แบคอลี ลังกาสุกะ
ผู้เขียนได้ลงพื้นที่
อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และ อ.ยะหา จ.ยะลา
จากการลงพื้นที่สอบถามพบว่า หญิงสาวมุสลิมจะไม่เลือกแต่งงานชายหนุ่มที่ เป็น
ผกร.หรือครอบครัวที่ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มขบวนการเป็นอันขาด โดยหญิงสาวรายหนึ่งใน อ.เรือเสาะ
ได้ให้เหตุผลว่า สำหรับตนได้แต่งงานตั้งแต่อายุ 18 ปี ซึ่งขณะนี้มีลูกด้วยกัน 2
คนลูกสาวทั้งที่สองคน สำหรับสามีทำงานรับจ้างในร้านแห่งหนึ่งใน อ.รือเสาะ
ซึ่งหญิงสาวรายนี้ได้เล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเมื่อ ปี 53
ซึ่งเหตุการณ์ความไม่สงบในขณะนั้นรุนแรงมาก
และได้มีบุคคลในพื้นที่ได้เข้ามาหาสามีของตน
เพื่อจะให้สามีตนเองสาบานตนเข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการแต่สามีของตนเองได้ปฏิเสธไป
หลังจากสามีได้เล่าให้ฟังตนรู้สึกดีใจมากที่สามีของตนเองตัดสันใจแบบนี้
เพราะถ้าสามีตนเองเข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการครอบครัวของตนต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน เพราะถ้าเข้าร่วมแล้วก็มีแต่ความเดือนร้อน
ครอบครัวต้องยากลำบาก ต้องอยู่แบบลบๆซ่อนๆ ตนต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวคนเดียวซึ่งคิดดูแล้วคงจะต้องลำบากมาก
ๆ
สิ่งที่สามีตนได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมขบวนการคือเหตุการณ์ที่ผ่านมาสร้างความสูญเสียอย่างมากมายมหาศาล
และที่สำคัญคือลูกสาวทั้งสองคนจะอยู่อย่างไรเมื่อไร้พ่อ ปัจจุบันครอบครัวของหญิงสาวรายนี้ได้สร้างครอบครัวอย่างมีความสุขโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน
ทั้งนี้ผู้เขียนได้ลิ่มลองปลาทับทิมเลี้ยงรสเด็ดจากฝีมือของครอบครัวนี้อีกด้วย
ขณะที่ความรู้สึกคงไม่ต่างหญิงสาวมุสลิมอีกหลายคนในพื้นที่
อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งผู้เขียนได้สอบถามเด็กมุสลิมซึ่งเป็นนักเรียน ม.ปลาย
ซึ่งเรียนอยู่ในตัวเมืองปัตตานี
ซึ่งได้ให้ข้อมูลดังกล่าวต้องขอขอบคุณคุณครูและนักศึกษา ม.อ.ที่ได้จัดกิจกรรม
ทำให้ผู้เขียนได้สอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกในการเลือกคู่ครอง ผู้เขียนจึงถามว่า
ถ้าให้เลือกคู่ครองเราจะเลือกแบบไหน สิ่งแรกที่เด็กสาวหลายคนตอบคือหน้าตา อาชีพ
ความมั่นคงทางฐานะ หนุ่มๆ
ในเครื่องแบบ ความเป็นคนดี
ความเอาใจใส่ใจครอบครัวสำหรับข้อมูลที่ได้แตกต่างกันออกไป
ต่อมาผู้เขียนได้ถามว่าแล้วสุมมติว่าแฟนหรือหนุ่มที่เราจะแต่งงานด้วยเป็น ผกร.
แล้วเราพึ่งรู้
เด็กสาวได้ตอบตรงกันทันทีว่า จะไม่เลือกแฟนหรือสามีที่ใช้ความรุนแรงหรือครอบครัวที่ยุงเกี่ยวกับกลุ่มขบวนการเป็นอันขาด
เพราะจะทำให้ครอบครัวไม่ปลอดภัย
รวมถึงอนาคตของตนเองคงต้องลำบากแน่ ๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง
ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวได้ทำให้รู้ว่าเยาวชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้านั้นคิดอย่างไรกับการมีคู่ครอง
ซึ่งคงไม่มีใครที่อยากมีผู้ร้ายเป็นคู่ครองอย่างแน่นอน
หลังจากได้ข้อมูลมาเยอะแล้วสำหรับการเลือกคู่ครองของหญิงสาวมุสลิมในพื้นที่
แต่ผู้เขียนอยากรู้ถามความรู้สึกของผู้ที่เกิดจากภาวะจำยอม สภาพแวดล้อม
เมื่อทราบว่าสามีของตนเองเป็นสมาชิก ผกร.รวมทั้งหากอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดตั้ง
สภาพความเป็นอยู่ได้บังคับให้ต้องเข้าร่วมหรือสนับสนุนขบวนการโดยปริยาย
ผู้เขียนจึงได้ขอความช่วยเหลือจากแบท่านหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใน อ.ยะหา จ.ยะลา
ซึ่งแบก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีต้องขอขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลที่ได้จากการพูดคุยผ่านเสียงโทรศัพท์ของกะรายหนึ่ง
หญิงสาวมุสลิมวัย 36 ปี
ที่ต้องเผชิญหน้าเป็นเสาหลักของครอบครัวเพียงคนเดียวต้องเลี้ยงลูก 4 คน
โดยลำพัง กะได้เล่าความในใจให้ฟังว่า
ตนต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ใน อ.ยะหา จ.ยะลา
ตนได้แต่งงานกับสามีมานานแล้วและมีลูกด้วยกัน 4 คน คนโตอายุ 10 ขวบ คนที่ 2 อายุ 8
ขวบ คนที่ 3 อายุ 6 ขวบ และคนที่ 4 อายุ 3 ขวบ ก่อนหน้านี้มีความสุขดีกับสามี
แต่หลังจากปี 56 เป็นต้นมา สามีอาชีพที่ไม่แน่นอน ต้องเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อย ๆ
จึงต้องไปทำงานต่างถิ่นตลอดแต่ก็มีเงินมาให้ใช้ตลอด
ซึ่งตนก็สงสัยสามีและเคยถามเหมือนกันว่าไปทำงานหาเงินมาจากไหน ซึ่งสามีตนก็ตอบว่าใช้ๆ ไปเถอะ มีเงินมาให้ใช้
ไม่ต้องถามอะไรมาก
ซึ่งกะเองก็รู้สึกไม่สบายใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังๆมาสามีก็หายไปเป็นเดือนสองเดือน กลับมาครั้ง แต่ก็มีเงินก้อนมาให้ทุกครั้ง
ซึ่งบวกกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ทำให้คืนนั้นตนเองและสามีทะเลาะกันอย่างหนัก
เมื่อตนได้ถามเกี่ยวกับการทำงานและเงินที่ได้มา ในที่สุดความจริงได้เปิดเผย
สามียอมรับว่าเข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการเมื่อปี 55 โดยจำใจเข้าร่วมขบวนการเพราะถูกข่มขู่จากสมาชิกระดับแกนนำในหมู่บ้าน
หลังจากทะเลาะกันและบอกความจริงสามีของตนก็ได้ออกจากบ้านไป ตนรู้สึกตกใจและเสียใจมาก
เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงบ่อยครั้งที่เกิดในพื้นที่ อ.ยะหา
ทำให้มีเด็กเสียชีวิตซึ่งตนก็สะเทือนใจกับเหตุการณ์และประณามผู้กระทำ แต่สิ่งที่เลวร้ายและสร้างความเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิต
เมื่อรู้ว่าหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสามีตนเองร่วมเป็นผู้กระทำ
ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดที่ได้รับไม่อาจเท่ากับผู้ที่ได้รับความสูญเสีย
แต่ความละอายความเสียใจทุกวันนี้ยังอยู่ในใจกะตลอดเวลา ขณะที่ลูกๆ ร้องไห้หาพ่อและถามว่าพ่อไปไหนทำไมไม่มาหาสักที
ตนไม่รู้จะทำอย่างไรกลุ้มใจสุดๆ
ต้องแบกรับภาระเป็นเสาหลักของครอบครัวเพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว
ขณะที่ก็มีเจ้าหน้าที่มาสอบถามเกี่ยวกับสามีของตน
ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ตนเกลี่ยกล่อมให้สามีตนมอบตัวหรือเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้านซึ่งตนก็เข้าใจดี
แต่ตนไม่สามารถติดต่อสามีได้
ต้องรอให้เขาติดต่อกลับมาเองเพราะเขาจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
บางครั้งก็บอกเขาให้เข้ามอบตัวหรือเขาโครงการพาคนกลับบ้าน
แต่กลับถูกปฏิเสธเพราะกลัวกลุ่มขบวนการมาทำร้ายครอบครัว ทุกวันนี้สามีตนก็ต้องหลบหนีอยู่และก็เป็นห่วงเขา ปัจจุบันกะเองก็ต้องดูแลรับผิดชอบลูกทั้ง 4 คน
ซึ่งลำบากมาก เพราะรายได้จากการขายกับข้าวไม่เพียงพอต่อรายจ่ายของลูกๆทั้ง 4 คน
ขณะที่ญาติแท้ๆ ก็ตีตัวออกห่างไม่มีใครให้การช่วยเหลือเลย เพราะกลัวติดรางแหไปด้วย นี้ถ้าสามีกะไม่เข้าร่วมกับกลุ่มขบวนการ
ชีวิตครอบครัวคงไม่เป็นเช่นนี้
ชีวิตครอบครัวกะคงจะมีความสุขไม่ลำบากอย่างแน่นอน
ท้ายสุดนี้
ผู้เขียนได้ก็ให้กำลังใจให้กับกะให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้โดยเร็ว
และขอบคุณสำหรับกะที่เล่าความในใจที่ถูกเก็บไว้ให้ฟัง ถึงแม้จะมีเสียงสะอื้นก็ตาม
ขอบคุณมาก ๆนะครับ
จากข้อมูลข้างต้นมีทั้งความโชคดีแล้วความโชคร้ายปะปนกันไป
นี้คงเป็นความต่ำตม ความชั่วร้าย
ความลำบากแฝงด้วยความเจ็บปวดที่กลุ่มขบวนนการได้มอบให้กับหลายครอบครัวของพี่น้องมุสลิม ที่เกิดจากความเกรงกลัวจากการข่มขู่ของสมาชิกระดับแกนนำในหมู่บ้านที่บังคับให้เข้าร่วมขบวนการ
จนนำไปสู่ความเดือนร้อนทำให้คนครอบครัวของตนเองต้องตกระกำลำบากโดยเฉพาะภรรยาและลูกของตนเอง
หญิงสาวที่จะแต่งงานคงต้องกำหนดกฏเกณฑ์การเลือกคู่ครองให้รอบคอบ ความผิดพลาดในการเลือกคู่ครอง
ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบด้านร่างกาย
ทรัพย์สิน ศักดิ์ศรี จิตใจและชีวิต
แต่อาจเป็นต้นเหตุของการสูญเสียและกลายเป็นที่มาของความโศกเศร้าไปจนถึงวันแห่งการตัดสิน
(วันอาคิเราะฮ์)
----------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น