แบมะ
ฟาตอนี
“ตั้งแต่เกิดเหตุคนร้ายปล้นปืนค่ายทหารที่ปิเหล็ง
เมื่อต้นปี 47 จำได้ว่าหมู่บ้านของผมจากผู้คนที่เคยอยู่กันอย่างสงบ กลับได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน
การใช้ชีวิตได้ผิดแปลกแตกต่างไปจากเดิม จนบางครอบครัวจำใจต้องย้ายไปอาศัยอยู่ที่อื่น
แต่ครอบครัวของผมไม่ได้ย้ายไปไหน ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
บ้านที่อยู่อาศัยกันมาหลายช่วงอายุคน”
เป็นบทเริ่มต้นในการสนทนาของผู้เขียนกับอดีตผู้หลงผิดท่านหนึ่งที่เคยเข้าร่วมทำการเคลื่อนไหวกับกลุ่มขบวนการ
ได้เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตชาวบ้าน หลังจากได้เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหาร
ซึ่งหลังจากนั้นความรุนแรงได้ขยายเป็นวงกว้างได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปทุกหย่อมหญ้า
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ทำลายสถาบันครอบครัว
และชุมชนที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จากน้ำมือการกระทำของนักรบ RKK ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการ BRN ซึ่งในขณะนั้นได้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
เข่นฆ่า ลอบวางระเบิด อย่างไร้ความปราณี และไร้มนุษยธรรม อีกทั้งยังข่มขู่ประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วย
หรือไม่ให้การสนับสนุน จนต้องย้ายหนีละทิ้งถิ่นฐาน
หรือแม้กระทั่งโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต
แต่ก็ยังมีอีกบางส่วนที่โดนบีบบังคับต้องจำยอมเข้าสู่ขบวนการ
จุดเริ่มต้นกับการเข้าร่วมสมาชิก RKK
อดีตผู้หลงผิดได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วังวนของความชั่วร้ายด้วยการเข้าสู่ขบวนการ
เป็นสมาชิก RKK
ทั้งที่ในส่วนลึกแล้วไม่อยากจะเข้าร่วมจำใจ จำยอม
เพื่อเหตุผลบางอย่าง
“ผมย้ายไปอยู่ที่อื่นเหมือนหลายๆ
ครอบครัวที่ได้ย้ายหนีจากการคุกคามของกลุ่มขบวนการไม่ได้ เนื่องจากลูกสาวทั้งสองของผมยังเล็กอยู่
โดยเฉพาะคนโตกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนคนเล็กเพิ่งคลอดได้แค่
10 กว่าวันเอง ครอบครัวผมอยู่อย่างมีความสุข แม้จะไม่ร่ำรวยอย่างใครเขา”
“ผมจำเป็นต้องไปอยู่กับขบวนการ
เป็นความคิดของผมที่โลดแล่นเข้ามา ณ ตอนนั้น
ซึ่งคิดว่าเป็นหนทางเดียวเมื่อผมเป็นสมาชิกแนวร่วมแล้วจะสามารถคุ้มครองให้คนในครอบครัวของผมปลอดภัยไม่ถูกข่มขู่
คุกคาม และหมายเอาชีวิตจาก RKK”
ปี พ.ศ.2548 อดีตผู้หลงผิดท่านนี้ได้เป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการอย่างเต็มตัว
แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมขบวนการนานถึง 8 ปีเต็ม กลับพบว่าไม่มีสิ่งที่ดีใดๆ
เลยที่เข้ามาสู่ชีวิต แถมความเป็นอยู่ประจำวันของครอบครัวก็ย่ำแย่
มิหนำซ้ำสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนาจะได้มา นั่นคือหมายจับของศาล มีทั้งหมาย ป.วิ.อาญา
และหมาย พ.ร.ก. ชีวิตถึงทางตันอนาคตดับมืดไร้แสงสว่างคลำหาทางออกไม่เจอ อีกทั้งปัญหาสุขภาพประดังเข้ามารุมเร้า
พื้นที่รับผิดชอบที่ทำการเคลื่อนไหวอยู่ไม่มีแม้ยารักษา อยู่อย่างยถากรรม
ขบวนการไม่ได้ให้การช่วยเหลือและได้รับการเหลียวแล
อย่างเช่นที่เขาเคยพูดไว้อย่างสวยหรูในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกให้คนเข้าร่วมขบวนการ
ซึ่งในตอนนั้นอยากกลับไปหาลูกเมียเพื่อทำการรักษาตัวที่บ้าน
แต่ก็กลัวเจ้าหน้าที่จับกุม
จะเข้ามอบตัวก็ไม่มีเงินทองในการต่อสู้คดีความในชั้นศาล
สมาชิกขบวนการคนแรกในหมู่บ้านกับงานมอบหมายในการเคลื่อนไหว
“ผมเป็นคนแรกในหมู่บ้านที่เข้าเป็นสมาชิกของขบวนการ
เริ่มต้นงานแรกด้วยการพ่นสี ทำลายป้ายจราจร ป้ายบอกทาง
เผายางรถยนต์สร้างความปั่นป่วน ใช้รถจักรยานยนต์ในการลาดตระเวนเส้นทางในเขตรับผิดชอบที่แกนนำมอบหมาย
เพื่อทำการหาเป้าหมายในการก่อเหตุ และเส้นทางในการหลบหนี
หลังจากนั้นได้รับการสั่งการให้ก่อเหตุด้วยการลอบยิง โดยเลือกเป้าหมายที่อ่อนแอไร้ทางต่อสู้
เด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา ไม่มีการแยกแยะชาวไทยพุทธ-มุสลิม”
อดีตผู้หลงผิด ยังได้กล่าวถึงหน้าที่รับผิดชอบอีกอย่างหนึ่ง
คือ การหาสมาชิกแนวร่วมที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงที่จะทำการก่อเหตุ
ให้มาร่วมประชุม วางแผนเตรียมการกับแกนนำ โดยให้รับผิดชอบในการเตรียมการในการสนับสนุนเรื่องอาหารการกิน
รวมทั้งที่ซ่อนตัวทั้งก่อนก่อเหตุ และหลังจากการก่อเหตุเสร็จสิ้นแล้ว
จุดพลิกผันเข้าสู่โครงการพาคนกลับบ้าน ศาลสั่งไม่ลงโทษกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างปกติสุข
“ผมได้รับฟังข่าวสารว่าหน่วยงานภาครัฐ
ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความคิดต่างจากรัฐ สามารถเข้ามารายงานตัว แสดงตน เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายกับโครงการพาคนกลับบ้าน”
อดีตผู้หลงผิดได้กล่าวพร้อมกับสีหน้า
แววตายิ้มแย้มอย่างเปี่ยมสุขเมื่อได้ทำการเล่าเรื่องราวของตนมาถึง ณ ตรงนี้ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของตนเองและครอบครัว
แสงสว่างรำไรรออยู่เบื้องหน้านำพาไปสู่ทางออกทั้งที่ก่อนหน้านี้มืดมิดเหมือนคนที่สิ้นอนาคต
หลังจากนั้นได้หาโอกาสกลับมาบ้านพูดคุยกับครอบครัว
และตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นยังไม่มีความมั่นใจในวิธีการและกระบวนการขั้นตอนสักเท่าไหร่
แต่เมื่อได้รับการแนะนำ และช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างจริงใจ
ในการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทุกขั้นตอนในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สุดท้ายศาลสั่งไม่ลงโทษปล่อยตัวให้เป็นอิสระ
“ชีวิตของผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ
ผมไม่ต้องใช้จ่ายค่าดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ใช้เงินสักบาท
แต่ที่สำคัญที่สุดคือทุกวันนี้ผมมีความสุข อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ-
แม่-ลูก ดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนกับคนทั่วๆ ไปในหมู่บ้าน ผมและเพื่อนๆ
อีกหลายคนได้เล็งเห็นว่า โครงการพาคนกลับบ้าน
ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นโครงการที่ดี จึงอยากเชิญชวนไปยังผู้ที่หลงผิด
มีความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่รัฐ หนีหมายศาล หลบหนีการจับกุม และกลัวการถูกดำเนินคดีความ
ได้มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวหันหลังให้กับขบวนการ แล้วกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข
ประตูสู่การกระทำความดีได้เปิดกว้างไว้สำหรับพวกเราทุกคน”
ชีวิตที่ต้องตกเป็นทาสรับใช้ขบวนการ
BRN ชีวิตที่ต้องให้ใครต่อใครตราหน้าว่าเป็นแนวร่วมโจรใต้
มีแต่สร้างรอยบาปให้กับตัวเอง
การกระทำที่ผิดต่อหลักคำสอนศาสนา อีกทั้งในทางกฎหมายบ้านเมืองมีคดีความติดตัว
ต้องหลบหนีการติดตามจับกุมใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเชื่อได้ว่ายังมีผู้ที่คิดต่างจากรัฐอีกหลายคนที่ต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้
ตัวอย่างเรื่องราวของอดีตผู้ที่เคยหลงผิดที่ได้รับโอกาสจาก “โครงการพาคนกลับบ้าน” จนนำมาสู่การมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัว สังคมไทย
และภาครัฐยังเปิดโอกาสให้สำหรับคนที่กล้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีเสมอ...รีบฉวยโอกาสนั้นซะก่อนที่พรุ่งนี้จะไม่มีโอกาส.....
-----------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น