงส่วนน้อยด้วยการประณีประนอมกันนั่นคือหนทางของประชาธิปไตยที่ถูกต้อง แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีการเลือกตั้งแต่อีกไม่นานรัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศ เปิดโอกาสเปิดพื้นที่ในการแสดงออกทางความคิด เป็นไปตาม Rode map ที่ได้มีการวางไว้อย่างแน่นอน แต่ที่กลุ่ม IRIS ติ่งของ PerMAS ทำการเคลื่อนไหวทำกิจกรรมอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ม.อ.ปัตตานีนั้น เป็นการแอบแฝงและฉกฉวยโอกาส สอดแทรกการเรียกร้องเอกราช เรียกร้องพื้นที่ทางการเมืองไม่ใช่กระสันอยากเลือกตั้งแต่ประการใดทั้งปวง
        กลุ่มนักศึกษาเหล่านี้ตอแหล เกาะกระแสอยากเลือกตั้ง เบื้องหลังอยากแยกดินแดน เอาให้จริงชัดๆ ลงไป ลองตรวจสอบประวัติการมาใช้สิทธิเลือกตั้งย้อนหลังของกลุ่มที่เรียกร้องกันดูดีมั๊ย ไม่แน่!! อาจจะไม่เคยมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ้ำไปอย่าลืมว่าทุกคนที่เกิดบนแผ่นดินไทย คือคนไทย ถือสัญชาติไทย ไม่มีสัญชาติปาตานี  ใช้เงินสกุลบาทไทย มีศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกันทุกคน ไม่มีการแบ่งชนชั้น วรรณะ แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา น้องๆ นักศึกษามีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน เป็นความหวังของพ่อแม่จบออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว วันนี้ยังแบมือขอเงินจากพ่อแม่อยู่เลยแต่คิดการใหญ่ต้องการแบ่งแยกดินแดน กลับไปถามบรรพบุรุษก่อนดีกว่ามั๊ย!! ว่าเคยอยู่กันอย่างไร? ก่อนที่จะมีกลุ่มคนเสี้ยม!! ให้เกิดความแตกแยกทางความคิด นำมาสู่ความหวาดระแวงทั่วทุกหัวระแหงอยู่จนทุกวันนี้ มิใช่!! กลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ต่างแดนหรอกหรือ!! หรือจะเลือกอยู่กับความรุนแรงต่อไปปฏิเสธความสงบสุข..

2/23/2561

ฝันเปียก!!! ของ PerMAS

"ก๊ะเจ๊าะแจ๊ะ "


ฝันเปียก (Nocturnal Emissions) เกิดขึ้นได้ในขณะที่วัยรุ่นนอนหลับและสมองถูกสั่งให้จินตนาการหรือฝันถึงเรื่อง sex ที่หมกมุ่นในสมองจากมโนของตนเอง  ทำให้เกิดการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อรอบถุงที่เก็บน้ำอสุจิทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนตัวออกมานอกร่างกาย

ออกมาการเคลื่อนไหวอย่างถี่ยิบและเปิดหน้ามากขึ้น สำหรับสหพันธ์นิสิต นักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปัตตานี หรือกลุ่ม PerMAS  ที่ต้องการให้นานาชาติสนับสนุนการแยกดินแดน โดยถือเอา การกำหนดใจตนเอง (Self-determination) เป็นสรณะ ทั้งที่ไม่มีหนทางที่จะกระทำได้ ลองดูที่มาของการฝันเปียกของกลุ่ม PerMAS ว่าเกิดจากอะไร

มโนว่าตัวตนและบทบาทได้รับการยอมรับ  เพราะปัจจุบันประชาชนไม่เห็นด้วยกับวิธีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ที่ชุมนุมประท้วงสร้างความวุ่นวาย  สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรง  ความด้อยวุฒิภาวะของสมาชิกกลุ่มและการเคลื่อนไหวของแกนนำที่บางครั้งสุ่มเสี่ยงต่อการ กระทำผิดกฎหมาย ขณะที่กลุ่มนักวิชาการและที่ปรึกษาระดับปัญญาชนและแหล่งทุนต่างๆที่สนับสนุนทั้งในรูปของทุนและคำปรึกษา ก็เริ่มถอยห่าง ถึงกับต้องหันมาอาศัยแหล่งทุนในมหาลัย และอาศัยการสนับสนุนโดยการขยายฐานองค์กรแนวร่วมต่างๆ นอกพื้นที่  แถมยังมีปัญหาไม่ลงรอยกันเองของผู้นำที่ต่างรุ่นกัน

มโนว่าได้ขยายฐานแนวร่วม  ไปยังสถานศึกษาทั่วประเทศ เพื่ออาศัยพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาในมหาลัยอื่น ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายของตน  เช่น ในช่วงนี้ก็เกาะกระแสคนอยากเลือกตั้ง แต่เบื้องหลังอยากแยกดินแดน หากวิเคราะห์ดูจากพฤติกรรม  ลักษณะการสื่อสารสาธารณะ และข้อเรียกร้องจะเห็นข้อแตกต่างชัดเจน  เพราะกลุ่มนักศึกษาทั่วไปจะสื่อสารตรงๆ เด็ดขาด ไม่รอมชอมพร้อมแสดงความรับผิดชอบ เช่น “อยากเลือกตั้ง” แต่กลุ่ม PerMAS กลับอาศัยรูปของของนายมะรอโซ ที่ตายเพราะเข้าโจมตีฐานททหาร โดยสวมเสื้อเกราะและแต่งกายให้กลมกลืนกับความมืด เป็นกองกำลังปาตานีว่ามีอยู่จริง หรือ อาศัยเหตุการณ์ล้างแค้นกันเองของครอบครัว  เจ๊ะมุ มะมัน อ้างเป็นวันมนุษยธรรม ล่าสุดโหนกระแสเหตุระเบิดที่ตลาดพิมลชัย ยะลา ชูป้ายปกป้องสิทธิพลเมืองแต่แอบสอดแทรกวาทกรรม เช่น คู่สงคราม หาประโยชน์จากเหตุการณ์ที่ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิด มันต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง ความจริงใจ กับ การตลบตะแลง (deceitfully) มันไปด้วยกันไม่ได้

มโนว่าวาทกรรมที่ส่งออกไป ถูกอกถูกใจและคนทั่วไปยอมรับ  นำคำต่างๆ ที่ใช้ในกฎหมาย กฎ กติการะหว่างประเทศมาใช้เพื่อให้เข้าใกล้เงื่อนไขการเข้าแทรกแซงจาก IGOs  และนานาชาติมากขึ้น เช่นคำว่า คู่สงคราม การละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ  ซ้ำๆ วนไป จนตนเองก็หลงเชื่อ ทั้งที่สถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้สวนทางกับวาทกรรมที่กล่าวอ้าง และยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายของกลุ่มออกไปเรื่อยๆ

ฝันว่าได้สิทธิในการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) ทั้งที่ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาได้บัญญัติการออกเสียงประชามติไว้ว่า “ต้องเป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนส่วนใหญ่ จึงจะให้มีการออกเสียงประชามติ”  อีกทั้งประเทศไทย   ได้ทำข้อสงวนสิทธิ ในการกำหนดใจตนเองโดย “มิให้ตีความว่าอนุญาตหรือสนับสนุนการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการแบ่งแยก หรือ ทำลายบูรณภาพแห่งดินแดน หรือ เอกภาพทางการเมืองของรัฐ  เอกราชอธิปไตย ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน”  ซึ่งก็สอดคล้องกับอนุสัญญาของสหประชาชาติ  ที่ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ก็ได้กำหนดขอบเขตของสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง  ในแง่ที่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ภายใต้กรอบของรัฐที่ดำรงอยู่  ซึ่งจะเห็นได้จาก แถลงการณ์ ว่าด้วยความสัมพันธ์ฉันมิตร และแถลงการณ์เวียนนา ซึ่งได้ระบุสิทธิในการกำหนดใจตนเองไว้ในลักษณะเดียวกัน  ซึ่งประเด็นนี้ PerMAS ก็ได้นำเอาเนื้อหาแต่เพียงบางส่วน ไปปลุกระดม จัดเวทีเสวนาสร้างมโนตอกย้ำความเชื่อของตน และแพร่เชื้อให้คนอื่นเสมอ

ในประเด็นการกำหนดใจตนเองนั้น ไม่ได้มีช่องทาง อันเกิดจากข้อแตกต่างจากการตีความ หรือว่าเป็นข้อขัดแย้งในแง่กฎหมายที่เป็นปัญหา  แต่ปัญหามันอยู่ที่  PerMAS  ได้นำเอากฎกติการะหว่างประเทศ มาทำการเคลื่อนไหว เพื่อประโยชน์ของตนเอง  โดยไม่ได้กล่าวถึงข้อแถลงตีความหรือข้อสงวนที่รัฐบาลไทยได้กระทำไว้ต่างหาก  อีกทั้งรัฐธรรมนูญของไทย ก็ไม่เคยเปิดช่องให้มีการทำประชามติในเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เท่ากับว่ากระบวนการที่จะนำไปสู่การกำหนดใจตนเองของ  PerMAS  ในประเทศไทยนั้น ไม่สามารถกระทำได้  ไม่ว่าจะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือพื้นที่อื่นใดของไทย ความฝันของ PerMAS ในการกำหนดใจตนเองนั้นมันก็แค่.....ทำให้เปื้อนที่นอนแค่นั้นเอง!!!

- - - - - - - - - - - - -