"แบมะ
ฟาตอนี"
การพัฒนาประเทศให้มีความเจริญทัดเทียมประเทศอื่นๆ
และสามารถแข่งขันในเรื่องการค้าการลงทุน
ผลิตสินค้าส่งออกสร้างรายได้นำเงินตราเข้าประเทศ สิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ
ที่รัฐจะต้องพัฒนาคือสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา ถนนหนทาง
และระบบโลจิสติกส์ พร้อมรองรับการขยายตัวและเติบโตของภาคอุตสาหกรรม
รวมไปถึงการท่องเที่ยวภายในประเทศ
“ไฟฟ้า”คือความจำเป็นอันดับแรกที่รัฐจะต้องหาแหล่งผลิต
ระบบการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ต้องใช้โรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ
เพื่อรองรับการผลิตจากแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน
ซึ่งโรงไฟฟ้าแบ่งเป็นประเภทได้แก่โรงไฟฟ้าพลังน้ำ, โรงไฟฟ้ากังหันก๊าซ,
โรงไฟฟ้าดีเซล, โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและโรงไฟฟ้าพลังความร้อน
“โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฟ้าถ่านหินเทพา”
ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อน
ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ต้มน้ำ
เพื่อสร้างไอน้ำแรงดันสูงมาเป็นพลังงานขับเคลื่อนกังหัน และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า
และเลือกถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงเพราะมีราคาถูกอีกทั้งเทคโนโลยีในการผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหินสมัยใหม่ที่มีความก้าวหน้าและปลอดภัยจากมลพิษ
ในขณะที่รัฐกำลังเดินหน้าโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
ได้มีการศึกษาผลกระทบรอบด้านทั้งในเรื่องมลภาวะมลพิษที่อาจจะก่อเกิดต่อชุมชน
ต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทะเลชายฝั่ง
ต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ซึ่งผลการศึกษาออกมาค่อนข้างน่าพอใจ
ภาพรวมมีผลกระทบน้อยมาก
ขณะเดียวกันได้มีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและได้มีการรวมตัวกันต่อต้านคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาเกิดขึ้น
ซึ่งระดับแกนนำหลักคนสำคัญได้แก่ นายดิเรก เหมนคร, นพ.สุภัทร
ฮาสุวรรณกิจ และ นายอิสดาเรส หะยีเด
เมื่อเจาะลึกประวัติของแต่ละคนไม่ธรรมดา
นายดิเรก เหมนคร เป็นครูโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาในอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา
เป็นนักเคลื่อนไหวคนสำคัญโดยเป็นผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนชายแดนใต้
ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพ (PERMATAMAS)
นพ.สุภัทร
ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นข้าราชการ
รับเงินเดือนกินภาษีประชาชน เป็นผู้นำองค์กรรัฐมีลูกน้องในบังคับบัญชา
แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นแกนนำคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
นายอิสดาเรส
หะยีเด รองนายกเทศมนตรีตำบลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา เป็นนักการเมืองท้องถิ่น
อีดทั้ง้ป็นประธานเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน
(ทสม.) จังหวัดสงขลา และแกนนำเครือข่ายคนสงขลาปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน
การเคลื่อนไหวของสามแกนนำมีการจัดตั้งกลุ่มมวลชนที่ไม่เห็นด้วย
จัดเวทีเพื่อทำการสื่อข้อมูลด้านเดียวชี้นำทางความคิดให้เห็นผลกระทบด้านลบของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินของรัฐบาล
กล่าวอ้างการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเป็นการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณชายฝั่งทะเล
ทำลายวิถีชีวิตของผู้คนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลา
บิดเบือนความจริงจะมีการรื้อถอนมัสยิด กุโบร์ของพี่น้องมุสลิม
มีการขยายเครือข่ายไปนอกพื้นที่เพื่อเป็นพันธมิตรร่วมกันคัดค้านการก่อสร้างโครงการใหญ่ของรัฐบาล
ที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งได้แก่กลุ่มต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่,
กลุ่มต่อต้านการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล
และกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อต้องการนำโรงไฟฟ้าถ่านหินมาผูกโยงและซ้ำเติมการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ฟังความจริง!!
จากนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี ที่ได้เดินทางไปศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าแม่เมาะ
จังหวัดลำปางเมื่อวันที่ 21-26 กรกฎาคมที่ผ่านมา
กรณีมีข้อกังขาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาเกิดผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่
ซึ่งจากคำบอกเล่าในการสัมผัสตรงจากประสบการณ์จริงของน้องนักศึกษา
ในการเดินทางไปศึกษาดูงานที่โรงผลิตไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง
สาเหตุเพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองว่ามีมลพิษเกิดขึ้นรอบๆ โรงงานหรือ Side
Effects เกิดขึ้นต่อชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบๆ
โรงไฟฟ้าตามคำกล่าวอ้างของกลุ่มผู้คัดค้านหรือไม่!!
แต่พอไปเห็นสถานที่จริงกลับไม่เป็นจริงอย่างที่นักวิชาการหรือกลุ่มองค์กรอิสระที่พยายามชี้นำและคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ที่ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลามาโดยตลอดเกือบ 3-4
ปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด
จากพฤติกรรมและความพยายามของสามแกนนำคัดค้านสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่ผ่านมา
เป็นผู้หาญกล้า...ดับไฟ (ฟ้า) ใต้อย่างแท้จริง!!
แกนนำทั้งสามนำเสนอข้อมูลด้านเดียวไม่คิดถึงผลประโยชน์โดยรวมของคนส่วนใหญ่
อีกทั้งการพัฒนาประเทศในแทบทุกด้าน
การก่อสร้างพลังงานไฟฟ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
มีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในพื้นที่ภาคใต้ของเราเป็นอย่างมาก
และมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความมั่นคงในเรื่องกระแสไฟฟ้าเพื่อรองรับภาคอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นมากมาย
โดยเฉพาะสนับสนุนโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ของรัฐบาล
โรงงานอุตสาหกรรมฮาลาลในเขตอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเบตง จังหวัดยะลา
และการขนส่งสินค้าชายแดนเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศในอำเภอสุไหงโกลก
จังหวัดนราธิวาส เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน
สร้างรายได้ให้กับผู้ว่างงานมากมาย แต่กลับมีกลุ่มคัดค้านที่คอยขัดแข้งขัดขา
ไม่เห็นด้วยกับโครงการของรัฐบาล เมื่อเป็นเช่นนี้!! แล้วเมื่อไหร่?
ปักษ์ใต้บ้านเราจะเจริญเทียบเท่าภูมิภาคอื่นๆ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น