"แบมะ ฟาตอนี"
สถานการณ์ไฟใต้ท่ามกลางกระแสความต้องการสันติสุขของผู้คนส่วนใหญ่
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังคงมีความพยายามมุ่งก่อเหตุด้วยการลอบวางระเบิดคาร์บอมสถานที่สาธารณะ
ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นห้างบิ๊กซีปัตตานี
ห้างโคลีเซี่ยมยะลา หรือแม้กระทั่งตลาดนัด
สถานที่พี่น้องไทยพุทธ-มุสลิมต่างจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน
ความโหดร้ายสุดโต่งครั้งแล้วครั้งเล่าของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กระทำต่อพี่น้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
สิ้นเสียงระเบิดแทบทุกครั้งส่งผลให้ตึกรามบ้านช่องสถานที่ประกอบการ
หรือแม้แต่สถานที่ราชการได้รับความเสียหาย
ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายด้วยน้ำมือของซัยตอนในร่างคน
ล่าสุดกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้คิดการชั่วทำการปล้นรถยนต์ปิกอัพจากเต็นท์รถถึง
5 คัน วางแผนสร้างสถานการณ์ด้วยการคาร์บอมทำลายล้างชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำลายต่อระบบเศรษฐกิจ
แม้แต่สถานที่สำคัญๆ ที่มีผู้คนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก..แต่เดชะบุญหลังคนร้ายทำการก่อเหตุปล้นรถยนต์มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่
จนกระทั่งนำไปสู่การป้องกันการก่อเหตุใหญ่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงไว้ได้
ลำดับเหตุการณ์แผนชั่วกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ลงมือปฏิบัติการอย่างอุกอาจช่วงเที่ยงของวันที่
16 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยคนร้ายประมาณ 6-7 คน พร้อมอาวุธครบมือบุกก่อเหตุปล้นเต็นท์ขายรถยนต์
“วังโต้ คาร์เซ็นเตอร์” ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อ.เทพา จ.สงขลา ได้ใช้อาวุธยิงลูกจ้างภายในร้านได้รับบาดเจ็บ
1 ราย แล้วขับรถยนต์ปิกอัพออกไปจากเต็นท์ 5 คัน โดยจี้บังคับพนักงาน 3
คนไปเป็นตัวประกัน ได้ยิงทิ้งในระหว่างทางได้รับบาดเจ็บสาหัสชาวบ้านประสบเหตุนำตัวส่งรักษาตัวโรงพยาบาล
และในเวลาต่อมา นายสหรัฐ เเหละหนิ๊ อายุ 20 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 3
ลูกจ้างเต็นท์รถที่ถูกยิงที่บริเวณศีรษะได้เสียชีวิตลง
กระทั่งเวลา 13.50
น. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะ 1 ใน 5 ที่ถูกปล้นขับแหกด่านรอยต่อ
อ.หนองจิก-อ.โคกโพธิ์ เจ้าหน้าที่จึงได้ไล่ติดตามอย่างใกล้ชิด คนร้าย
ซึ่งขณะหลบหนีได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดการไล่ยิงกัน
จนกระทั่งมาถึงบนถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ ม.2 บ้านปรัง ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก
คนร้ายได้ขับสวนเลนเพื่อจะหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้าน
อีกทั้งเส้นทางข้างหน้ามีด้านตรวจเกาะหม้อแกง เจ้าหน้าที่จึงยังคงไล่ติดตามพร้อมกับให้อาวุธปืนยิงอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดไม่ให้หลบหนี
จนกระทั่งรถคนร้ายเสียหลักตกข้างทางเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบพบว่าคนร้ายถูกยิงเสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อคือ
นายนูร์ฮาซัน อาแว อายุ 25 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 14/2 บ้านแบรอจะรัง ม.2
ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบถังแก๊สขนาด
15 กก.ซุกซ่อนอยู่ในรถ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายจะนำไปก่อเหตุในพื้นที่
จ.ปัตตานี เจ้าหน้าที่ชุดกู้ระเบิดได้ทำการเก็บกู้พบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบเสร็จแล้วพร้อมใช้งานน้ำหนักประมาณ
80 กก. แต่ถูกเจ้าหน้าที่กดดันไล่ล่า นำมาสู่การยิงปะทะกันขึ้นในที่สุดคนร้ายเสียชีวิตก่อนที่จะนำรถยนต์คันดังกล่าวไปทำการก่อเหตุคาร์บอมป่วนเมือง
เวลา 14.20 น.
เจ้าหน้าที่ทหารหน่วย ฉก.ปัตตานี 24 ตรวจพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า วีโก้ สีดำ
ป้ายทะเบียน กอ.4995 สงขลา บนถนนหมายเลข 43 ในพื้นที่ ต.ยาบี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
และคนร้ายได้กดระเบิดรถยนต์คันดังกล่าวทิ้ง
ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบ
รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ ไทรทัน ป้ายทะเบียน บฉ 7182 ยะลา
จอดทิ้งบนถนนหมายเลข 43 ในพื้นที่ บ.ควนหมาก ม.3 ต.วังใหญ่ อ.เทพา จ.สงขลา และตรวจพบ
รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ ดีแม็กซ์ สีเทา ป้ายทะเบียน ถศ 3050 กทม.
จอดทิ้งไว้ในป่าสวนยาง บ.แม่กัง ม.1 ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
จากการหยุดแผนชั่วของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่วางแผนระเบิดด้วยการคาร์บอมในครั้งนี้
เป็นความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในพื้นที่ที่ช่วยกันแจ้งเบาะแส
ประกอบกับความตื่นตัวจากการแจ้งเตือนข่าวสารให้เฝ้าระวัง
จนกระทั่งนำไปสู่การกดดันสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีอิสระเสรีในการปฏิบัติ
ซึ่งเป็นการป้องกันการก่อเหตุใหญ่ที่จะนำมาสู่ความสูญเสียจากการคาร์บอมจากรถยนต์ 5
คัน ลองคิดเล่นๆ จะเกิดอะไรขึ้น!! หากกลุ่มผู้ก่อเหตุลงมือสำเร็จประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินและได้รับความเดือดร้อนอีกเป็นจำนวนมาก
ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาสถานการณ์ไฟใต้ที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่มีความเบื่อหน่าย
ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นซึ่งมีแต่นำไปสู่ความสูญเสีย จะเห็นได้ว่าในระยะหลังๆ
ประชาชนมีการแจ้งเบาะแสข่าวสารความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น นำไปสู่การจับกุมและเฝ้าระวังมิให้มีการก่อเหตุของเจ้าหน้าที่ได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และเป็นหูเป็นตาแทนเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังคอยสอดส่องบุคคลแปลกหน้าที่จะเข้ามาก่อเหตุสร้างสถานการณ์ภายในชุมชนที่อยู่อาศัย
ที่จะเป็นภัยต่อคนส่วนรวมต่อลูกหลาน..เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีการร่วมมือกันแจ้งข่าวสาร
และอีกไม่นานสันติสุขที่ทุกคนฝันหาจะกลับมาสู่พื้นที่แห่งนี้อย่างยั่งยืนตลอดไป.
------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น