"ความเปราะบางของสถานการณ์ที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มนิยมไอซิส
อาจกดดันให้มาเลเซียจำเป็นต้องร่วมมือทางการข่าวและการทหารกับไทยมากขึ้นเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของกลุ่มหัวรุนแรงนี้
และน่าจะทำให้ฝ่ายไทยมีแต้มต่อมากกว่าเดิมในการเจรจาเรื่องกระบวนการพูดคุยดับไฟใต้ของไทย"
จับตา
คสช.รุกพูดคุยดับไฟใต้ กระแส "ไอซิส" กดดันมาเลย์เข้าทางไทย?
เริ่มมีความคืบหน้าเป็นระยะสำหรับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้
หรือเรียกสั้นๆ ว่า "พูดคุยดับไฟใต้"
ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
คนใจร้อนอาจจะวิจารณ์ว่าทำไมเรื่องนี้
คสช.ดำเนินการช้าเหลือเกิน แต่ถ้าจะตอบแทนคนใน คสช. ก็ต้องบอกว่า
งานนี้เป็นงานด้านความมั่นคงระดับประเทศ ความสำคัญถึงขั้นมี
"ดินแดนปลายด้ามขวาน" เป็นเดิมพัน ฉะนั้น คสช.จึงต้องรอบคอบเป็นพิเศษ
จะให้โฉ่งฉ่างแบบจัดระเบียบรถตู้ วินมอเตอร์ไซค์คงไม่ได้
สาระสำคัญ ณ ขณะนี้ นอกจาก "แผนงาน" ที่นำเสนอโครงสร้างองค์กรผู้รับผิดชอบกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข 3 ระดับ รอการอนุมัติจาก นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่ "ศูนย์ข่าวอิศรา" ได้นำเสนอไปแล้ว ยังมีประเด็นน่าสนใจและท้าทายอยู่อีก 2 ประเด็น กล่าวคือ
สาระสำคัญ ณ ขณะนี้ นอกจาก "แผนงาน" ที่นำเสนอโครงสร้างองค์กรผู้รับผิดชอบกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข 3 ระดับ รอการอนุมัติจาก นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามที่ "ศูนย์ข่าวอิศรา" ได้นำเสนอไปแล้ว ยังมีประเด็นน่าสนใจและท้าทายอยู่อีก 2 ประเด็น กล่าวคือ
1.ข้อเสนอของทางการไทยที่ต้องการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย
(facilitator) จาก ดาโต๊ะ สรี อาห์มัด ซัมซามิน ฮาซิม
ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารระดับสูงของสำนักข่าวกรองมาเลเซีย เป็นคนจากฝ่ายทหารแทน
2.ท่าทีของฝ่ายมาเลเซีย ทั้งต่อข้อเสนอของไทย และต่อกระบวนการพูดคุยในภาพรวม
สองประเด็นนี้เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ออก
โดยการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกนั้น
ฝ่ายไทยให้เหตุผลว่าขณะนี้กองทัพและคนของกองทัพเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยมากขึ้น
หากผู้อำนวยความสะดวกเป็นฝ่ายทหาร ก็จะทำให้การประสานงานง่ายกว่าเดิม
ข่าวว่ากองทัพไทยกับกองทัพมาเลเซียค่อนข้างสนิทแนบแน่นและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ผิดกับสำนักข่าวกรอง และสันติบาลของมาเลเซียที่อิงกับการเมือง
จึงมีลูกล่อลูกชนเยอะกว่า และมีท่าทีเคลื่อนไปตามความต้องการของฝ่ายการเมืองมากกว่า
ที่สำคัญ
สันติบาลของมาเลเซียรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบและขบวนการแบ่งแยกดินแดนจากฝั่งไทยที่หลบหนีข้ามไปฝังตัวในฝั่งมาเลเซียเยอะมาก
บางพื้นที่เชื่อกันว่าหน่วยข่าวของทางการหน่วยนี้ให้ความคุ้มครองคนของขบวนการด้วยซ้ำไป!
อย่างไรก็ดี
จากจุดแข็งของสันติบาล และสำนักข่าวกรองมาเลเซียดังกล่าว
หากมองในมิติการเมืองแล้วย่อมเป็นเรื่องยากที่รัฐบาลมาเลเซียจะยอมเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวก
เพราะเท่ากับเป็นการลดบทบาทของ 2 หน่วยงานที่ทรงอิทธิพลในมาเลย์ และยังเสมือนหนึ่งเป็นการลดอำนาจต่อรองของตัวเองลงด้วย
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะหมดหวังเสียทีเดียว เพราะสถานการณ์ด้านความมั่นคงในมาเลเซีย (รวมถึงอินโดนีเซีย) กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหลังจากการถือกำเนิดของ "กลุ่มไอซิส" หรือ "กลุ่มรัฐอิสลาม" (Islamic State) และเปิดปฏิบัติการยึดพื้นที่ต่างๆ ในอิรักและซีเรีย เพื่อตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกาล
แนวคิดการตั้งรัฐอิสลามกระจายมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ 2 ประเทศอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีรายงานหลายต่อหลายครั้งว่าวัยรุ่นมุสลิมจาก 2 ประเทศนี้เดินทางไปร่วมรบในซีเรีย อิรัก และอาจรวมถึงลิเบีย
แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะหมดหวังเสียทีเดียว เพราะสถานการณ์ด้านความมั่นคงในมาเลเซีย (รวมถึงอินโดนีเซีย) กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหลังจากการถือกำเนิดของ "กลุ่มไอซิส" หรือ "กลุ่มรัฐอิสลาม" (Islamic State) และเปิดปฏิบัติการยึดพื้นที่ต่างๆ ในอิรักและซีเรีย เพื่อตั้งรัฐอิสลามบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกาล
แนวคิดการตั้งรัฐอิสลามกระจายมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ 2 ประเทศอย่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีรายงานหลายต่อหลายครั้งว่าวัยรุ่นมุสลิมจาก 2 ประเทศนี้เดินทางไปร่วมรบในซีเรีย อิรัก และอาจรวมถึงลิเบีย
ขณะเดียวกันก็มีข่าวเป็นระยะว่า
มีการจับกุมบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ตั้งขบวนการเคลื่อนไหวคล้ายๆ กับไอซิส
โดยเฉพาะในมาเลเซีย ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการก่อวินาศกรรม
เพราะเชื่อกันว่ากลุ่มเหล่านี้บางกลุ่มนิยมใช้ยุทธวิธีก่อการร้าย
ความเปราะบางของสถานการณ์ที่เกี่ยวโยงกับกลุ่มนิยมไอซิส
อาจกดดันให้มาเลเซียจำเป็นต้องร่วมมือทางการข่าวและการทหารกับไทยมากขึ้นเพื่อหยุดยั้งการขยายตัวของกลุ่มหัวรุนแรงนี้
และน่าจะทำให้ฝ่ายไทยมีแต้มต่อมากกว่าเดิมในการเจรจาเรื่องกระบวนการพูดคุยดับไฟใต้ของไทย
หากแนวโน้มเป็นเช่นนั้น
ข้อเสนออาจไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวก แต่ยังโยงไปถึงการล้มข้อเรียกร้อง
5
ข้อของบีอาร์เอ็นที่คาอยู่ด้วย โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ในยุคของ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าคณะพูดคุยฝ่ายไทยในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
(ปี 2556) ได้ตอบเอกสาร 5 ข้อเรียกร้องไปว่า
รับทราบและพร้อมพูดคุยในรายละเอียดต่อไป
แต่ท่าทีของ
คสช. หรือพูดตรงๆ ก็คือฝ่ายทหาร อยากให้ล้ม 5 ข้อเรียกร้อง เพราะมีการระบุถึง
"เขตปกครองพิเศษ" ซึ่งสวนทางกับจุดยืนของ คสช.ที่ส่งสัญญาณออกมาตั้งแต่หลังการยึดอำนาจ
"การพูดคุยสมัย พล.ท.ภราดร
จากการประสานงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีบทสรุปง่ายๆ
เตรียมไว้ให้จบด้วยเขตปกครองพิเศษ แล้วให้คณะพูดคุยไปคุยกัน
โดยทำให้ดูเหมือนว่าข้อยุติเกิดจากการพูดคุย ทั้งๆ ที่มีธงไว้ตั้งแต่แรก
ฝ่ายกองทัพจึงแสดงท่าทีชัดว่าไม่เห็นด้วย"
"ฉะนั้นการพูดคุยรอบใหม่ เราควรเป็นฝ่ายกำหนดทิศทางบ้าง
จุดเปลี่ยนอยู่ที่การเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกเป็นทหาร
และถ้าทหารของสองประเทศได้คุยกัน ฝ่ายผู้เห็นต่างจากรัฐ
ซึ่งอาจหมายถึงบีอาร์เอ็นก็จะเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง"
แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงระบุ และว่าจากข้อมูลด้านการข่าว
มีแนวโน้มว่ามาเลเซียอาจยอมตามข้อเสนอของไทย
ด้านการเคลื่อนไหวของฝ่ายบีอาร์เอ็นค่อนข้างเงียบเชียบเหมือนกับสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ที่เงียบมาตลอดสัปดาห์
ข่าวว่ามีการพูดคุยถกเถียงกันเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเรื่องการพูดคุยสันติสุขของฝ่ายไทย
และไม่ค่อยพึงพอใจกับข่าวล้มเลิก 5 ข้อเรียกร้องเดิม!
และไม่ค่อยพึงพอใจกับข่าวล้มเลิก 5 ข้อเรียกร้องเดิม!
ที่มา http://www.isranews.org/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น