"ก่อนเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
ได้นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่สมัยเรียน กับความจริงที่เกิดขึ้น
มันไม่ใช่เรื่องจริง พวกเราถูกเขาหลอก ก็อยากบอกกับคนที่อยู่ข้างใน
(หมายถึงในขบวนการ) หยุดได้แล้ว พวกเราถูกเขาหลอกมานานแล้ว ของจริงไม่ใช่แบบนั้น
เขาหลอกเราทั้งหมดเลย เขามีเบื้องหลังที่มีผลประโยชน์
เขาใช้เราเป็นเครื่องมือเท่านั้น"
เป็นคำบอกเล่าของอดีตอาร์เคเควัย
33 ปีที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ในเขต อ.กาบัง จ.ยะลา
ถึงการเปลี่ยนแปลงความคิดจากที่เคยต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อปลดปล่อยปัตตานีตามการปลูกฝังของครูอุสตาซตั้งแต่ในวัยเด็ก
กระทั่งตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ "พาคนกลับบ้าน"
ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า
(กอ.รมน.ภาค 4 สน.)
อดีตอาร์เคเครายนี้เป็น
1 ใน 300 คนของผู้เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ อ.ยะหา
และกาบัง จ.ยะลา จากจำนวนผู้กลับใจขอกลับบ้านทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน 4,432 คน
อดีตอาร์เคเควัย
33 ปี มีหมายจับ ป.วิอาญา ในคดีความมั่นคง 2 หมาย
เมื่อปี 2550 และปี 2552 ในข้อหาฉกรรจ์
ร่วมกันก่อการร้าย วางเพลิงเผาสถานที่ราชการ
มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไมได้รับอนุญาต
เขาติดต่อเข้ามอบตัวผ่าน นายยะฟาร์ ยะโก๊ะ กำนันตำบลบาละ อ.กาบัง เมื่อ 15 พ.ย.ปีที่แล้ว จากนั้นก็ได้ไปแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ทหาร
และได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัว
สาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
มาจากความคิดถึงครอบครัว บุตร ภรรยา รวมถึงเป็นห่วงแม่ที่กำลังเจ็บหนัก
"ผมเคยร่วมขบวนการจริง
เคยซุมเป๊าะ (สาบานต่อหน้าคัมภีร์อัลกุรอาน) และเคยหนีไปอยู่บ้านภรรยา
ต้องทิ้งให้ลูกอยู่กับพ่อและแม่ ทุกครั้งเมื่อเห็นลูกและภรรยาอยู่อย่างลำบาก
ไม่มีเงิน ก็ต้องเสียน้ำตาทุกครั้ง คิดว่าทำไมเราไม่มีโอกาสดีๆ เหมือนคนอื่น"
"ระยะหลังแม่ไม่สบายหนัก
ลูกของแม่ทั้ง 8คนได้กลับไปหาแม่ แตเราไม่ได้กลับเลย
ได้แต่ร้องไห้ จะกลับไปหาแม่ก็กลัวเจ้าหน้าที่มาจับ
ก็เลยสัญญากับตัวเองว่าถ้ามีโอกาสจะขอเข้ามอบตัว
พอดีกำนันมาขอคุยกับพ่อและแม่ให้มอบตัว จึงตอบตกลง
วันมอบตัวกำนันก็เอาตำแหน่งประกัน สามารถกลับมาอยู่กับครอบครัวได้
จนถึงทุกวันนี้ไม่มีการจับกุมหรือถูกเจ้าหน้าที่ทำร้าย
เวลาไปไหนก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ดักจับระหว่างทาง"
ความกังวลของอดีตอาร์เคเคอย่างเขา
นอกจากกลัวถูกเจ้าหน้าที่จับกุมแล้ว ยังกลัวถูกซ้อมทรมาน และไม่ได้รับประกันตัว
ฉะนั้นแม้จะมีโครงการพาคนกลับบ้านมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยกล้าเข้าร่วมโครงการ
กระทั่งกำนันกับผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ให้คำมั่น จึงลองเสี่ยงดู
และเมื่อเข้าร่วมโครงการจริงๆ
ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยรับรู้และหวาดกลัวมาตลอด...
"แรกๆ
ตอนที่ออกมาก็ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะทำตามที่พูด หรือทำตามที่เราขอ
แต่เพราะแม่ไม่สบายมาก จึงคิดว่าเป็นไงเป็นกัน
พอออกมาแล้วจนถึงวันนี้ได้เห็นแล้วว่าเจ้าหน้าที่เขาทำตามที่พูด
ทำตามที่เราขอทุกอย่าง จากที่กังวลกลัวจะถูกจับ และกลัวว่าจะถูกซ้อมทรมาน
พอออกมามอบตัว เจ้าหน้าที่ก็พาเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
กำนันประกันตัวก็ไม่ถูกจับ
และไม่ถูกเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมานอย่างที่กังวลในตอนแรก"
"ถ้ายังอยู่ข้างใน
ป่านนี้ก็คงต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เจอเจ้าหน้าที่ที่ไหนก็ต้องหนี
ต้องร้องไห้คนเดียวทุกครั้งเมื่อนึกถึงลูกและภรรยาที่ต้องอยู่ไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น
ช่วงเทศกาลลูกเราไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ ไม่มีอาหารดีๆ กิน
ไม่มีโอกาสได้ไปกินไก่ตามร้านดีๆ เหมือนลูกคนอื่น เราทำได้แค่ร้องไห้กับตัวเอง
แล้วเราจะทำไปเพื่ออะไร"
"ตอนไปหลบอยู่ที่บ้านภรรยา
ลูกๆ ทั้ง 2 คนอยู่กับแม่ผมที่บ้านในกาบัง
เราจะปลูกผักแล้วให้ภรรยาเอาไปขาย
เงินที่ได้มาก็พอกินไปวันๆไม่สามารถทำให้ครอบครัวสบายหรืออยู่ดีเหมือนคนอื่น
แถมยังต้องหลบเจ้าหน้าที่ ถือว่าความเป็นอยู่ลำบากมากหากเทียบกับคนทั่วไป"
สาเหตุที่ตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการปลดปล่อยปัตตานี
อดีตอาร์เคเควัย 33 ปีบอกว่า เป็นเพราะถูกปลุกระดมในห้องเรียนทุกวันโดยครูอุสตาซ
ทำให้เชื่อสนิทใจว่าต้องเอาปัตตานีคืน เพราะคนมลายูถูกเหยียบย่ำ ถูกกดขี่
ไม่ได้รับความเป็นธรรม สุดท้ายก็เข้าพิธีซุมเป๊าะ และอยู่ข้างในมาตลอด
แต่เมื่ออายุมากขึ้น และได้คิดพิจารณาดีๆ
แล้วก็พบว่าสิ่งที่ได้รับการปลูกฝังมาไม่ตรงกับความจริง
"ก่อนเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
ได้นั่งคิดทบทวนสิ่งที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่สมัยเรียน กับความจริงที่เกิดขึ้น
มันไม่ใช่เรื่องจริง พวกเราถูกเขาหลอก ก็อยากบอกกับคนที่อยู่ข้างใน หยุดได้แล้ว
พวกเราถูกเขาหลอกมานานแล้ว ของจริงไม่ใช่แบบนั้น เขาหลอกเราทั้งหมดเลย
เขามีเบื้องหลังที่มีผลประโยชน์ เขาใช้เราเป็นเครื่องมือเท่านั้น"
"เมื่อเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน
ผมคิดว่าเป็นโครงการที่ดี ให้โอกาสกับคนที่หลงผิดได้กลับใจ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้
เจ้าหน้าที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เห็นมากกว่าที่เป็นอยู่ ต้องทำให้คนในขบวนการที่ลังเลใจได้เห็นและเชื่อมั่นจนยอมออกมาร่วมโครงการ
ไม่ต้องหนีอีกต่อไป"
อดีตอาร์เคเครายนี้
ย้ำว่า ทุกวันนี้ได้อยู่กับครอบครัว กรีดยางตอนเช้า สายๆ ไปทำงานตัดผม
ก็พอมีรายได้ สามารถดูแลครอบครัวให้อยู่ดีกินดีกว่าตอนที่หลบหนี จึงอยากฝากบอกคนที่ยังอยู่ข้างใน
หรือยังลังเล ให้เข้าร่วมโครงการ จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนเดิมอีก
ยะฟาร์ ยะโก๊ะ
กำนันตำบลบาละ อ.กาบัง บอกว่า อาร์เคเครายนี้เป็นตัวจริง มีคดีติดตัว 2 คดี และตนเป็นเบอร์ 1 ที่เขาต้องการเอาชีวิต ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาได้พยายามช่วยเจรจามาตลอด ให้ออกมามอบตัว
กระทั่งแม่ของเขาป่วย เขาจึงตัดสินใจ
เป้าหมายของขบวนการก่อความไม่สงบ
ไม่ใช่แค่ต่อสู้กับรัฐ แต่ยังจัดการคนที่ทำตัวขัดขวาง
และยังมีเป้าหมายยึดกุมเก้าอี้การเมืองท้องถิ่นอีกด้วย
"ผมเป็นเบอร์
1 ที่ขบวนการต้องการ เพราะไม่ได้เป็นแค่กำนัน
แต่ยังช่วยเหลือเจ้าหน้าที่รัฐในการปราบปรามขบวนการมาตั้งแต่ปี 2538 แรกๆ ก็สู้กับบีอาร์เอ็น จากนั้นก็อาร์เคเค จนไม่รู้จะทำอย่างไร
ก็ได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ 3
ฝ่ายเพื่อจะหาแนวทางให้สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ก็เลยมาคุยถึงแนวทางให้เข้ามอบตัว
ในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบมีบุคคลเป้าหมาย 2
คนที่หลบหนีออกจากพื้นที่"
"ผมไปคุยกับครอบครัวของพวกเขา
แรกๆ เขาหันหลังทันทีเมื่อผมคุยเรื่องมอบตัว ก็ทำบ่อยๆ จนกระทั่งแม่ของ 1 ใน 2 คนนี้ไม่สบาย ทำให้เขาตัดสินใจมอบตัว
ตอนนี้กำลังพยายามติดต่ออีกคนหนึ่ง ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่
ถ้าเราสามารถสร้างความปลอดภัย สร้างอาชีพ สร้างความเชื่อมั่นได้ คนอื่นๆ ก็จะออกมา
ล่าสุดแม่ของอาร์เคเคอีกคนมาถามว่า ถ้าลูกเข้ามอบตัวจะถูกจับไหม
คิดว่านี่คือสัญญาณที่ดี"
กำนันยะฟาร์
บอกด้วยว่า เรื่องความปลอดภัย อาชีพ และการได้ประกันตัว เป็น 3 เงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้คนออกมามอบตัว หากรัฐทำได้
ก็จะมีคนยอมมอบตัวอีกจำนวนมาก
----------------
ที่มา: สำนักข่าวอิศรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น